• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Joe524

#6166


ประเทศในเอเชียพยายามพึ่งพาวัคซีนพาสปอร์ตมากขึ้น ด้วยความหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นการเดินทางเพื่อทำธุรกิจของทั่วโลกให้กลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19ได้

แต่ปัญหาคือการระบาดอย่างรวดเร็วของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาอาจจะบั่นทอนความพยายามในเรื่องนี้ เนื่องจากวัคซีนพาสปอร์ตไม่ได้มีมาตรฐานแบบเดียวกัน ,อัตราการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกัน และขีดความสามารถด้านสุขภาพสาธารณะในเอเชียที่ยังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ จึงทำให้วัคซีนพลาสปอร์ตกลายเป็นอุปสรรคมากกว่าจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการเดินทางข้ามพรมแดนสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความท้าทายในการเปิดพรมแดนและการยกเว้นไม่กักตัวบรรดานักเดินทางที่มีวัคซีนพาสปอร์ต ในรูปแบบเดียวกับที่ยุโรปกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา สิงคโปร์อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ถือวีซ่าทำงานและได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ครบแล้ว รวมถึงผู้ติดตาม สามารถเข้าประเทศได้ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศคลี่คลายลง เพราะจนถึงวันที่ 5 ส.ค.ประชาชนสิงคโปร์ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วในสัดส่วน 67% และได้รับการฉีดวัคซีนถึง 70% ในวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา

สิงคโปร์กำหนดให้ชาวต่างชาติที่ขออนุญาตเข้ามาทำงานในประเทศต้องได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว 2 สัปดาห์ โดยใช้วัคซีนของไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือวัคซีนที่อยู่ในบัญชีการใช้ฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ)


ส่วนผู้ติดตามต้องปฏิบัติตามหลักการอยู่ในที่พักอาศัย หากฝ่าฝืนมีบทลงโทษตามกฎหมาย และในระยะต่อไป สิงคโปร์จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจากประเทศที่มีอัตราการระบาดในระดับที่ยอมรับได้ สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้เช่นกัน โดยจะประกาศรายชื่อกลุ่มประเทศดังกล่าวในวันที่ 20 ส.ค.นี้


ด้านเวียดนาม ได้ปรับลดระยะเวลาการกักตัวสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศจาก 2 สัปดาห์ เหลือเพียง 7 วัน

ในปีที่ผ่านมาเวียดนามประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19ได้เป็นส่วนใหญ่ จากการตรวจหาเชื้อแบบมุ่งเป้าและการกักกันโรคแบบรวมศูนย์ แต่นับตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. เวียดนามก็พบผู้ป่วยติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากสายพันธุ์เดลตา

ทางการเวียดนามจึงตัดสินใจปิดพรมแดนทั้งหมด ยกเว้นพลเมืองเวียดนามที่เดินทางกลับประเทศ ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ นักลงทุน หรือนักการทูต ซึ่งทุกคนต้องถูกกักตัว 14 วัน ในสถานที่ที่ได้รับการจัดการจากส่วนกลาง

ขณะที่"แฮร์รี โร้ก" โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ฟิลิปปินส์ปรับลดระยะเวลาในการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรคโควิด-19 จาก 14 วัน ลงเหลือ 7 วัน สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศทุกคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบสองโดสในประเทศฟิลิปปินส์

"ผู้เดินทางที่เข้ามายังฟิลิปปินส์ทุกคนไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT PCR หรือการเก็บสารคัดหลั่งในโพรงจมูกเมื่อเดินทางมาถึงอีกต่อไป ส่วนวิธี RT PCR จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้ที่เดินทางเข้ามาแสดงอาการโควิด-19 ในช่วงกักตัว 7 วัน" โร้ก กล่าว

ส่วนในเกาหลีใต้ นักเดินทางเพื่อทำธุรกิจชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอรับการยกเว้นถูกกักตัวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.โดยมีเงื่อนไขต่างๆมากมาย ขณะที่นักวิชาการและผู้ที่ต้องการเดินทางเยือนเกาหลีใต้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม ที่ครอบคลุมถึงผู้ต้องการเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวก็มีสิทธิที่จะยื่นขอรับการยกเว้นจากการถูกกักตัวได้เช่นกัน

รัฐบาลโซลไม่เพียงแต่อนุญาตให้ผู้รับวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางเข้ามาในเกาหลีใต้ได้เท่านั้น แต่ผู้ที่รับการฉีกวัคซีนซิโนฟาร์มและซิโนแวคของจีนก็สามารถยื่นเอกสารขอรับการยกเว้นไม่ต้องถูกกักตัวได้ โดยนับจนถึงวันเสาร์(14ส.ค.) อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19แบบครบโดสในเกาหลีใต้อยู่ที่ 19% ของประชากรทั้งหมด

"เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกที่ยกเว้นผู้รับการฉีดวัคซีนของจีนไม่ต้องถูกกักตัวเมื่อเดินทางเข้าประเทศ" ลี ดอง กู นักวิจัยจากสถาบันอาเซียนเพื่อการศึกษานโยบายกล่าว

"โจเซฟ เอ็ม.เชียร์"ศาสตราจารย์จากศูนย์วิจัยการท่องเที่ยวมหาวิทยาลัยวากายามาของญี่ปุ่นมีความเห็นว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการเริ่มต้นเดินทางในเอเชียอีกครั้งคืออัตราการฉีดวัคซีนในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นและการลดลงของยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่

"ดูเหมือนว่าตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียกำลังวุ่นวายอยู่กับการรับมือกับโควิดสายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งแก้ปัญหาอัตราการฉีดวัคซีนที่ยังต่ำอยู่ แต่การรับมือกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาและการฉีดวัคซีนอย่างเป็นเอกภาพของเอเชียเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะยังมีความแตกต่างกันอยู่มากในภูมิภาคนี้ ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อ อัตราการฉีดวัคซีน และโรงพยาบาลที่จะรองรับคนไข้" เชียร์ กล่าว

การจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในเอเชียแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยุโรปที่มีแนวทางการทำงานส่วนใหญ่ที่เป็นเอกภาพ โดยเมื่อวันที่1 ก.ค.สหภาพยุโรป (อียู)เริ่มต้นใช้เอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิดแบบดิจิทัล หรือ พาสปอร์ตวัคซีนโควิดแบบดิจิทัล

เอกสารยืนยันการรับวัคซีนโควิดแบบดิจิทัลของอียู ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยสำหรับการเดินทางภายในกลุ่มสหภาพยุโรป เพื่อให้พลเมืองในสหภาพยุโรปที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถใช้เอกสารนี้ในการเดินทางผ่านพรมแดนประเทศในสหภาพยุโรปได้ โดยไม่ต้องมีการกักตัวหรือต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเพิ่ม
#6167


นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการ ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงกลาง หรือ Mid Cycle หลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของหลายประเทศที่กลับมาฟื้นตัว จากการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น หลังมีการกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บางประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด

โดยเฉพาะสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาที่สามารถฟื้นตัวได้ก่อนประเทศอื่น ๆ เห็นชัดจากตัวเลขจีดีพี ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ขยายตัว 7.9% และ 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาคาดการณ์ว่า ตัวเลขจีดีพี ในปี 2564 ของจีนและสหรัฐฯ อาจเติบโตประมาณ 7% และ 8.4% ตามลำดับ หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ จากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น จากมุมมองดังกล่าว รายงาน BLS Top Funds แนะนำผู้ลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนใน "กองทุนหุ้นจีน" และ "กองทุนหุ้นสหรัฐ" เน้นกองทุนรวมคุณภาพดีที่ลงทุนในบริษัทที่มีรายได้และกำไรแน่นอนเป็นหลัก และกระจายการลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำที่มีอัตราการเติบโตสูง ประกอบด้วย

1. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ที่มีการบริหารจัดการพอร์ตแบบยืดหยุ่น โดยสัดส่วน 80% ลงทุนหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในทุกตลาด เช่น A-Share และ H-Share เป็นต้น ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา สามารถบริหารจัดการได้ดีอยู่ในอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม จากการบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก (Active)
"ตลาดหุ้นจีนที่มีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา บวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวที่อาจเติบโตต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสดีในการทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีน โดยเฉพาะกอง B-CHINE-EQ เพราะกองนี้มีนโยบายกระจายการลงทุนไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้โฟกัสเพียงกลุ่มเทคโนโลยีจีนอย่างเดียว ฉะนั้นกองทุนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมวงการเทคโนโลยีมากนัก ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีให้ลงทุนในรูปแบบลดหย่อนภาษีอย่าง กองทุน B-CHINAARFM ซึ่งเป็นกอง RMF เน้นลงทุนหุ้นจีน A-Share และ กอง B-CHINESSF ที่ลงทุนในหุ้นจีนทั่วโลก" นายเสริมศักดิ์ กล่าว

2.กองทุนรวมเปิดบัวหลวงโกล.อินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และ กองทุนเปิดบัวหลวงโกล.อินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF) เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง"กลุ่ม FAANG" ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย Facebook (FB), Amazon (AMZN), Apple (AAPL), Netflix (NFLX) และ Alpha. (GOOG) โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้มีพื้นฐานแข็งแกร่งเติบโตล้อไปกับเมกะเทรนด์ของโลก แม้ความคาดหวังการเติบโตไม่สูงเท่ากับบริษัทเทคฯขนาดเล็ก แต่การที่เป็นบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ย่อมมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน รวมถึงมีความแน่นอนของรายได้และกำไรที่มากกว่า และในยุคนี้เทคโนโลยีถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก ที่สำคัญในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองกองทุนสร้างผลตอบแทนได้แล้วประมาณ 47% ในขณะความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับกองเทคฯ อื่นๆ
ในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะดี ในการเริ่มต้นวางแผนภาษีประหยัดภาษี ด้วยการทยอยสะสมกองทุนคุณภาพที่มี ผลการดำเนินงานดี โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกออมกองทุนรวม เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 รูปแบบ คือ 1.กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เหมาะกับคนอายุน้อยและต้องการออมเงินระยะยาว ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งสามารถนำไปลดภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ต้องไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้อง ไม่เกิน 5 แสนบาท 2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เหมาะกับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะยาวไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1ปี ผู้ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีสูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท

"ผู้ที่มีอายุยังไม่ถึง 45 ปี แนะนำให้ลงทุนกองทุน SSF ให้เต็มที่ก่อน จากนั้นค่อยลงทุนเพิ่มในส่วนของกองทุน RMF เพราะไม่ต้องรอจนถึงอายุ 55 ปี ส่วนผู้ที่อายุเกินกว่า 45 ปี ให้ลงทุนกองทุน RMF ให้เต็มที่ เนื่องจากไม่ต้องถือถึง 10 ปี โดยเมื่ออายุ 55 ปี และมีการลงทุนต่อเนื่องจนครบเงื่อนไข ก็จะสามารถขายได้ทุกกองที่ลงทุนมา" นายเสริมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง สามารถติดตาม BLS Top Funds รายงานอัปเดตสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกแบบ Weekly พร้อมคำแนะนำ "กองทุนตัวท็อป" คุณภาพดี ผลงานเด่น และการจัดพอร์ตกลยุทธ์เชิงเทคนิค (Tactical Funds Portfolio) จากทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ ที่มาแนะนำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ได้ที่เว็บไซต์หลักทรัพย์บัวหลวง เลือกเมนู "Mutual Funds" เลือกข้อมูลกองทุน และเลือกหัวข้อ "BLS Top Funds" ส่วนบุคคลทั่วไปที่สนใจรับรายงาน BLS Top Funds เพียงเปิดบัญชีกองทุนรวมออนไลน์ที่มีความสะดวก ง่าย ปลอดภัย ซื้อขายกองทุนได้ครบจบที่เดียว 17 บลจ. ได้ที่ www.bualuang.co.th สอบถามเพิ่มเติม 0-2618-1111
#6168


เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 16 ส.ค.64 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ร้านแผงขายลอตเตอรี่ซื้อ หวย ออนไลน์ บ้านสามกอง ซึ่งตั้งอยู่ถนนเยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังทราบว่า ร้านนี้มีลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 และได้พบกับเจ้าของแผงขายลอตเตอรี่ จากนั้นได้นำเอกสารการจดเลขลอตเตอรี่ทุกใบซึ่งมีรางวัลที่ 1 อยู่ในนั้น 1 ใบจริง


เจ้าของร้านเปิดเผยว่า มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 จริง โดยถูกจำนวน 1 ใบ ได้เงินรางวัล 6 ล้านบาท และตนได้ขึ้นป้ายแจ้งว่า ร้านของตนมีคนถูกรางวัลที่ 1 พร้อมทั้งได้นำป้ายติดไว้ที่หน้าร้าน ซึ่งร้านของตนจะมีคนถูกลอตเตอรี่บ่อย เป็นรางวัลที่ 2 รางวัลที่ 3 รางวัลที่ 4 และรางวัลที่ 5 บ่อยมาก โดยเฉพาะรางวัลที่ 5 ถูกเกือบทุกงวด แต่สำหรับรางวัลที่ 1 เป็นรางวัลใหญ่ ตนเปิดร้านขายลอตเตอรี่มา 30 ปี เพิ่งเป็นครั้งแรกที่มีลูกค้าถูกรางวัลใหญ่ ที่ซื้อเพียงใบเดียวได้ถึง 6 ล้านบาท พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้ารู้ตัวคนถูกรางวัลที่ 1 กลับมาเลี้ยงน้ำลุงซักแก้ว

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ถูกรางวัลที่ 1 มาลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นหลักฐานหรือไม่ แต่ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ายังไม่มีใครมาลงบันทึกประจำวันว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลย
#6169


ไอสต็อค (iStock) เอาใจคนไทย เปิดให้สามารถค้นหาด้วยวลีภาษาไทยเช่น 'ชาไทย', 'ดอกบัว' และ 'กรุงเทพมหานคร' ได้แล้ว หลังจากที่รายการคำศัพท์ของ iStock ได้รับการแปลให้เป็นภาษาท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ

แกรนท์ ฟาร์ฮอลล์ (Grant Farhall) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ iStock กล่าวว่าทุกภาษาล้วนมีบางคำหรือวลีที่ยากต่อการแปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่เสมอ เช่นเดียวกับภาษาไทย บริษัทจึงพิจารณาความหมายโดยนัยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของวลียอดนิยมต่าง ๆ ในประเทศไทยอย่างถี่ถ้วน และได้บรรจุวลีเหล่านี้ไว้ในรายการคำศัพท์ของ iStock การเล่าเรื่องด้วยภาพนั้นถือเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารแบบดิจิทัลและการสื่อสารผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ในประเทศไทย สิ่งนี้ก่อให้เกิดการใช้งานรูปถ่ายและวิดีโอลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจไทยสามารถสร้างแรงดึงดูดในช่องทางโซเชียลมีเดียยอดนิยมต่าง ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิม

"ประเทศไทยเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดสำหรับ iStock เรามุ่งมั่นที่จะเจาะตลาดในประเทศไทยให้ลึกยิ่งกว่าเดิม เพื่อทำให้ธุรกิจไทยสื่อสารกับลูกค้าของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยราคาที่จับต้องได้มากกว่าเดิม ซึ่งขั้นตอนต่อไปของเราก็คือการนำเสนอประสบการณ์ที่ปรับให้เข้ากับท้องถิ่นยิ่งกว่าเดิมผ่านการสนับสนุนและการวิเคราะห์ด้านภาษา"

iStock นิยามตัวเองเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสารทางภาพในราคาที่จับต้องได้ สำหรับเหล่านักสร้างสรรค์, ผู้ประกอบการ, นักศึกษา และธุรกิจขนาดย่อมต่าง ๆ นั้นได้ประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ iStock ภาษาไทยในวันนี้ การนำเสนอบริการใหม่นี้สืบเนื่องมาจากการใช้รูปถ่ายและวิดีโอของธุรกิจไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นของเหล่าบริษัทการสื่อสารทางภาพในเอเชีย

"iStock ได้รับฟังเสียงของลูกค้าและตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาการให้บริการในรูปแบบภาษาท้องถิ่นของบริษัท เพื่อทำให้ลูกค้าในประเทศไทยสามารถค้นหาภาพถ่ายสต็อก, คลิปวิดีโอ และองค์ประกอบด้านการออกแบบต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้คำหรือวลีภาษาไทย ธุรกิจไทยจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิมขณะทำการค้นหาภาพและวิดีโอระดับมืออาชีพจาก iStock ด้วยการให้บริการเครื่องมือค้นหาที่ใช้งานได้ด้วยภาษาไทยอย่างแท้จริง" แถลงการณ์ระบุ

นอกจากความสามารถด้านภาษาแล้ว บริษัทระบุว่าฟังก์ชันการค้นหายังได้รับการปรับปรุงเพื่อให้รายงานผลลัพธ์ได้ตามรูปแบบการใช้งานของประเทศ การปรับปรุงเหล่านี้ทำให้ลูกค้า iStock นับหลายพันรายในประเทศไทยสามารถค้นหาองค์ประกอบงานสร้างสรรค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าที่เคยเป็นมาจากรูปถ่าย, วิดีโอ และภาพประกอบพรีเมี่ยมนับล้าน

ปัจจุบัน iStock นำเสนอภาพถ่ายสต็อก, วิดีโอ และภาพประกอบกว่า 135 ล้านรายการจากกลุ่มคนต่าง ๆ และให้บริการด้วยการคิดค่าบริการที่เรียบง่ายและจับต้องได้ iStock ที่อาศัยความเชี่ยวชาญด้านภาพของ Getty Images นั้นได้ช่วยให้เหล่านักสร้างสรรค์กับธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่รายต่าง ๆ สามารถสร้างการสื่อสารที่งดงามได้ตามงบประมาณของตนเอง

เมื่อนับรวมการเปิดตัวครั้งนี้ iStock ได้รองรับ 18 ภาษานอกเหนือจากภาษาอังกฤษในขณะนี้ ซึ่งภาษาต่าง ๆ ที่รองรับนั้นได้แก่: เช็ก, ฝรั่งเศส, อิตาเลียน, เยอรมัน, สเปน, โปรตุเกส (โปรตุเกส), โปรตุเกส (บราซิล), โปแลนด์, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ดัตช์, สวีเดน, ตุรกี, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และจีนตัวเต็ม (ฮ่องกง).
#6170
 
 
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ข้าวกล้องออร์แกนิค เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวออแกนิคคือที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นขายข้าวอินทรีย์, กลุ่มข้าวอินทรีย์(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวปลอดสารสุรินทร์ข้าวกล้องออร์แกนิค คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

นาข้าวอินทรีย์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    กลุ่มข้าวอินทรีย์สุรินทร์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลออร์แกนิค #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5.ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 

 

 
 
#6171


วันนี้ (16 ส.ค. 64) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงภายหลังการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ที่มีการประชุมเมื่อเวลา 13.30 น. โดยระบุว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ มาตรการควบคุมพื้นที่เฉพาะ (Bubble & Seal) และโครงการนำร่อง การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox)


การดำเนินงาน
1. กระทรวงอุตสาหกรรรม ร่วมกับ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินมาตรการ Bubble & Seal ในสถานประกอบการ 

2. กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินโครงการ Factory Sandbox

3. หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้การสนบัสนุนและร่วมดำเนินการ 

4. ศบค. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรม  


รักษาเสถียรภาพส่งออก 7 แสนล้าน
ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ Factory Sandbox ได้แก่ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในภาคการผลิตส่งออก ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท ป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ สร้างสมดุล ระหว่างมาตรการทางด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจ ของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่ง ณ ปัจจุบันระบบ Supply Chain ของประเทศคู่แข่งกำลังปิดตัวลง และ รักษาระดับการจ้างงาน ในภาคการผลิตส่งออกสำคัญได้กว่า 3 ล้านตำแหน่ง

นำร่อง 4 จังหวัด แรงงาน 474,109 คน
สถานประกอบการที่เข้าเกณฑ์โครงการ Factory Sandbox ในเฟสแรก 4 จังหวัด โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสถานการประกอบการภาคการผลิตส่งออกที่มีจำนวนผู้ประกันตนเกิน 500 คน ขึ้นไป ผู้ประกันตนในสถานประกอบ 4 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 474,109 คน มีดังนี้

1. นนทบุรี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 21 แห่ง จากทั้งสิ้น 20,260 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 19,600 ราย จากทั้งสิ้น 351,474 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 2,596 ราย

2. ปทุมธานี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 76 แห่ง จากทั้งสิ้น 18,397 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 107,681 ราย จากทั้งสิ้น 443,822 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 4,073 ราย

3. สมุทรสาคร 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 107 แห่ง จากทั้งสิ้น 11,821 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 152,047 ราย จากทั้งสิ้น 441,307 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 2,801 ราย

4. ชลบุรี 

จำนวนสถานประกอบการ (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 183 แห่ง จากทั้งสิ้น 23,996 แห่ง
จำนวนผู้ประกันตน (ขนาด 500 คนขึ้นไป ในภาคการผลิต-ส่งออก) : 194,781 ราย จากทั้งสิ้น 734,065 ราย
จำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับการฉีดวัคซีนในกลุ่มกิจการ : 32,798 ราย
'ตาลีบัน'ยึด'อัฟกานิสถาน'ปลุก'ก่อการร้าย'คืนชีพ
'บิตคอยน์'ทรุด2.63% เคลื่อนไหวที่ 45,000 ดอลล์
เปิดแฟ้ม 'ครม.' 17 ส.ค. เตรียมเคาะวางเงินมัดจำซื้อไฟเซอร์ 20 ล้านโดส
สถานประกอบการ สนใจ เข้าร่วม เฟสแรก
นนทบุรี จำนวน 8 แห่ง รวมลูกจ้าง 6,559 ราย

ปทุมธานี จำนวน 19 แห่ง รวมลูกจ้าง 49,407 ราย

สมุทรสาคร จำนวน 12 แห่ง รวมลูกจ้าง 51,354 ราย

ชลบุรี จำนวน 21 แห่ง รวมลูกจ้าง 31,075 ราย

3 จังหวัด Factory Sandbox เฟส 2
อยุธยา

ฉะเชิงเทรา

สมุทรปราการ

เงื่อนไขโรงงานเข้าร่วม 
1. สถานประกอบกิจการที่ผลิตเพื่อการส่งออก

2. อยู่ในจังหวัด ชลบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร ปทุมธานี อยุธยา ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ

3. มีลูกจ้างตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป

4. ต้องดำเนินการ FAI (Factory Accommodation Isolation) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5

5. ดำเนินการ Bubble and Seal โดยกำหนดให้ลูกจ้างเดินทางกลับที่พักโดยตรงไม่แวะระหว่างทาง และอยู่แต่ในเคหะสถานเท่านั้น

6. ตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR จำนวน 1 ครั้งให้ลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Self-ATK (Antigen Test Kit) ทุก 7 วัน

7. ฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างที่ตรวจ Swab Test ทุกคน ยกเว้นคนที่ติดเชื้อฯ ให้เข้ารับการรักษา ส่วนค่าบริการฉีดวัคซีนสถานประกอบการต้องเป็นผู้จ่ายให้แก่สถานพยาบาล

8. สถานประกอบการทำหนังสือยินยอมดำเนินการตามแนวทางของสถานกระทรวงแรงงานและจังหวัด
#6172


วันนี้ (15 ส.ค.) นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตหลักสี่ 2 ณ อาคารสุทธิเกตุ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เขตหลักสี่ โดยมี ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผู้อำนวยการเขตหลักสี่ ให้รายละเอียดการดำเนินการ จากนั้นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตจตุจักร ณ โรงซ่อมบำรุงรถไฟ สถานีกลางบางชื่อ ซึ่งเป็นศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแห่งที่ 3 ในพื้นที่เขตจตุจักรฃ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอาฤทธิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการเขตจตุจักรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่

กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) เพื่อแยกผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว คือ ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยที่ไม่สามารถรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่พร้อม ให้มาพักคอยที่ศูนย์ฯ เพื่อดูแลอาการเบื้องต้น ระหว่างรอนำส่งโรงพยาบาล สำหรับศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เขตหลักสี่ ใช้อาคารสุทธิเกตุ เป็นสถานที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว รองรับผู้ป่วยได้ 168 เตียง แบ่งเป็นชาย 75 เตียง หญิง 85 เตียง และผู้ป่วยแบบครอบครัว 8 เตียง มีโรงพยาบาลปิยเวท เป็นโรงพยาบาลที่ปรึกษาและส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ยังมีลานกิจกรรมภายนอกอาคารเพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนและคลายเครียดอีกด้วย ส่วนศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ ณ โรงซ่อมบำรุงรถไฟ สถานีกลางบางซื่อ เขตจตุจักร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 400 เตียง แบ่งเป็นชาย 200 เตียง และหญิง 200 เตียง ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วแต่ยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก มีโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เป็นโรงพยาบาลที่ปรึกษาและส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา

ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อมีการดำเนินการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยมีจุดคัดกรองผู้ป่วย จุดบริการอาหารและน้ำดื่ม ติดตั้งระบบไฟฟ้าส่องสว่างเพิ่มเติม ติดตั้งถังดับเพลิง ระบบเสียงตามสาย ระบบรักษาความปลอดภัย CCTV อินเตอร์เน็ต ระบบบำบัดน้ำเสีย การจัดการขยะติดเชื้อ และห้องประสานงานของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมของใช้จำเป็นและของใช้ส่วนตัวสำหรับผู้ป่วย เช่น ชุดเครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่จะเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1330 ตลอด 24 ชั่วโมง หากไม่ได้รับความสะดวกสามารถติดต่อเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนโควิดเขตพื้นที่ทั้ง 50 เขต โดยสายด่วนโควิด เขตหลักสี่ โทร. 0 2026 6800 สายด่วนโควิด เขตจตุจักร โทร. 0 2026 3100

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในการตรวจความพร้อมของศูนย์พักคอยในวันนี้ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้มีการกำชับให้สำนักงานเขตลงพื้นที่เชิงรุกค้นหาผู้ป่วยที่ไม่สามารถพักรักษาตัวที่บ้านให้มาพักรักษาตัวที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ ตามนโยบายของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีนโยบายให้ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (CI) รับผู้ป่วยสีเขียวทั้งหมด ส่วนโรงพยาบาลสนามจะเปลี่ยนมารับผู้ป่วยสีเหลืองเป็นหลัก ซึ่งผู้ป่วยสีเขียวที่อยู่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อแล้วอาการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจะมีการส่งตัวเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลที่จับคู่ดูแลศูนย์พักคอยฯ แต่ละแห่งต่อไป ซึ่งทั้ง 50 เขตจะมีศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อในพื้นที่ของตน เบื้องต้นจะรับผู้ป่วยในพื้นที่เขตเป็นหลักก่อนแต่หากไม่เพียงพอก็จะมีการรับผู้ป่วยข้ามเขตพื้นที่ด้วย
#6173


อภิมหาเมกะโปรเจกต์โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย ภายใต้การดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยความความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ ที่เรียกกันว่า "รถไฟไทย-จีน" ที่ถูกคาดหวังให้เป็น "เส้นเลือดใหญ่" แห่งการเดินทางและขนส่งเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนลุ่มแม่น้ำโขง กับสาธารณรัฐประชาชนจีน

ความคืบหน้าล่าสุด สำหรับสัญญาการก่อสร้างงานโยธา เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250.77 กม. หรือ เฟสที่ 1 จำนวน 14 สัญญา วงเงินลงทุน 179,412.21 ล้านบาท มีการลงนามไปแล้ว 11 สัญญา ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 สัญญา คือ สัญญา 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สัญญา ส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มดำเนินการมีเพียงสัญญา 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม. วงเงิน 3,114.98 ล้านบาท ที่มี ความคืบหน้าไปแล้วราว 65%

ขณะที่อีก 4 สัญญามีการลงนามแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่เพื่อส่งมอบ และออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) นั้น แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน ส่งผลให้ต้องปรับแผนงาน เลื่อนการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง โดยคาดว่าจะออก NTP เริ่มงานอย่างเร็วในช่วงต้นปี 65

และยังเหลืออีก 3 สัญญา ที่ยังไม่ได้ลงนาม โดยหนึ่งในสัญญาที่ยังรอการลงนาม และดูจะมีปัญหามากที่สุด หนีไม่พ้น "สัญญาที่ 3-1" ช่วงแก่งคอย-กลางดง เและ ปางอโศก-บันไดม้า ระยะทาง 30.21 กม. มี "กลุ่ม BPNP" บริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด (กลุ่มบริษัท นภาก่อสร้างและพันธมิตรจากประเทศมาเลเซีย) เป็นผู้เสนอ "ราคาต่ำสุด" 9,330 ล้านบาท เนื่องจากอยู่ในกระบวนการของ "ศาลปกครอง"

ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 "ศาลปกครองกลาง" มี "คำสั่งทุเลา" การบังคับคำสั่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง ที่พิจารณาให้ "กลุ่ม BPNP" มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการเข้าร่วมประมูลก่อสร้าง สัญญาที่ 3-1 งานโยธา ช่วงแก่งคอย-กลางดง และช่วงปางอโศก-บันไดม้า มูลค่า 9,330 ล้านบาท ที่เป็นคำสั่งให้ รฟท.เข้าทำสัญญากับ "กลุ่ม BPNP" เพื่อบริหารโครงการต่อไปได้

โดยผลของคำสั่ง นอกจากชะลอโครงการได้แล้ว ยังอาจส่งผลให้ "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" ซึ่งทำสัญญาร่วมค้า อันมีลักษณะเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง "ไชน่าเรลเวย์" บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เทน เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด กับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่เสนอ "ราคาสูงกว่า" กลายเป็นผู้ชนะการประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวอีกด้วย

ปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารโครงการในส่วนของ "สัญญา 3-1" ของ รฟท.ที่ยังไม่สามารถว่าจ้าง ทำสัญญา หรือทำการก่อสร้างได้ เนื่องจากคำสั่งทุเลาของศาลปค.กลาง ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับ "ศาลปกครองชั้นต้น" ก็ยังถือเป็น "การชั่วคราว" จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งยังไม่มีกำหนดการแน่ชัดว่า คดีจะสิ้นสุดเมื่อใด

จากปัญหาความล่าช้าดังกล่าว ส่งผลให้ รฟท.อาจถูกเรียกร้องค่าเสียหายได้ ทั้งในส่วนงานโยธาที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ และในอนาคตที่ รฟท. จะไม่สามารถส่งมอบงานโยธาให้แก่ผู้รับเหมางานระบบรถไฟฟ้าได้ทันเวลา

คำตัดสินชี้ขาดของ "ศาลปกครอง" ในคดี "สัญญา 3-1" ที่ยังไม่ทราบว่าจะออกมาเมื่อใดนั้น แม้เป็นเพียงสัญญาเดียวที่ทำโดยเอกเทศแยกจากสัญญาอื่นๆ แต่ย่อมส่งผลต่อโครงการทั้งระบบ อีกทั้งยังถือเป็น "บรรทัดฐาน" ต่อการบริหารงานพัสดุของภาครัฐไทยในอนาคตอีกด้วย

การตัดสินให้ "กลุ่ม BPNP" ที่เป็นผู้เสนอ "ราคาต่ำสุด" ขาดคุณสมบัติไป แน่นอนว่า ย่อมเกิดประโยชน์ต่อ "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" ที่เสนอ "ราคาสูงกว่า" เป็นผู้ชนะการประมูลและเข้าทำสัญญาแทน

จะมีผลไปถึง "กรมบัญชีกลาง" ที่อนุมัติให้ บริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด เข้าเกณฑ์คุณสมบัติการประกวดราคา เข้าข่าย "ปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย"

อีกทั้งยังจะเป็นการตอกย้ำน้ำหนักของ "ข้อครหา" ที่ว่า รฟท.ในฐานะเจ้าของสัมปทานกับ "ผู้แพ้ประมูล" ร่วมกัน "รื้อ" ผลการประกวดราคาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

เนื่องจากทาง "กลุ่ม BPNP" ได้เคยทักท้วงไว้ว่า รฟท.ไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง จากกรณีที่ รฟท.ไม่ยอมรับผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ร้องเรียน ที่ตั้งขึ้นตามอำนาจ มาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ และไม่เรียก "ผู้ชนะประมูล" เข้าทำสัญญาตามกำหนด

อีกทั้ง "ผู้ว่าการ รฟท." ยังได้ใช้อำนาจตั้ง "อนุกรรมการ" ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาคุณสมบัติผู้เข้าเสนอราคาใหม่ ทั้งที่กระบวนการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ "คณะกก.พิจารณาผลการประกวดราคา" ของ รฟท.มาแล้ว

ทั้งที่ตามกระบวนการตามกฎหมาย ก็มี "คณะกก.วินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ" ตลอดจน "คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน" ของกรมบัญชีกลาง ที่มี "ปลัดกระทรวงการคลัง" เป็นประธาน เป็นผู้ชี้ขาดในกรณีที่เกิดประเด็นปัญหาขึ้น

และกรณีคุณสมบัติของบริษัท บีพีเอ็นพีฯนั้น คณะกก.การพิจารณาอุทธรณ์ฯ ก็ได้อนุมัติ "ยกเว้น" หลักเกณฑ์บางประการให้กับ "บีพีเอ็นพี" ทำให้มีคุณสมบัติเป็นผู้ชนะการประมูลตามผลการพิจารณาของคณะกก.พิจารณาผลการประกวดราคาของ รฟท.ตามเดิม

แต่หลังจากยื่น "โต้แย้ง" ไปยัง รฟท.แล้ว ปรากฏว่า รฟท. "ไม่เห็นด้วย" ทั้งที่ มาตรา 119 ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "การวินิจฉัยของคณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด"

กระทั่ง "ไชน่าเรลเวย์" ที่เป็น "ขาหนึ่ง" ใน "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" ไปยื่นฟ้อง รฟท. พ่วงด้วยคณะกก. 2 ชุด ของกรมบัญชีกลาง ต่อ "ศาลปกครอง" ให้ตัดคุณสมบัติ และตัดสิทธิ์ "บริษัท บีพีเอ็นพีฯ" ที่เป็น "ขาหนึ่ง" ในกลุ่ม BPNP นำมาซึ่ง "คำสั่งทุเลา" เป็นการชั่วคราวข้างต้น

ประเด็นชี้ขาดที่สำคัญของศาลฯอยู่ที่ว่า คำวินิจฉัยของ "คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ฯ" ของกรมบัญชีกลาง นั้นมี "ความศักดิ์สิทธิ์" ตามอำนาจหน้าที่ใน มาตรา 119 ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น "คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ฯ" ของกรมบัญชีกลาง ที่ถือเป็นองค์กรตามกฎหมายบริหารงานพัสดุ และมี "ปลัดกระทรวงการคลัง" เป็นประธาน ยังมีกก.โดยตำแหน่ง ได้แก่ "อธิบดีกรมบัญชีกลาง-ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี-ผู้แทนสำนักงานคณะกก.กฤษฎีกา-ผู้แทนสำนักงบประมาณ-ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด-ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น-ผู้แทนสำนักงานคณะกก.นโยบายรัฐวิสาหกิจ-ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน"

หากศาลฯชี้ขาดว่า "บริษัท บีพีเอ็นพีฯ" ขาดคุณสมบัติตามที่ รฟท.กล่าวหาเอง ก็ส่งผลให้คณะกก.การพิจารณาอุทธรณ์ฯ อาจมีความผิดไปด้วย เพราะเป็นผู้วินิจฉัยว่า "บริษัท บีพีเอ็นพีฯ" มีคุณสมบัติถูกต้อง เพราะได้ยื่นจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและมีผลงานโดยถูกต้อง รวมทั้งได้รับการ "ยกเว้น" หลักเกณฑ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐให้มีผู้เข้าแข่งขันประกวดราคาหลายราย

ในทางกลับกันหากที่สุด "คำตัดสิน" ของศาลฯ ยืนตามคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯของกรมบัญชีกลาง ที่มีผลในการเปลี่ยนตัว "ผู้ชนะประมูล"

ก็ต้องไม่ลืมสาระใน "วรรคท้าย" ของมาตรา 119 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ระบุว่า "ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ หรือการยุติเรื่องตามวรรคสี่ และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐ ชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้นแล้ว"

ที่เปิดโอกาสให้ "เอกชน" ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้เท่านั้น ไม่สามารถร้องโต้แย้งถึงผลการประกวดราคาได้ เนื่องจากเป็น "ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย" โดยตรง เป็นเจตนารมณ์ตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างที่คุ้มครองไม่ให้เอกชนฟ้องทบทวนการกระทำของรัฐได้ เพื่อให้งานบริการสาธารณะไม่ต้องสะดุดหยุดลง เพื่อ "กลั่นแกล้ง" หรือเพื่อ "ล้มประมูล"

หรือไม่ต้องไปไกล ย้อนไปถึง "สิทธิ์" ของผู้ฟ้องคดีที่มีเพียง "ไชน่าเรลเวย์" เพียง "ขาเดียว" ใน "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" ที่อาจเข้าข่าย "ไม่มีสิทธิ์" ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ เนื่องจาก "ไม่ใช่คู่กรณี" และ "ไม่ใช่ผู้เสียหาย" รวมทั้ง "ไม่มีอำนาจ" ทำการแทน "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV"

ต้องถือว่าคำตัดสินชี้ขาดของ "ศาลปกครอง" ในคดีสัญญา 3-1 รถไฟไทย-จีน ครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เฉพาะต่อเอกชนที่จะเป็นผู้ชนะประมูลเท่านั้น และแม้เป็นเพียง "ท่อนเดียว" ใน 14 สัญญา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมโครงการรถไฟไทย-จีน ที่ต้องล่าช้าออกไป

โดยมีปฐมเหตุเพียงเพราะ รฟท.ไม่ยอมรับผู้ชนะการประกวดราคาที่เสนอ "ราคาต่ำสุด" และยกข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่สาระสำคัญ มาตัดสิทธิ อันส่งผลในทางเอื้อประโยชน์ให้แก่ "เอกชนรายอื่น" ทั้งที่เข้าข่ายไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และไม่มีเหตุผลความชอบธรรมให้ดำเนินการ

สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผลไปถึง "บรรทัดฐาน" ต่อการจัดซื้อจัดจ้าง "ระบบพัสดุราชการไทย" ของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

ยังมี "ข้อสังเกต" ในกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองอีกว่า "ผู้ฟ้องคดี" ไม่ใช่ "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" แต่เป็น "ไชน่าเรลเวย์" รายเดียว

การที่ผู้ฟ้องคดีมีเพียง "ไชน่าเรลเวย์" เพียง "ขาเดียว" ก็อาจเข้าข่าย "ไม่มีสิทธิ์" ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ เนื่องจาก "ไม่ใช่คู่กรณี" และ "ไม่ใช่ผู้เสียหาย" รวมทั้ง "ไม่มีอำนาจ" ทำการแทน "กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV" เพราะในมาตรา 119 วรรคท้าย ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ให้สิทธิฟ้อง "เรียกค่าเสียหาย" เท่านั้น

มาตรา 119 วรรคท้าย ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯระบุว่า "ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือการยุติเรื่องตามวรรคสี่ และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐ ชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนาม ในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้นแล้ว"

เมื่อบทบัญญัติของกฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ก็นำมาซึ่งความยุ่งเหยิงและวุ่นวายเช่นนี้

น่าวิตกไม่น้อยว่า หาก "ผลแห่งคดีนี้" และ "ดุลยพินิจ" ของ รฟท.ในฐานะเจ้าของสัมปทาน กลายเป็น "บรรทัดฐาน" ต่อไปการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐก็จะจบลงที่การฟ้องร้องทุกโครงการ

ย่อมส่งผลถึงบริการสาธารณะ และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเมกะโปรเจกต์ ต้องสะดุดหรือหยุดชะงักลงไปด้วย.
#6174


กรุงเทพประกันชีวิต เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2564 กรุงเทพประกันชีวิตมีเบี้ยประกันรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 1,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกของทั้งช่องทางธนาคาร ตัวแทน และช่องทางอื่น ๆ จากการออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งได้รับการตอบสนองที่ดีในแต่ละช่องทางจำหน่าย สำหรับเบี้ยรับประกันภัยรวมในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีจำนวน 8,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 18,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า "บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 348,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563
ที่ร้อยละ 3 โดยสินทรัพย์ลงทุนมีสัดส่วนสูงที่สุดคือร้อยละ 94 ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ
751 ล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ร้อยละ 102 เนื่องจากไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทมีการตั้งสำรองค่าเผื่อความผันผวน (PAD: Provision for Adverse Deviation) เพิ่มขึ้น ทางด้านความมั่นคงของฐานะทางการเงิน บริษัทมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) ณ ไตรมาสที่ 2/2564 ที่ระดับร้อยละ 295"

ไตรมาสที่ 2/2564 นี้ ทางบริษัทฯ ได้ทำการตลาดในช่องทางจำหน่ายแต่ละช่องทาง โดยในช่องทางธนาคาร บริษัทเปิดตัวแบบประกันสะสมทรัพย์ใหม่ เกนเฟิสต์ ซิมเพิล (Gain1st Simple) และยังคงทำการตลาดผ่านแคมเปญ "เลือกประกันที่ดี ชีวิตมีแต่ได้" ที่มีนาย ณภัทร เสียงสมบุญ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของกรุงเทพประกันชีวิต ร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบบประกันเกนเฟิสต์ (Gain 1st) ในส่วนของช่องตัวแทนจำหน่าย กรุงเทพประกันชีวิตได้ทำการสื่อสารแคมเปญโฆษณาแบบประกันสุขภาพ บีแอลเอ แฮปปี้เฮลธ์ แบบประกันสุขภาพที่ทำให้หมดความกังวลทั้งค่ารักษาพยาบาลและส่วนเกินค่าห้อง ครอบคลุมค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของทุกโรงพยาบาลแบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม พร้อมเพิ่มความคุ้มครองการเข้าพักรักษาตัวจาก 3 โรคร้าย ตอบโจทย์คนทุกเพศ ทุกวัย อาชีพไหน ๆ ก็ครอบคลุม ทั้งผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงเจ้าของกิจการอีกด้วย

กรุงเทพประกันชีวิต ยังได้เสริมบริการด้านสุขภาพเพื่อครอบคลุมความต้องการในการดูแลสุขภาพของผู้ทำประกันสุขภาพ ผ่านบริการเสริมด้านสุขภาพภายใต้โครงการ BLA Every Care ของกรุงเทพประกันชีวิตให้แข็งแกร่งครบวงจร รองรับความต้องการและดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ และเปิดบริการแพลตฟอร์มออนไลน์บนเว็บไซต์ "BLA Health Partner เพื่อนซี้สุขภาพ" ศูนย์บริการข้อมูลสุขภาพสำหรับลูกค้ากรุงเทพประกันชีวิตที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ในยุควิถีใหม่ ให้ลูกค้าได้รับความอุ่นใจกับข้อมูล คำตอบ และแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ คลายกังวลกับข้อมูลด้านค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารับการรักษา รวมถึงการสอบถามการบริการด้านการดูแลหลังจากการออกจากโรงพยาบาลเพิ่มเติม

นอกจากนี้ กรุงเทพประกันชีวิต มุ่งให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน ผ่านโครงการรับรองรายได้ผู้บริหารตัวแทนมืออาชีพ (Smart Leader) เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพทีมงานขายอย่างมั่นคงและยั่งยืน และร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ

ด้านแผนการลงทุนคู่ความคุ้มครองผ่านที่ปรึกษาการเงินของบริษัท เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านการเงินให้ประชาชนทุกกลุ่ม โครงการ Smart Leader ได้ทำการสื่อสารผ่านแคมเปญ อาชีพของแม่ที่ผมภูมิใจ ที่มีคุณปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย เป็นผู้นำเสนอ ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา

ในไตรมาสที่ 2/2564 นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ได้รับรางวัลบริษัทประกันสุขภาพที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Most Innovative Health Insurance Company) จากงาน International Finance Awards 2020 แสดงถึงการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพชั้นนำที่มีการพัฒนาทางด้านความคุ้มครองสุขภาพที่บริษัทมีนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
#6175


เมอร์เซเดส-เบนซ์ เดินหน้ากิจกรรมการตลาด จัด StarFest ต่อเนื่อง เปิดแคมเปญ แถม "เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิสพลัส" 5 ปี คูปองส่วนลด 5 หมื่นบาท ฯลฯ

แม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังวางใจไม่ได้ แต่เรื่องของธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อไป ด้วยการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ 

กิจกรรมหนึ่ง ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ StarFest (สตาร์เฟสต์) ซึ่งแต่ละปีก็มีผลต่อการผลักดันยอดขายไม่น้อย ไม่ว่าจากส่วนกลางที่จัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงผู้บริโภค เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ หรือว่าในส่วนโชว์รูมต่างๆ ของดีลเลอร์ทั่วประเทศที่จัดขึ้นพร้อมๆ กัน ภายใต้แคมปญเดียว

ปีนี้แม้การจัดในพื้นที่ส่วนกลางไม่อาจทำได้ แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็ยังเชื่อว่า การจัดในโชว์รูม ยังได้รับความสนใจ 

แม้ว่าที่ผ่านมาจะพบว่าอัตราการเข้าโชว์รูมของผู้บริโภคลดลง จะด้วยเหตุผล ของโลกดิจิทัลที่กระจายอย่างรวดเร็วไม่แพ้โควิด-19 หรือ การพยายามไม่พบปะผู้คนของผู้คนก็ตาม 

แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็เห็นว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่มาโชว์รูม ส่วนใหญ่ คือตั้งใจซื้อจริง 


ดังนั้นกิจกรรม StarFest ปีนี้ ก็มีเช่นเดิม และจัดขึ้นเฉพาะโชว์รูมตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น พร้อมแคมเปญ "StarFest 2021: Season of the ultimate offers" โดยจะลากยาวไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. กับข้อเสนอในการเลือกซื้อรถทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี 

แคมเปญมีอะไรบ้าง


1. แถม "เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิสพลัส" หรือโปรแกรมการบำรุงรักษารถยนต์ตามข้อกำหนด MBSP Compact รวม 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง โดยรถยนต์รุ่นที่ร่วมรายการนี้ ประกอบด้วย 

C-Class, 
C Coupe
E-Class
GLC
GLC Coupe
V-Class
 Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe
Mercedes-AMG CLS 534MATIC+

คลิกที่นี่ครบจบ อัพเดทเช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40
ราคาทองฟิวเจอร์พุ่ง 1.4% ได้ปัจจัยดอลล์อ่อนหนุนตลาด
ราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสร่วงวันที่ 2
2.ส่วนลด 10,000 บาท สำหรับการซื้อ Mercedes-Benz Collection, กล้องติดรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือ ชุดสินค้าบำรุงรักษารถยนต์ โดยรถที่ร่วมรายการนี้ คือ 

Mercedes-Benz ทุกรุ่น
Mercedes-AMG ทุกรุ่น
3. ข้อเสนอพิเศษ สำหรับผู้ที่ใช้บริการของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง คือ

แถมประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protectionนาน 2 ปี เมื่อทำสัญญามายสตาร์ หรือสัญญาเช่าทางการเงิน โดยรถที่เข้าร่วมรายการนี้ ประกอบด้วย C-Class

C Coupe
E-Class
GLC
GLC Coupe
#6176


นางลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BH แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี2564 จำนวน 216.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น387.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.42 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รวม3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% โดยเป็นรายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 2,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น23% จาก2,422 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563

ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างประเทศ 27.3%และ 18.5% ตามลําดับ เป็นผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วน 53.6%จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น46.4% ในไตรมาส 2 ปี 2564 เทียบกับ 51.8% และ 48.2%ตามลําดับในไตรมาส 2 ปี 2563

ส่วนผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก2564 มีกำไรสุทธิ 307.59 ล้านบาท ลดลง 62%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 809.62 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ 5,694 ล้านบาท ลดลง13.5% จากครึ่งปีแรก2563 ที่มีรายได้รวม 6,586 ล้านบาท 

ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ 32.3% หักลบกับการเพิ่มขึ้นของราไยด้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย13.1% เป็นผลทำให้รายได้จากลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็น53.7% จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น46.3%ในครึ่งปีแรกของปี2564เทียบกับ41%และ59%ตามลำดัล ในครึ่งปีแรกของปี2563

ขณะที่คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด)อนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกปี 2564 (1ม.ค.-30มิ.ย.2564) ในอัตรา1.15 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 26 ส.ค. 2564 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 25 ส.ค. 2564 กำหนดจ่ายวันที่ 8 ก.ย.2564
#6177


นายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 335.6 ล้านบาท ลดลง 8.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ KEX ประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุกทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเภทการจัดส่งราคาประหยัด และมุ่งขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ตลาดการเกษตร ด้วยการนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคาและแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจทุกภูมิภาดทั่วประเทศ

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตอย่างโดดเด่นและรายงานผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ด้วยกำไรสุทธิที่ 336 ล้านบาท พร้อมทั้งอัตรากำไรสุทธิที่ 7.3% จากความสำเร็จของการเข้าถึงลูกค้าด้วยการตลาดและการขายที่แข็งแกร่ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ บริษัท ได้ดำเนินการยกระดับแพลตฟอร์มการจัดส่งพัสดุมาอย่างต่อเนื่อง โดย KEX เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพ การบริการที่เยี่ยมยอด และเครื่อข่ายการจัดส่งที่มีเถียรภาพ เพื่อให้การจัดส่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเป็นไปอย่างมีระบบและคล่องตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ KEX ถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของลูกค้า การันตีด้วยรางวัล No.1 Brand Thailand 4 ปีติดต่อกัน จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Marketeer ผ่านการโหวตของผู้บริโภคจากทุกภาคทั่วประเทศไทย ได้รับคะแนนนำทิ้งห่างคู่แข่ง สะท้อนถึงความเหนือระดับของแบรนด์ KEX ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเป็นอย่างดี

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นอกจากนี้ KEX ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยให้ความสำคัญต่อมาตรการที่รัดกุมสำหรับมาตรฐานด้านสุขอนามัย เช่น ห้ามไม่ให้พนักงานเดินทางข้ามจังหวัด การขนส่งที่เว้นระยะห่าง และการสนับสนุนให้พนักงานในสำนักงานทั้งหมดทำงานจากที่บ้าน ในขณะที่มาตรการความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าก็ยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน

KEX ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในครึ่งแรกของปี KEX ทำการจัดส่งพัสดุไปแล้วกว่า 166.6 ล้านชิ้น หรือเติบโตกว่า 10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลยุทธ์การกำหนดราคาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในช่วงโควิด- 19

ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 KEX แถลงรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 4,600 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 9.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านราคาที่กล่าวไปแล้ว แม้จำนวนวันทำการในไตรมาสนี้จะน้อยกว่าเล็กน้อยก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 รายได้ลดลง 14.6%

จากปริมาณพัสดุที่สูงผิดปกติในไตรมาส 2 ของปี 2563 ในช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์การแพร่ระบาด อีกทั้งสถานการณ์ที่ยังคงยืดเยื้อเป็นเหตุให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอลง และประชาชนมีดวามระมัดระวังในการใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของรายได้แยกตามประเภทของลูกค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านต้นทุนขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 11.5% จากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนการจัดส่งพัสดุที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า นั่นหมายถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างตึ ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนลดลงต่อเนื่องในอัตรา 14.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การพัฒนาคุณภาพของระบบและเครือข่ายการขนส่ง รวมถึงการประหยัดต่อขนาด

อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณการจัดส่งที่มากกว่าปกติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา KEX ยังคงให้ความสำคัญต่อมาตรการตวามปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าผ่านกระบวนการรีเอ็นจิเนียริ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่คำช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 4.0% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและการให้บริการ โดยมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อการขยายตัวทางธุรกิจ ทั้งนี้ KEX ยังคงสามารถดำเนินการลดคำใช้จ่ายรวมลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยลดลงกว่า 19.8% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ด้วยกลยุทธ์การปรับราคาประกอบกับการพัฒนาระบบการทำงาน ทำให้ทั้งอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA Margin) อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) และอัตราทำไรสุทธิ ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 21.4% 9.3% และ 7.3% ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถานบันการเงินทั้งจำนวนโดยใช้เงินเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก
#6178


รอยเตอร์ - กัมพูชาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของประชากรแล้ว นับเป็นอัตราสูงสุดในเอเชีย ตามข้อมูลของทางการที่เผยแพร่วันนี้ (11) โดยการทูตวัคซีนมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของประเทศ

กัมพูชา พันธมิตรของจีนและหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดของเอเชีย เริ่มฉีดวัคซีนด้วยวัคซีนที่ผลิตขึ้นในจีนในเดือน ก.พ. ขณะเดียวกันประเทศยังได้รับวัคซีนหลายล้านโดสจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวเมื่อวันอังคาร (10) ว่า กัมพูชาควรบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ประชากร 10 ล้านคน ได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ราว 7-8 เดือน

จากประชากรในประเทศทั้งหมด 16 ล้านคน ปัจจุบันมีชาวเขมร 8.3 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และในจำนวนดังกล่าวได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 6.4 ล้านคน

อัตรานี้ใกล้เคียงกับมาเลเซีย ที่ประชากรในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว 49.4% แต่สูงกว่าไทยซึ่งอยู่ที่ 25% และเวียดนาม 12%

จีนได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กัมพูชาแล้ว 18.7 ล้านโดส ในจำนวนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่บริจาคให้ 3.2 ล้านโดส ตามการระบุของสถานทูตจีน

สหรัฐฯ ประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนแก่กัมพูชา 4 ล้านดอลลาร์ หลังบริจาควัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 1 ล้านโดส ผ่านโครงการโคแว็กซ์

"สหรัฐฯ จะยังคงบริจาควัคซีนเพิ่มเติมทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อวัคซีนมีมากพอ" โฆษกสถานทูตสหรัฐฯ ระบุ

เซบาสเตียน สแตรนจิโอ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ไม่ว่าด้วยเจตนาหรือความบังเอิญ กัมพูชาทำได้ดีจากการแข่งขันระหว่างประเทศ

"กัมพูชาได้ประโยชน์จากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาทำให้ประเทศเข้าถึงวัคซีนผ่านโครงการโคแว็กซ์ ผู้สังเกตการณ์ภายนอกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ จะไม่สงสัยในเรื่องของความก้าวหน้าด้านวัคซีนของกัมพูชาหากมองผ่านเลนส์ของความสัมพันธ์ใกล้ชิดของกัมพูชากับจีน และชัดเจนว่าการบริจาคของจีนคือคำอธิบายสำหรับความสำเร็จของประเทศ" สแตรนจิโอ กล่าว.
#6179


ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ เช่นเดียวกับสมุนไพรประเภทที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย สาวใต้วัย 23 ปี จึงถือกำเนิดแบรนด์ "Suamtaek" น้ำสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ผลตอบรับล้นหลามจึงปรับโดยการแปรรูปเป็น เจลลี่ เพื่อขายกลุ่มลูกค้า ให้สามารถกินได้ง่ายกว่าเดิม



ปภาวรินท์ พึ่งเกียรติรัศมี หรือปันปัน เจ้าของแบรนด์ "Suamtaek" วัย 23 ปี เล่าว่า หลังจากเรียนจบจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็กลับมาช่วยงานที่บ้าน ในจังหวัดสงขลา ระหว่างนั้นก็ต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย โดยตนก็เริ่มจากการขายสมุนไพรอบแห้ง และพัฒนามาเป็น สมุนไพรแบบบรรจุขวดพร้อมดื่ม แต่ก็ติดปัญหาตรงที่ไม่สามารถส่งให้ลูกค้าที่อยู่ในระยะไกลได้



ทั้งนี้ตนยังต้องการที่จะพัฒนาสินค้าให้แปลกและแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทำให้สมุนไพรนี้สามารถกินได้ง่ายขึ้น ไม่มีกลิ่น หรือรส ที่เป็นสมุนไพร ทำให้ลูกค้ากลุ่มที่ไม่ชื่นชอบน้ำสมุนไพรแบบต้ม ได้มาลองในรูปแบบเจลลี่ รสองุ่น จึงเริ่มขึ้นมาเป็นแบรนด์ "Suamtaek" ซึ่งเปิดตัวมาได้นาน 3 เดือนแล้ว



สำหรับส่วนประกอบหลักๆ ที่มีอยู่ในเจลลี่ "Suamtaek" คือ ไคโตซาน ไซเลี่ยมฮัสก์ เมล็ดกาแฟสด บร็อคโคลี่ พุทรา และดอกเก็กฮวย เป็นต้น ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นออร์แกนิค และผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิตอีกด้วย



"ตอนที่ตัดสินใจทำส่วนตัวเรียกได้ว่าเป็นคนธาตุหนักขับถ่ายยาก บวกกับเป็นริดสีดวง หลักจากเรียนจบกลับมาก็อยากหาอะไรทำ จึงเลือกทำเป็นสมุนไพรดีท็อกซ์ ลองขายหลายรูปแบบ ล่าสุดพัฒนาแปรรูปให้เป็น เจลลี่ ดีท็อกซ์ เรียกได้ว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำสมุนไพรดีท็อกซ์ ในรูปแบบเจลลี่แบบนี้ด้วยค่ะ ผลตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมากเพราะว่าลูกค้าที่เคยซื้อไปลองแล้ว ยังกลับมาซื้อซำ้อีกบ่อยๆ จนตอนนี้สินค้าที่ผลิตออกมาล็อตแรกๆ ใกล้หมดแล้ว และเตรียมสั่งล็อตต่อไปเรียบร้อย"



สินค้าใน 1 กล่องจะมีทั้งหมด 5 ชิ้น ราคากล่องละ 290 บาท ซึ่งงานทั้งหมดจะทำเองเรียกได้ว่าตั้งแต่ต้นจนไปถึงมือลูกค้า ดูแลในเรื่องของการติดต่อโรงงาน การตลาด ทั้งการโปรโมท ลงโฆษณา แผนการขายโปรโมชั่น วางแผนทำเองทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวเอง และในการทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ การเริ่มต้นจะต้องมีทุน แน่นอนว่าการทำธุรกิจจะต้องมีเงินทุน และอีกอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจคือต้องมีไอเดีย เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด



ในการทำธุรกิจนอกจากมีทุน และไอเดียแล้ว ยังต้องมีในเรื่องของความพร้อม พร้อมในที่นี้คือ พร้อมที่จะทำธุรกิจ ต้องมีการวางแผนให้ดี ไม่วู่วาม สำรวจตลาดให้ดี รอบคอบ เช่น การทำธุรกิจในครั้งนี้จะทำอย่างไรให้แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ



สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในช่วง โควิด-19 เช่นนี้ ทำให้การทำงานยากขึ้นไปอีก เนื่องจากการวางแผนในครั้งแรกคือเรื่องของราคา การตั้งราคาที่สูงทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อยาก และด้วยสินค้าของ "Suamtaek" ถือเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury goods) คือจะมีหรือไม่มีก็ได้ ทำให้ยากในเรื่องการปิดยอดขาย



ในอนาคตตั้งเป้าไว้ว่า จะเพิ่มในรสชาติของเจลลี่ดีท็อกซ์ ให้มีเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งผลิตสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ที่เกี่ยวกับรังนกที่เป็นธุรกิจของที่บ้าน อาจจะเลือกเพิ่มสินค้าในไลน์อื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเสริมกับธุรกิจของครอบครัวอีกช่องทางหนึ่ง

สนใจติดต่อ เฟซบุ๊ก : Suamtaek_detox
#6180


บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) หรือ PAP ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ประจำปี 2564 เติบโตต่อเนื่อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257 ล้านบาท หรือร้อยละ 2,641 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นางเอื้อมพร ปัญญาใส กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 4,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,102 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 กำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2564 ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจยังคงมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องรักษาการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 2,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 568 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญยังคงมาจากทิศทางราคาเหล็กโลก และราคาเหล็กในประเทศที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแผนบริหารจัดการสินค้าคงเหลือ การลดต้นทุน และการจัดการภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมด้านแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงแผนการผลิตและขนส่งสินค้า เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าและบริการให้แก่คู่ค้า ลูกค้า ได้ทันต่อความต้องการ ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ในการทำงาน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การบริหารจัดการต้นทุน และเตรียมพร้อมบุคลากร อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยของพนักงานขั้นสูงสุด มีการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่พนักงาน ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการให้พนักงานทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 100% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า รวมทั้งสร้างความปลอดภัยในระดับสูงสุดให้ทั้งพนักงานและคู่ค้า นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบาย Work From Home เพื่อให้พนักงานลดความเสี่ยง รวมทั้งการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ พร้อมจัดทำสถานที่กักตัว หรือโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (FAI) จัดเตรียมที่พักผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับพนักงานที่ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว

จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ สามารถดำเนินการส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้า ลูกค้า ได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพ และจะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น