• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#2961


ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินผลกระทบของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ประชากรราว 80 ล้านคนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชียเข้าสู่ "ความยากจนขั้นรุนแรง" (extreme poverty) และอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหยระดับโลกภายในปี 2030

แบบจำลองของ ADB ระบุว่า อัตราความยากจนขั้นรุนแรงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชีย ซึ่งหมายถึงสัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จะลดลงเหลือเพียง 2.6% ในปี 2020 จากระดับ 5.2% ในปี 2017 หากไม่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ทว่า วิกฤตสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทำให้อัตราความยากจนขั้นรุนแรงพุ่งสูงกว่าที่ประเมินไว้ราว 2%

รายงานของ ADB ย้ำว่า ตัวเลขอาจจะสูงยิ่งกว่านี้ หากพิจารณาถึงความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น สุขภาวะ การศึกษา และการหยุดชะงักของงาน (work disruptions) ที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากโควิด-19 ทำให้การเคลื่อนย้ายของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก

"ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมจากมาตรการควบคุมโรคยังคงปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประชากรจำนวนมากต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง และสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรของความยากจน" ADB ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงมะนิลา ระบุ

ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา 46 ชาติ และประเทศพัฒนาแล้ว 3 ชาติในเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิกของ ADB มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการจ้างงานที่ลดลงส่งผลให้ชั่วโมงการทำงานในภูมิภาคนี้ลดลงประมาณ 8% ซึ่งส่งผลกระทบมากเป็นพิเศษต่อครัวเรือนที่มีฐานะยากจน และแรงงานนอกระบบ (informal sector)

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ยังเพิ่มความท้าทายให้ภูมิภาคนี้ในการที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมายด้านการพัฒนาที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้กำหนดไว้เมื่อปี 2015

รัฐสมาชิกยูเอ็นได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development goals : SDGs) 17 ประการ ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ท้าทายตั้งแต่การขจัดปัญหาความยากจน เรื่อยไปจนถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ รวมถึงขยายโอกาสทางการศึกษาและบริการด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มภายในปี 2030

"เอเชียและแปซิฟิกมีระดับความก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทว่า สถานการณ์โควิด-19 เผยให้เห็นรอยแยกทางเศรษฐกิจที่อาจจะบั่นทอนการพัฒนาอย่างยั่งยืนแบบองค์รวมของภูมิภาคนี้" ยาสุยุกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ADB ระบุในถ้อยแถลง

ที่มา : รอยเตอร์
#2962


กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย และ ครอปไลฟ์ เอเชีย จัดการฝึกอบรมหลักสูตร "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ทางการเกษตร (UAV) และ การประมวลผลภาพ (Image processing)" เพื่อสร้างความเข้าใจในกฎระเบียบของเทคโนโลยี UAV ทางการเกษตรในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องและปลอดภัยในระดับสากล สามารถนำทักษะมาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรอัจฉริยะ เสริมอาชีพ สร้างความปลอดภัย พร้อมก้าวสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะ โดยมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานในระดับเอเชีย มากกว่า 1,200 คน ประกอบด้วย นักวิจัยภาครัฐ/เอกชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ Start up ด้านการเกษตร นิสิต/นักศึกษา



นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช เปิดเผยว่า จากแนวทางนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการนำนวัตกรรม/เทคโนโลยีในภาคเกษตรกรรมของประเทศและของโลก มาถ่ายทอดให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งการผลิตและการต่อยอดงานวิจัย กรมวิชาการเกษตร จึงได้ร่วมกับสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย และ ครอปไลฟ์ เอเชีย จัดการฝึกอบรมหลักสูตร "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ทางการเกษตร (UAV) และ การประมวลผลภาพ (Image processing)" ขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในกฎระเบียบของเทคโนโลยี UAV ทางการเกษตรในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องและปลอดภัยในระดับสากล โดยหลักสูตรการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่

- การศึกษาข้อบังคับและกฎหมายของการใช้โดรน ผู้ใช้โดรนจะได้ทราบขั้นตอนและวิธีการขึ้นทะเบียนโดรนเกษตร การขออนุญาตใช้คลื่นความถี่สำหรับอากาศยานไร้คนขับ และพ.ร.บ.วัตถุอันตรายทางการเกษตร
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Image Processing กับงานด้านอารักขาพืช เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชด้วยการใช้โดรนทางการเกษตร กรณีการศึกษาการเข้าทำลายของไรแดงแอฟริกันในทุเรียน ที่ถูกยกเป็นกรณีศึกษาให้ผู้เข้าอบรม
- การใช้งานและการประยุกต์ใช้ UAV ทางการเกษตร โดยการวางกฎระเบียบการใช้ โดรนด้านการเกษตร แลกเปลี่ยนมุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อการพัฒนาโดรน และการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยจากประสบการณ์จริง
- การศึกษาเทคนิคการพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชด้วยโดรนการเกษตร เพื่อเป็นอาวุธลับให้เกษตรกรและผู้ใช้โดรน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย



อากาศยานไร้คนขับ หรือ UAV เข้ามามีบทบาททางการเกษตรในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เป็นเครื่องมือที่เกษตรกร หรือนักวิจัย ใช้ในกระบวนการการผลิตและวิจัย เพื่อรองรับการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศไทย ในยุคที่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาสร้างตลาดและมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร กรมวิชาการเกษตรพยายามขับเคลื่อนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาภาคการเกษตร อาทิการใช้เซนเซอร์ชนิดต่างๆ เช่น กล้อง RGB กล้อง MULTISPECTRAL เซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม ตรวจวัดดิน/น้ำ พร้อมทั้งปรับรูปแบบของการบันทึกและการจัดเก็บข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบของ Digital Data บน Platform เดียวกัน เพื่อการเชื่อมโยงงานด้านการเกษตรเข้ากับงานด้านไอที และเครื่องจักรกลการเกษตร นำไปสู่การประมวลผลและสั่งการการทำงานของอุปกรณ์/เครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งการอบรมครั้งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation จากภาคการเกษตร สำหรับการเตรียมความพร้อมของนักวิจัย เกษตรกร ผู้ประกอบการ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก นายศรุต กล่าวสรุป



ด้าน นาย เจอริโก เบอนาบี แกสกอน นายกสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ทำกินของคนในประเทศ และเป็นหัวใจหรือหลอดเลือดของเกษตรกร จากอดีตจนถึงปัจจุบันเกษตรกรมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมาย มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เป็นตัวช่วยให้การทำงานรวดเร็ว และสะดวกสบายมากยิ่ง จวบจนปัจจุบัน "โดรน" หรือ อากาศยานไร้คนขับ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมในภาคอุตสาหกรรมเกษตร มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสมกับโลกการผลิตให้เป็นจริงในระดับประเทศ ในยุคของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดรนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถนำประโยชน์มาสู่เกษตรกรอย่างมากมาย เช่น การประหยัดแรงงาน ลดการสัมผัสของผู้ปฏิบัติงาน ลดต้นทุนของเกษตรกร มีความคุ้มทุน คล่องตัว รวดเร็ว ประหยัดเวลา รวมทั้งมีความแม่นยำและลดความสูญเสียได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนทำให้ผลผลิตของเกษตรกรมีคุณภาพ สามารถสร้างรายได้ให้ผู้ใช้โดรนอีกด้วย และในอนาคต "โดรน" อาจเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญของเกษตรกรไทย ที่ทำให้ทุกคนให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้จะใช้งานได้อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน



ทั้งนี้ เป้าหมายในการฝึกอบรมดังกล่าว คือ ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบและการขึ้นทะเบียน ความปลอดภัย ตลอดจนการนำเทคโนโลยี และภาควิชาการของโดรนทางการเกษตรไปใช้ในทุกแง่มุม จำเป็นต้องเกิดจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ครอปไลฟ์ เอเชีย กำลังผนึกกำลังกับรัฐบาลทั่วเอเชีย ในการเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีทางการเกษตร ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นในการสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาลไทยและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีโดรนให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เกษตรกร รวมทั้งนักศึกษาหรือผู้ว่างงานได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถเสริมสร้างอาชีพ เกิดรายได้ พร้อมก้าวเข้าสู่การเป็น "เกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture)" อย่างมีประสิทธิภาพได้ในวงกว้าง นาย เจอริโก กล่าวทิ้งท้าย



สำหรับผู้สนใจหลักสูตร "การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนทางการเกษตร (UAV)" รวมถึงการขอข้อมูลเกี่ยวกับโดรนทางการเกษตรในงานด้านอารักขาพืช สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช กลุ่มกีฏและสัตววิทยา สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร 02-579-4115, 02-579-1061 ต่อ 162 หรือ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https://web.facebook.com/PATRS.DOA/ และสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https://www.facebook.com/taitacroplifethailand
#2963


ความเคลื่อนไหวการแขังขันฟุต. เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่จะมีการแข่งขันระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565 โดยมี 11 ชาติเข้าร่วม ประกอบไปด้วย ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, สิงคโปร์, กัมพูชา, สปป.ลาว, บรูไน และ ติมอร์ เลสเต

ล่าสุด "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย เปิดเผยว่ามีความประสงค์ที่จะให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เพื่อเป็นการเรียกศรัทธาของแฟน.กลับคืนมาอย่างแท้จริง "ที่ผ่านมาได้รับทราบว่าทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอให้ไทยเป็นเจ้าภาพซูซูกิ คัพ ในปลายปีนี้ เรื่องนี้แป้งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง โดยอย่างแรกคือถ้าเราได้เป็นเจ้าภาพเราไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องมีการกักตัว ส่งผลดีโดยตรงต่อสโมสรในไทยลีกที่นักเตะตัวหลักไม่ต้องพักนานจบจากทีมชาติสามารถกลับเข้าสโมสรได้ทันที"

"แฟน.ชาวไทย และคนไทยทุกคนต้องการเห็นแชมป์ฟุต.รายการนี้มากที่สุด และเราเป็นเจ้าของแชมป์รายการนี้มากที่สุด ดังนั้นเราไม่มีทางเลือกอื่นคือต้องการกลับไปคว้าแชมป์ให้ได้ นอกจากนี้หากถึงช่วงปลายปีสถานการ์โควิด-19 ในประเทศเราเบาบางลง เราอยากเห็นแฟน.เข้าชมเกมที่สนามราชมังคลากีฬาสถานอีกครั้ง"

"อยากวอนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการนำฟุต.รายการนี้มาจัดที่ไทยให้ได้ เพราะตอนนี้เราได้ทราบข่าวมาว่าทางกัมพูชาเตรียมพร้อมอย่างมากที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเช่นกัน หากเราต้องออกไปเล่นนอกประเทศคงไม่ใช่เรื่องดีในหลายมุม ดังนั้นเราต้องการเป็นเจ้าภาพฟุต.ซูซูกิ คัพ ในครั้งนี้"
#2964
สำหรับ โถ สุขภัณฑ์ นั้น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นสิ่งที่จะอำนวยความสะดวกต่อคุณภาพชีวิตในด้านสุขนามัยของเรา โดยก่อนที่จะตัดสินใจซื้อควรคำนึงถึงคุณภาพ ความคงทน ความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมสำหรับการใช้งาน เพราะ โถส้วมเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้กันไปอย่างยาวนาน ยิ่งเมื่อมีการติดตั้งไว้ในห้องน้ำของแล้วก็เป็นการยากที่จะรื้อถอนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างยาวนานจึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

วิธีการเลือกใช้โถ สุขภัณฑ์ ให้มีความเหมาะสมและคุ้มค่าต่อการใช้งานในระยะยาวมีดังต่อไปนี้

1. ขนาดและรูปทรง

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคือเรื่องของขนาดของผลิตภัณฑ์ โดยต้องวัดจากขนาดพื้นที่ห้องน้ำของเราจริงๆ เพื่อให้สามารถตั้งวางและมีพื้นที่พอเหมาะสำหรับการใช้งานในส่วนอื่นๆบริเวณภายในห้องน้ำของเรา นอกจากนี้ยังต้องเลือกรูปทรงที่เหมาะสมต่อการใช้งานทั้งตัวเราเองและครอบครัวอีกด้วย เช่น หากมีผู้สูงวัยในบ้านก็ควรเลือกแบบตั้งพื้น เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่าย

2. วัสดุและยี่ห้อ

เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการผลิตนั้นมีหลายเกรด ซึ่งมีคุณภาพที่แตกต่างกันออกไป วิธีการเลือกที่ง่ายที่สุดคือให้ดูจากยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก เพราะคุณสามารถหาข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงได้โดยง่าย ยิ่งเป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นไปได้มากว่ามีคุณภาพที่ดี เมื่อได้ยี่ห้อที่โดนใจแล้วก็คำนึงในเรื่องของวัสดุที่ใช้ในการผิตในลำดับต่อไปเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

3. ราคาและงบประมาณ

ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทำการซื้อผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง ท่านควรตั้งงบประมาณที่ต้องการใช้จ่ายเอาไว้ก่อนทำการเลือกซื้อ เพื่อสามารถควบคุมงบประมาณและค่าใช้จ่ายของเราได้อย่างไม่บานปลาย สำหรับราคาของผลิตภัณฑ์นั้นมีหลากหลายตามเกรดวัสดุและยี่ห้อผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจึงควรเลือกให้คุ้มค่าสมราคากับที่เราตั้งงบประมาณใช้จ่ายไว้มากที่สุด

เรียกได้ว่าการเลือกโถ สุขภัณฑ์ เพื่อใช้งานในระยะยาวสำหรับบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยของคุณนั้นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากคุณจะต้องใช้งานไปในระยะยาวแล้วนั้น ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณอีกด้วย ควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดีในราคาคุ้มค่ารวมถึงต้องคำนึงถึงขนาดของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเลือกซื้อให้พอดีกับพื้นห้องน้ำและสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นการเลือกชักโครกที่ดีและมีคุณภาพยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่คุณรักให้ดีขึ้นอีกด้วย
#2965


ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในวันจันทร์(23ส.ค.) หลังจากขยับลงมา 7 วันติดเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 จากแรงช้อนชื้อและดอลลาร์อ่อนค่า ปัจจัยหลังนี้ทองคำดีดตัว ขณะที่วอลล์สตรีทปิดบวกอย่างแข็งแกร่ง จากข่าวคราวแง่บวกที่ช่วยปัดเป่าความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 3.32 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ฟื้นตัวจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งดิ่งลงหนักเกือบ 9% ถือเป็นสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน และเป็นการปรับลด 2 ใน 3 สัปดาห์หลังสุด ในขณะที่สัญญาเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียตในวันศุกร์(20ส.ค.) แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงช่วยดันให้ราคาทองคำในวันจันทร์(23ส.ค.) ฟื้นตัวแรงเช่นกัน ขยับเหนือ 1,800 ดอลลาร์อีกครั้ง โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 22.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,806.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกแข็งแกร่งในวันจันทร์(23ส.ค.) ได้แรงหนุนจากข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์และความเคลื่อนไหวอนุมัติวัคซีนโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนจับตาไปที่การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 215.63 จุด (0.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,335.71 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 37.86 จุด (0.85 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,479.53 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 227.99 จุด (1.55 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,942.65 จุด

วอลล์สตรีทได้แรงหนุนจากยอดขายบ้านที่แข็งแกร่งเกินคาดหมายของสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นักลงทุนจับตาไปที่คำแถลงในวันศุกร์(27ส.ค.) ของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ณ ที่ประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ซึ่งคาดหมายว่าเขาจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

(ที่มา:มาร์เก็ตวอตช์/เอเอฟพี)
#2966


ล่าสุดคือ "แอร์เอเชีย ดิจิทัล" หน่วยธุรกิจด้านดิจิทัลของกลุ่มแอร์เอเชีย เปิดตัวบริการใหม่ "แอร์เอเชียฟู้ด" (airasia food) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 เพื่อยกระดับ "แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ" (airasia super app) โดดเด่นเรื่องสินค้าท่องเที่ยว โดยเฉพาะการจองเที่ยวบินและโรงแรมที่พัก พุ่งเป้าสู่จุดหมายสำคัญ นั่นคือการเป็นซูเปอร์แอพชั้นนั้นของภูมิภาคอาเซียน!

หลังจากเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 เจ้าพ่อสายการบินโลว์คอสต์แห่งอาเซียน "โทนี่ เฟอร์นันเดส" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ "โกเจ็ก" (Gojek) ส่วนที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท (50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ขณะที่โกเจ็ก สตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซียผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมัลติเซอร์วิสรายใหญ่ชั้นนำของอาเซียน จะเข้าถือหุ้นบางส่วนในแอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ ซึ่งมีมูลค่าประเมินทางตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) และทำให้โกเจ็กสามารถเพิ่มการลงทุนในการดำเนินงานได้ โดยเฉพาะในตลาดเวียดนามและสิงคโปร์

วรุฒ วุฒิพงศาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ กล่าวว่า ด้วยการผนึกความรู้ที่ได้จากความสำเร็จของซูเปอร์แอพในมาเลเซียและสิงคโปร์ ความเชี่ยวชาญของทีมเทเลพอร์ต ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของกลุ่มแอร์เอเชีย ความแข็งแกร่งของทีมแอร์เอเชียในเรื่องของธุรกิจท่องเที่ยว และความเข้าใจในตลาดของทีมงานโกเจ็ก ประเทศไทย จึงเชื่อว่า "แอร์เอเชียฟู้ด" จะสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าที่สุดและกลายเป็นทางเลือกที่ผู้คนในกรุงเทพฯนิยมใช้อย่างแน่นอน

โดยบริการ airasia food เปิดตัวพร้อมแคมเปญฟรี 30,000 มื้อตลอดระยะเวลา 30 วัน และส่วนลดอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมให้บริการสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ 4 พื้นที่ ได้แก่ ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว และห้วยขวาง

จากนั้นจะขยายพื้นที่ให้บริการอีก 4 เขตเร็วๆ นี้ ได้แก่ พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน และวัฒนา โดยในแอพพลิเคชันมีร้านค้ามากมายหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่แบรนด์ดังอย่างแมคโดนัลด์ แฟลช คอฟฟี่ หรือคาเฟ่ อเมซอน ไปจนถึงร้านค้าเอสเอ็มอี และเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.30 น. ถึง 19.00 น. ของทุกวัน พร้อมตั้งเป้าขยายสู่พื้นที่อื่นๆ อาทิ เชียงใหม่และภูเก็ตในอนาคตอันใกล้

"และสำหรับร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ในการเปิดตัวเราขอมอบค่าคอมมิชชั่นเพียง 5% ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนร้านค้าในขณะนี้" วรุฒกล่าว



ฟาก "โรบินฮู้ด" (Robinhood) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หลังจากรุกทำตลาด "ฟู้ดดิลิเวอรี่" ด้วยการชูจุดขายค่าจีพี (GP: Gross Profit) หรือค่าบริการระบบที่ร้านอาหารจ่ายให้กับแพลตฟอร์มที่ 0% จนสามารถสร้างฐานลูกค้ามากกว่า 2 ล้านรายในปัจจุบัน ให้บริการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 4 จังหวัด มีร้านอาหารเข้าร่วมมากกว่า 1.3 แสนราย ไรเดอร์ 2.6 หมื่นคน

ล่าสุดขอกระโดดร่วมวงชิงส่วนแบ่งตลาดบริษัทตัวแทนขายท่องเที่ยวออนไลน์ หรือ "Online Travel Agents" (OTA) ด้วยการนำคอนเซ็ปต์เดียวกับการบุกตลาดฟู้ดดิลิเวอรี่ ชูจุดขาย "Zero GP OTA" เก็บค่าคอมมิชชั่น 0% จากผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว เพื่อหนุนโรบินฮู้ดสู่หมุดหมายการเป็นซูเปอร์แอพ!

สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า โรบินฮู้ดเตรียมเปิดตัวบริการ "โรบินฮู้ด ทราเวล" อย่างเป็นทางการในต้นปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดคนไทยน่าจะออกท่องเที่ยวภายในประเทศได้อีกครั้ง โดยออกแบบบริการให้ครอบคลุมความต้องการสินค้าท่องเที่ยวตลอดเส้นทางการเดินทางของลูกค้า ทั้งที่พักโรงแรม เที่ยวบิน ทัวร์และกิจกรรม รวมถึงบริการรถเช่า

"ธุรกิจ OTA หลายๆ รายของต่างประเทศจะแข่งกันที่ราคา และมีการเก็บค่าคอมมิชชั่นจากผู้ประกอบการประมาณ 30-35% เพื่อทำกำไร แต่โรบินฮู้ดเก็บค่าคอมมิชชั่นที่ 0% เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถออกโปรโมชั่น ขายแพ็คเกจแบบมัดรวม (Bundle Packages) ในการดึงดูดลูกค้าได้ เช่น แพ็คเกจห้องพักแถมสปา แพ็คเกจห้องพักแถมอาหารมื้อค่ำ และอื่นๆ"

พงศ์ศักดิ์ ตฤณธวัช ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ โรบินฮู้ด กล่าวเสริมว่า และในเมื่อไม่มีการเก็บค่าคอมมิชชั่นและค่า Visibility Booster ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราการปรากฏของสินค้าท่องเที่ยวบนหน้าแพลตฟอร์ม ทางโรบินฮู้ดเลือกใช้วิธีเรียงการนำเสนอผู้ประกอบการกลุ่มที่เป็น "Preferred Partners" ซึ่งมีการนำเสนอดีลพิเศษ เพิ่มสิทธิประโยชน์ เช่น ให้วอยเชอร์ส่วนลดสำหรับใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ และของแถมต่างๆ จัดเป็นแพ็คเกจให้แก่ลูกค้า ให้ปรากฏอยู่ในหน้าแรกๆ ของแพลตฟอร์ม

"ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมบางแห่งมีข้อตกลงกับ OTA รายอื่นว่าไม่สามารถขายในราคาต่ำกว่านี้ได้ ถ้าเช่นนั้น...โรบินฮู้ดบอกไม่เป็นไร ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายในราคาเท่ากับ OTA รายอื่นได้ แต่ขอมีสิทธิประโยชน์เพิ่มแต่แก่ลูกค้าแทน โดยโรบินฮู้ดทราเวลเตรียมให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในเดือน พ.ย.นี้ และให้บริการอย่างเป็นทางการทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2565"
#2967


อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ยอดนักขับลูกครึ่งไทย-บริติช ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม หลังควบรถแข่งคู่ใจ เฟอร์รารี่ 488 GT3 เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง ในศึก "ดีทีเอ็ม 2021" สนามที่ 4 เรซที่ 2 ที่นูร์เบิร์กริง ประเทศเยอรมนี

โดยศึกรถยนต์ชิงแชมป์ประเทศเยอรมนี รายการ "Deutsche Tourenwagen Masters" สนามที่ 4 เรซที่ 2 ที่สนามนูร์เบิร์กริง ประเทศเยอรมนี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ส.ค.64 ที่ผ่านมา อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ควบรถคู่ใจ เฟอร์รารี่ 488 GT3 หมายเลข 23 ภายใต้สังกัดทีม อัลฟาทาวรี เอเอฟ คอร์ส ลงชิงชัย

ปรากฎว่า อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ที่ออกสตาร์ทในตำแหน่งโพลเป็นครั้งแรกของฤดูกาล ขึ้นนำใน 8 รอบแรก ก่อนที่จะมีอุบัติเหตุจนเซฟตีคาร์ต้องออกมาทำงาน และรีสตาร์ทกันใหม่ในรอบที่ 17 อัลบอน หล่นลงไปอันดับ 9 แต่ไล่แซงคู่แข่งขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายในรอบที่ 25 นักขับจากไทยก็กลับมาเป็นผู้นำได้อีกครั้ง

สุดท้ายจบการแข่งขัน อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ สังกัดทีมอัลฟาทาวรี เอเอฟ คอร์ส เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าชัยเป็นครั้งแรกในศึกดีทีเอ็ม เอาชนะ ดาเนียล จุนคาเดลล่า จากประเทศสเปน สังกัดทีมเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ทีม กรุ๊ปเอ็ม เรซซิ่ง ไป 4.634 วินาที และอันดับ 3 ตกเป็นของ มาร์โก วิตต์มันน์ จากเยอรมนี สังกัดทีมวอล์คเคนเฮิร์สต์ มอเตอร์สปอร์ต ที่ตามหลังมา 7.994 วินาที
#2968


    คู่รักบางคู่โชคดีมีลูกง่ายโดยไม่ต้องพยายามมากนัก  แต่มีอีกหลายคู่ที่พยายามกันแล้ว ใช้เวลานานก็ไม่สำเร็จ ไม่ตั้งครรภ์สักที ปัญหามีลูกยากแท้จริงแล้วอธิบายง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ การใช้ชีวิตประจำวันและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีลูกยาก ความเครียดนั้นเกิดจาก ภารกิจที่ยุ่งวุ่นวายในแต่ละวัน ใจผูกติดอยู่กับงาน ส่งผลต่อฮอร์โมน และ การตกไข่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้โอกาสตั้งครรภ์น้อยลงไปด้วย

     แต่ถ้ามาที่คลินิก Genesis Fertility Center (GFC) ศูนย์รวมบริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีบุตรยากแบบครบวงจร ทุกอย่างจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะเติมคำว่า ครอบครัว ให้เต็มด้วยคำว่าแก้วตาดวงใจ ลูกน้อย ที่เป็นโซ่คล้องใจสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคู่ ที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอลูกน้อยมานานจนเกือบท้อแต่อย่าหมดหวัง เพราะ "คุณหมอเอ็ม ชมพูนุช จันทรกระวี" (หมอเอ็ม) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับผู้มีบุตรยาก พร้อมให้ทำปรึกษาและทำให้หลายครอบครัวต่างก็ประสบความสำเร็จได้ลูกอย่างที่หวังมาหลายครอบครัวแล้วนั้น

    งานนี้เลยต้องขอส่องโปรโฟล์ของ คุณหมอเอ็ม ชมพูนุช จันทรกระวี ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆบ้านมีลูกสมดั่งที่ใจหวัง ก็ต้องบอกเลยว่าโปรไฟล์ คุณหมอเอ็ม เพอร์เฟคมาก เพราะได้เรียนจบ แพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถมยังชอบกีฬาที่หลากหลาย อาทิ ต่อยมวย โยคะ แล้ว

    คุณหมอเอ็ม ยังได้เผยอีกว่าที่เลือกมาทำด้านนี้ก็เพราะ ความรู้ของด้านนี้สนุก และมีอัพเดตไม่สิ้นสุด มีวิทยาการใหม่ๆที่สามารถนำมาใช้รักษาคนไข้ นอกจากนั้นมันเหมือนเป็นความท้าทายเล็กๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้คนไข้ตั้งครรภ์ได้และคลอดน้อง มีน้องที่สมบูรณ์ แข็งแรง ความสำเร็จประมาณ 70% ค่ะ ทุกเคสก็มีความยากมาก ยากน้อยต่างกันไป (ถ้าเคสง่ายก็มักจะท้องได้เองไม่ได้มาเจอหมอค่ะ) เคสที่ยาก เช่น เคสที่รักษาจากที่อื่น เก็บไข่มา 3 รอบ โดยน้ำเชื้อที่ใช้มาจากการทำ TESE (ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนจากอัณฑะ เพื่อหาอสุจิมาใช้ในการปฏิสนธิ) ได้ตัวอ่อน ตรวจโครโมโซมทุกครั้ง ใส่ตัวอ่อนไป 2 รอบ ยังไม่ตั้งครรภ์ เปลี่ยนมารักษาที่ GFC ก็เริ่มกระตุ้นไข่ใหม่และทำ TESE ตัวอ่อนที่ได้เราเลี้ยงในตู้เลี้ยง EEVA เพื่อเพิ่มคุณภาพตัวอ่อน หลังตรวจโครโมโซมผ่าน เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกค่อนข้างยาก เพราะเยื่อบุบางมาก ใช้ยาเยอะมาก แต่พอได้ใส่ตัวอ่อนรอบแรกติดค่ะ เคสนี้ลุ้นมาก ซึ่งในทุกขั้นตอนการดูแลให้คำปรึกษาและรักษาตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างทางเราจะมีคุณพยาบาลที่ช่วยให้คำแนะนำทั้งการฉีดยา การดูแลตัวเองตั้งแต่ก่อนท้องจนตั้งครรภ์เราก็ดูแลกันไปตลอด ที่ขาดไม่ได้คือทีมนักวิทยาศาสตร์เลี้ยงตัวอ่อนที่ช่วยดูแลเด็กน้อยให้แข็งแรงก่อนที่จะส่งไปอยู่กับคุณแม่ ทุกฝ่ายดูแลจากใจจริงๆค่ะ จนวันนี้ก็ยังดีใจไม่หายที่ช่วยให้หลายๆครอบครัวได้มีคุณลูกตัวน้อยสมหวังอย่างที่ตั้งใจ หากคุณประสบปัญหากับภาวะมีบุตรยากมาหาเราที่ GFC นะคะ เราพร้อมสร้างฝันให้เป็นจริงได้ สามารถปรึกษาและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-108-6413-14 หรือ 0974845335 หรือ ทางเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/GFC.Bangkok และ Line OA : @gfcclinic "
#2969


เกาะติดผลวิเคราะห์ล่าสุดจากกรณีที่บริการ "โอลี่แฟนส์" (OnlyFans) ประกาศห้ามเผยแพร่เนื้อหาโป๊เปลือยทุกประเภทที่เข้าข่าย "ไม่ปลอดภัยสำหรับชมในที่ทำงาน" บางสายวิเคราะห์ว่าอาจจะมีการแจ้งเกิดเงินคริปโตสกุลใหม่ในทำนอง "OnlyFans Crypto" เพื่อให้ OnlyFans อยู่นอกเหนือระบบธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินดั้งเดิม ขณะที่อีกสายมองว่า OnlyFans กำลังเข้าเฟสใหม่ของจริงที่จะดึงคนหลายวงการเข้าสู่แพลตฟอร์มได้ หลังจากใช้ "คนทำงานด้านเพศ" เป็นแรงงานก่อร่างสร้างฐานแพลตฟอร์มมานาน

งานวิเคราะห์ทั้ง 2 สายนี้มาจากต้นเรื่องคือ OnlyFans ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะแบนหรือห้ามเผยแพร่เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่หรือคอนเทนต์ประเภท NSFW (ไม่ปลอดภัยสำหรับชมในที่ทำงาน) โดยการแบนจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือนตุลาคม 64

เหตุผลที่ข่าวนี้ได้รับความสนใจกันมาก เพราะแอปยอดนิยม OnlyFans ที่ก่อตั้งโดยทิโมธี สโตคลีย์ (Timothy Stokely) ในปี 2559 นั้นเคยอนุญาตให้ผู้สร้างเนื้อหา สร้างรายได้โดยใช้ภาพถ่ายและวิดีโอของตัวเอง ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา OnlyFans ทำให้หลายคนสามารถขายวิดีโอและรูปภาพ NSFW ชวนสยิวแล้วรับทรัพย์จากผู้ติดตามที่ชำระค่าสมัครรายเดือน อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจนี้กำลังเจอก้างขวางคอ เพราะผู้ให้บริการชำระเงินของแพลตฟอร์ม และพันธมิตรด้านการธนาคารกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงให้ OnlyFans ให้มีภาพที่ขาวสะอาดยิ่งขึ้น

ในเวลาไม่กี่ปี OnlyFans กลายเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้ครีเอเตอร์และผู้ให้บริการทางเพศ วันนี้มีผู้ใช้มากกว่า 130 ล้านคน ท่ามกลางครีเอเตอร์มากกว่า 2 ล้านคน รวมแล้วมีรายได้มากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐบนแพลตฟอร์ม

***มาไหม? OnlyFans Crypto

ขณะนี้ นักวิจารณ์บางคนมองว่าเมื่อมีการแบนเนื้อหา NSFW อย่างสมบูรณ์แล้ว แอปอาจจะพิจารณาใช้การชำระเงินเป็นเงินคริปโตแทนวิธีการทำธุรกรรมปกติ

เรเชล โดเรซาล (Rachel Dolezal)
เรเชล โดเรซาล (Rachel Dolezal)

เรื่องนี้ สำนักข่าวเทคครินช์ (Tech Crunch) วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันใน OnlyFans อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนได้ทุกรูปแบบ ดังนั้น OnlyFans Crypto จึงอาจเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ขณะที่สำนักข่าวเดอะซัน (The Sun) ยังรายงานว่าถ้า OnlyFans ตัดสินใจใช้สกุลเงินดิจิทัลสำหรับการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม OnlyFans ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ให้บริการชำระเงินอีกต่อไป

นักวิเคราะห์สายนี้เชื่อว่า เงินคริปโตของ OnlyFans จะทำให้แพลตฟอร์มยังสามารถนำเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ที่โจ่งแจ้งกลับมาได้ เนื่องจากจะไม่มีบริษัทใดออกมาเรียกร้องขอให้ OnlyFans ต้องชุบตัวใหม่ให้ขาวสะอาดอีกต่อไป เช่นเดียวกับหลายเว็บไซต์ที่ตัดสินใจโบกมือลาพันธมิตรธนาคารของตัวเอง ไปอาศัยการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลแทน

ประเด็นนี้นักวิจารณ์อธิบายว่าอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ OnlyFans จะสามารถรับชำระเงินด้วยเงินคริปโต เพราะทุกอย่างจะเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อ "อินฟลูเอนเซอร์" หรือผู้มีอิทธิพลที่สร้างคอนเทนต์เสียวบน OnlyFans เริ่มเชื่อมต่อกับบิตคอยน์ หรือเป็นผู้ใช้สกุลเงินดิจิทัลแล้ว ซึ่งยังไม่มีใครมีข้อมูลว่าอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้เชื่อมั่นในเงินคริปโตมากแค่ไหน?

***นักการศึกษาเริ่มเข้า OnlyFans

นอกจากกระแส OnlyFans Crypto นักวิเคราะห์อีกสายกำลังเห็นการขยับตัวของบุคคลหลายวงการที่สนใจอยากสร้างอาณาจักรบน OnlyFans หนึ่งในนั้นคือเรเชล โดเรซาล (Rachel Dolezal) นักการศึกษาที่มีผู้ติดตามบนอินสตาแกรมกว่า 50,000 คนนั้นเริ่มสมัครบัญชี OnlyFans แล้วหลังจากการประกาศนโยบายแบนคอนเทนต์โป๊

Dolezal เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักเขียนและอาจารย์หญิงจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นวอชิงตัน (Eastern Washington) ที่ปลอมตัวเป็นคนผิวดำ เพื่อเผยแพร่เรื่องราวที่เกี่ยวกับแอฟริกันศึกษา ความเคลื่อนไหวของเธอสะท้อนชัดเจนว่าคำสั่งแบนเนื้อหาทางเพศทำให้ OnlyFans มีฐานผู้ใช้ใหม่จำนวนมากที่แห่กันไปสมัครสมาชิก เพราะเชื่อว่าจะสิ่งที่น่าสนใจอื่นเป็นพิเศษ


ในโพสต์ Instagram สาว Dolezal เขียนแผนว่าจะแบ่งปันเนื้อหาอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์พร้อม "เนื้อหาโบนัส" บางอย่าง โดยวันจันทร์อาจเป็นเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจเช่นการออกกำลังกาย หรือวันพุธจะมีบทสัมภาษณ์ฟังสนุก อาจมีการสอนตกแต่งทรงผมด้วย รวมถึงการพูดคุยเรื่องงานศิลปะรวมถึงเรื่องอื่นๆที่จะถูกนำเสนอแบบสุ่มขึ้นมา กำหนดการเปิดตัวช่องคือวันที่ 1 กันยายน 64

การดึงผู้ใช้ใหม่ได้อย่างชัดเจนทำให้มีผู้วิจารณ์บนทวิตเตอร์ ว่า Onlyfans เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่เลือกใช้ผู้ให้บริการทางเพศเป็นเครื่องมือสร้างฐานผู้ชม แล้วก็เขี่ยคนกลุ่มนี้ทิ้งไปเมื่อไม่เห็นประโยชน์

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีคำแก้ตัวจาก Onlyfans มีเพียงถ้อยแถลงที่ระบุว่า "ครีเอเตอร์จะยังคงได้รับอนุญาตให้โพสต์เนื้อหาที่มีภาพเปลือย ตราบใดที่สอดคล้องกับนโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้ของเรา" ข้อความนี้อาจเป็นไม้กระดานแผ่นเดียวที่ "sex workers" จะยังเกาะไปได้ แต่คงจะต้องหาช่องทางปรับเปลี่ยนกลยุทธ์นำเสนอครั้งใหญ่เพื่อให้อยู่รอดได้.
#2970


นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังได้ร่วมดำเนินการ 2 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท ความคืบหน้ามีสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติแล้ว 92,316 ล้านบาท ผู้ได้รับความช่วยเหลือจำนวน 30,194 ราย โดยมีวงเงินอนุมัติเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 ล้านบาทต่อราย และ 2.มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง (มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท มีมูลค่าสินทรัพย์ที่รับโอน 10,510.61 ล้านบาท จำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 65 ราย ทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการเป็นมาตรการที่รัฐบาลตอบสนองต่อภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น เสริมสภาพคล่องและการลงทุน สนับสนุนวงเงินในการดูแลสินทรัพย์ให้ภาคธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรงยังสามารถกลับมาทำธุรกิจตามปกติ หลังจำเป็นต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ตามมติคณะรัฐมนตรี 23 มีนาคม 2564 ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นายธนกร กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าแนวทางในการช่วยเหลือนักเรียน ผู้ปกครอง และครู ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามมาตรการลดภาระทางการศึกษาของรัฐบาลนั้น ในส่วนของเงินเยียวยานักเรียน รัฐบาลจะจ่ายให้นักเรียนทุกคน ทุกสังกัด ทั้งภาครัฐและเอกชน ระดับอนุบาล-ม.ปลาย และ ปวช./ปวส. ทั่วประเทศ คนละ 2,000 บาท โดยหลังจากกระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณแล้ว จะโอนเงินให้ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (โรงเรียนเอกชน/กศน.) สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เขตพื้นที่การศึกษาของรัฐ) และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (วิทยาลัย อาชีวศึกษา/เทคนิค) ภายใน 5-7 วัน ซึ่งผู้ปกครองสามารถตรวจสอบสิทธิกับสถานศึกษาถึงวิธีการรับเงิน ทั้งผ่านเลขบัญชีธนาคาร พร้อมเพย์ หรือรับเงินสด โดยคาดว่าจะได้รับเงินภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ขณะนี้มีอยู่จำนวนกว่า 11 ล้านคน แบ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษา รวม 9.8 ล้านคน และสถานศึกษานอกสังกัด ศธ. อีก 1.2 ล้านคน งบประมาณดำเนินการรวม 22,000 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษา สามารถตรวจสอบสิทธิ์กับสถานศึกษา หรือโรงเรียนของรัฐตรวจสอบสิทธิและข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ> https://student.edudev.in.th และในส่วนของโรงเรียนเอกชนตรวจสอบสิทธิและข้อมูลได้ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) https://opec.go.th

โฆษก ศบศ. กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 38.25 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 66,150.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1)โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 23.68 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 59,183.6 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 30,049.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 29,134.1 ล้านบาท 2)โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 68,157 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,352 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 38 ล้านบาท 3)โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.49 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 5,234.5 ล้านบาท

และ 4)โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.01 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 342.2 ล้านบาท ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการเร่งเชื่อมระบบแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่กับโครงการ "คนละครึ่ง" คาดว่าจะพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 เพื่อให้ทันกับการรองรับการโอนเงิน "คนละครึ่ง" รอบ 2 อีก 1,500 บาท อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเร่งเยียวยาประชาชนทุกกลุ่มควบคู่ไปกับการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19
#2971


ศึกฟุต.กัลโช เซเรีย อา อิตาลี วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2564 เป็นการลงสนามนัดแรกของฤดูกาล 2021/22 "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน ทีมแชมป์เก่า เปิดสตาดิโอ จูเซปเป เมียซซ่า รับการมาเยือนของ เจนัว

เกมนี้ ซิโมเน อินซากี กุนซือใหญ่อินเตอร์ มิลาน จัดทัพชุดใหญ่ลงสนาม นำโดย เอดิน เชโก กองหน้าป้ายแดง, ฮาคาน ชัลฮาโนกลู, อีวาน เปริซิช, สเตฟาโน เซนซี ขณะที่ เจนัว นำทัพโดย โกรัน ปานเดฟ, ยายาห์ คาลลอน และเอร์นานี

"งูใหญ่" เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม ได้ 2 ประตู จาก มิลาน สคริเนียร์ น.6 และฮาคาน ชัลฮาโนกลู น.14 ขึ้นนำทีมเยือนไป 2-0 อย่างรวดเร็ว และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง อินเตอร์ มิลาน ยังดาหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 74 ก็มาได้ประตูขยับนำ 3-0 จากจังหวะที่ เอดิน เชโก ยิงหน้ากรอบเขตโทษไปติดเซฟของนายทวารทีมเยือน .เด้งมาเข้าทาง นิโคโล บาเรลลา ไขว้มาให้ อาร์ตูโร่ วิดัล ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ซัดเข้าไป

น.87 พลพรรค "งูใหญ่" มาได้ประตูหนีห่างไปอีกเป็น 4-0 จากจังหวะที่ อาร์ตูโร วิดัล เปิด.มาให้ เอดิน เชโก หัวหอกตัวใหม่ของทีม โขกแสกหน้านายทวารทีมเยือนเข้าไป ถือเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในสีเสื้ออินเตอร์ มิลาน อีกด้วย 

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำอะไรกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที แชมป์เก่า อินเตอร์ มิลาน เปิดบ้านไล่ต้อน เจนัว ไปแบบไม่ยากเย็น 4-0 ประเดิมสามคะแนนซีซั่นใหม่ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
อินเตอร์ มิลาน : ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช (GK), มัตเตโอ ดาเมียน, มิลาน สคริเนียร์, สเตฟาน เดอ ฟรายจ์, อเลสซานโดร บาสโตนี, อีวาน เปริซิช, นิโคโล บาเรลลา, มาร์เซโล โบรโซวิช, ฮาคาน ชัลฮาโนกลู, สเตฟาโน เซนซี, เอดิน เชโก

เจนัว : ซัลวาตอเร ซิริกู (GK), ดาวิเด บิราสชี, ซินโญ่ วานฮุสเดน, โดเมนิโก คริสซิโต, อันเดรีย คัมเบียโซ, มิลาน บาเดลจ์, นิโคโล โรเวลลา, สเตฟาโน สตูราโร่, เอร์นานี, โกรัน ปานเดฟ, ยายาห์ คาลลอน
#2972

ยังคงเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับ 'พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' ซึ่งย่อมาจาก Eastern Economic Corridor (EEC)

ยังคงเป็นประเด็นเชิงเศรษฐกิจที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับ 'พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' ซึ่งย่อมาจาก Eastern Economic Corridor (EEC) แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ที่ภาครัฐเร่งผลักดันอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้กำหนดโซนอีอีซี จำนวน 5 พื้นที่ เช่น โซนการบินภาคตะวันออก สนามบินอู่ตะเภา, โซนส่งเสริมนวัตกรรม EECi, โซนส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล, โซนอุตสาหกรรม Smart Park และ โซนอุตสาหกรรมเหมราช ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง

สิ่งที่คนจับตามองเป็นอันดับต้นๆ คงเป็นเรื่อง รายละเอียดของกฎหมายต่างๆ และสิทธิประโยชน์ โดยหากมองจาก "พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า "พ.ร.บ. อีอีซี"จะพบว่า พื้นที่โซนอีอีซีได้มีกฎหมายแยกออกมาจากกฎหมายปกติเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการต่างๆ ประกอบด้วย

1. กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน 2.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร 3.กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร 4.กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข 5.กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เฉพาะเพื่อการอนุญาตให้คนต่างด้าวตามมาตรา 45(1) หรือ (2) อยู่ต่อในราชอาณาจักร 6.กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ 7.กฎหมายว่าด้วยโรงงาน และ 8.กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หากกฎหมายกำหนดให้ผู้ดำเนินการหรือผู้กระทำต้องได้รับอนุมัติใบอนุญาต ก็ให้ถือว่าเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายอีอีซี เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ

ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่ให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติ ถือว่าให้สิทธิประโยชน์ที่ค่อนข้างมากทั้งสิทธิ์ทางด้านการเงิน การลงทุน ความยืดหยุ่นในการพาต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัย และกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จนนักวิชาการในแวดวงอสังหาฯ เป็นกังวลว่าให้มากเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือห้องชุดในโซนอีอีซี ทั้งเพื่อประกอบกิจการและเพื่ออยู่อาศัยได้ จากประมวลกฎหมายที่ดินปกติแล้ว จะไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ได้โดยตรง

นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ด้านระยะเวลาการเช่าที่ให้ยาวถึง 50 ปี ต่อได้อีก 49 ปี รวมแล้วเท่ากับ 99 ปี ก็ถือเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะสิทธิการเช่าปกติของไทย เท่ากับ 30 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไปเรื่องการขยายสิทธิการเช่า มีความพยายามในการนำเสนอเรื่องขยายเวลาเช่าเป็น 99 ปี ให้เหมือนกับหลายประเทศ แต่ก็ถูกต่อต้านตกไปในทุกครั้ง แต่เพราะภาครัฐต้องการสร้างสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติมาก จึงใช้กลยุทธ์ให้เช่า 50 ปี ต่อได้อีก 49 ปี เพื่อจูงใจต่างชาติ และลดแรงต่อต้าน เพราะไม่ได้ใช้ 99 ปีแบบตรงๆ

ข้อดีของสิทธิประโยชน์อีอีซี

1. ข้อดีที่เห็นได้ชัดๆ คงเป็นเรื่องการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งภาครัฐมองว่า จะส่งผลบวกไม่เพียงแต่ในพื้นที่อีอีซีเท่านั้น แต่ยังกระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง และภาพรวมของประเทศไทย

2. เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวจากการลงทุนใหม่ๆ ในอีอีซี

3. ความยืดหยุ่นเรื่องการเข้ามาของคนต่างด้าว โดยเฉพาะคนต่างด้าวที่มีทักษะความสามารถ ความเชี่ยวชาญที่จะส่งผลบวกให้กับประเทศ ก็จะทำให้ประเทศไทยได้รับ Knowhow ใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศ

ข้อเสียของสิทธิประโยชน์อีอีซี

1. นโยบายบริหารจัดการพื้นที่อีอีซีที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับประเทศไทยยังไม่ชัดเจน จากหลายบทเรียนที่ประเทศไทยดึงต่างชาติเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ เราไม่สามารถให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนแบ่งปัน Knowhow ใหม่ๆ เหล่านั้นให้กับบุคลากรของไทยที่ไปร่วมงานกับต่างชาติได้ ซึ่งนอกจากสิทธิประโยชน์ที่มอบให้อย่างล้นหลามแล้ว ไทยควรมีข้อกำหนดเรื่องการแบ่งปัน Knowhow ให้กับบุคลากรของไทยด้วย


2. ผังเมืองโซนอีอีซี ยังมีความล่าช้า และควรออกมาก่อนที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เพื่อใช้ผังเมืองเป็นเครื่องมือในการวางระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ การเดินทาง เพื่อให้เมืองอีอีซี เป็นเมืองที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง รวมถึง ใช้ผังเมืองในการส่งเสริมการใช้พื้นที่ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของอีอีซี ไม่เพียงแต่กำหนดพื้นที่อีอีซีเท่านั้น แต่ยังต้องวางผังเมืองให้กับพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อส่งเสริมกันและกัน และชุมชนรอบข้างได้รับประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่อีอีซี

3. ขาดการวางแผนระบบสาธารณูปโภคที่สอดคล้องกับเมืองที่ภาครัฐมองว่ากำลังจะเติบโต โดยหากมองกลับมายังพื้นที่ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทราในปัจจุบัน คือ ระบบสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ น้ำขาดแคลน เพราะมีความต้องการใช้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ซึ่งการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมแบบปกติในพื้นที่เหล่านี้ ยังส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำ หากมีการสนับสนุนให้เกิดโซนอีอีซีโดยขาดแผนรองรับ จะยิ่งก่อให้เกิดปัญหานี้มากขึ้น

4. ไม่ได้เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ให้กับการลงทุน อีกหนึ่งความน่าเสียดายของแผนส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ นั่นก็คือ ยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่มีความเป็นอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ไม่ได้กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ จังหวัดใหม่ๆ ซึ่งสิ่งที่พอจะแก้ปัญหาได้ ต้องใช้ผังเมืองโยงการใช้ประโยชน์ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

กรรมสิทธิ์ในการให้ต่างชาติครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ได้ รวมถึงระยะเวลาการเช่ายาว 99 ปีนั้น หากภาครัฐดำเนินการอย่างถูกต้อง รอบคอบ ป้องกันการกว้านซื้อที่ดินทำกินจากชาวบ้านเพื่อให้ต่างชาติได้ และควรกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้ภาษีเข้าสู่ท้องถิ่น ทดแทนประโยชน์การใช้ที่ดินผืนนี้ในระยะยาว เพราะหากรัฐไม่เปิดให้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันในหลายพื้นที่ชลบุรี ระยอง และในอีกหลายจังหวัดเศรษฐกิจ ต่างชาติก็หาช่องว่างในการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่แล้ว ดังนั้น หากจะเปิดให้ต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ได้ เช่าที่ดินในระยะยาวๆ ก็ควรมีเกณฑ์ที่ภาคท้องถิ่นได้ประโยชน์ระยะยาวด้วย

จากการรวบรวมข้อมูล นโยบาย "พื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" หรืออีอีซี ย่อมเป็นแนวคิดที่ดีในการส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งในทุกนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจย่อมมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ผู้ที่ได้รับประโยชน์ และผู้ที่เสียประโยชน์ สิ่งสำคัญ คือ สิ่งที่ภาครัฐยอมเสียไป ได้ผลกลับคืนมาคุ้มค่าหรือไม่ และมีการวางแผนปิดจุดอ่อนอย่างรอบคอบมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เป็นประโยชน์กับท้องถิ่นและประเทศได้มากที่สุด

ขณะที่ในมุมของผู้บริโภคหรือคนท้องถิ่นแล้ว จะมองว่า สิทธิประโยชน์ที่ภาครัฐนำเสนอให้กับนักลงทุนโซนอีอีซี ก่อเกิดประโยชน์กับเขาด้วยหรือไม่นั้น ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐ ควรต้องเริ่มฟังเสียงคนรอบพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมด้วย
#2973


สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,274 คน จากทั่วประเทศ เรื่อง "การใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19" สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้มีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไป ผลการสำรวจพบว่า



1. การใช้จ่ายของประชาชน ณ วันนี้ เปรียบเทียบกับก่อนมีโควิด-19 เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ร้อยละ 40.22 ระบุ ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 33.60 ระบุ ใช้จ่ายลดลง
ร้อยละ 26.18 ระบุ ใช้จ่ายเท่าเดิม

2. ปัจจุบันประชาชนนำเงินจากช่องทางใดมาใช้จ่าย

อันดับ 1 ร้อยละ 83.57 ระบุ รายได้จากการทำงานหลักและงานเสริม
อันดับ 2 ร้อยละ 46.78 ระบุ นำเงินออมออกมาใช้
อันดับ 3 ร้อยละ 44.34 ระบุ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง เงินเยียวยา
อันดับ 4 ร้อยละ 26.26 ระบุ รูดบัตรเครดิต กดบัตรเงินสด รถแลกเงิน บ้านแลกเงิน
อันดับ 5 ร้อยละ 25.31 ระบุ หยิบยืมญาติ คนรู้จัก พี่น้อง

3. สำหรับประชาชนที่มีเงินออม ในช่วงนี้มีการนำเงินออมมาใช้มากน้อยเพียงใด

อันดับ 1 ร้อยละ 42.63 ระบุ ใช้ไปบ้างบางส่วน
อันดับ 2 ร้อยละ 19.36 ระบุ ใช้ไปเกือบหมดแล้ว
อันดับ 3 ร้อยละ 15.15 ระบุ ใช้ไปกว่าครึ่ง
อันดับ 4 ร้อยละ 12.64 ระบุ ใช้ไปหมดแล้ว
อันดับ 5 ร้อยละ 10.22 ระบุ ไม่ได้นำเงินออมมาใช้

4. ในช่วงโควิด-19 รูปแบบการใช้จ่ายของประชาชนเป็นอย่างไร

อันดับ 1 ร้อยละ 80.44 ระบุ ลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย วางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม
อันดับ 2 ร้อยละ 57.49 ระบุ ซื้อสินค้าทีละจำนวนมาก กักตุนสินค้าจำเป็น
อันดับ 3 ร้อยละ 56.47 ระบุ ซื้อสินค้าที่ราคาประหยัดกว่า ซื้อช่วงจัดโปรโมชัน
อันดับ 4 ร้อยละ 53.71 ระบุ สั่งซื้อของผ่านทางออนไลน์
อันดับ 5 ร้อยละ 53.08 ระบุ ซื้อสินค้าจากร้านที่เข้าร่วมมาตรการรัฐ เช่น คนละครึ่ง เราชนะ

5. ประชาชนอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องการใช้จ่ายของประชาชน ณ วันนี้ อย่างไร

อันดับ 1 ร้อยละ 86.41 ระบุ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำมัน
อันดับ 2 ร้อยละ 76.86 ระบุ ลดภาระค่าครองชีพ ควบคุมราคาสินค้า
อันดับ 3 ร้อยละ 71.64 ระบุ มีมาตรการเยียวยาประชาชนแบบทั่วถึงทุกคน
อันดับ 4 ร้อยละ 61.85 ระบุ พักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย
อันดับ 5 ร้อยละ 51.82 ระบุ จำหน่ายสินค้าราคาประหยัดในพื้นที่ต่างๆ

6. ในยุคโควิด-19 จากสภาพการใช้จ่าย ณ วันนี้ ประชาชนคาดว่าจะประคองตัวเองต่อไปได้อีกประมาณเท่าใด

ร้อยละ 37.37 ระบุ ไม่เกิน 3 เดือน
ร้อยละ 30.32 ระบุ 3-6 เดือน
ร้อยละ 19.68 ระบุ 6 เดือน - 1 ปี
ร้อยละ 12.63 ระบุ 1-2 ปี

น.ส.พรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สรุปผลการสำรวจ "การใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19" ว่า ถึงแม้ว่าในช่วงโควิด-19 ประชาชนจะประหยัดและวางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม แต่ก็ยังต้องนำเงินออมออกมาใช้ เพราะโควิด-19 ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อีกทั้งสถานการณ์ว่างงาน ตกงาน และเศรษฐกิจต่กต่ำก็ทำให้ประชาชนไม่มีกำลังการบริโภคภายในประเทศมากนัก ทั้งนี้ ประชาชนมองว่าจะประคองตัวเองต่อไปได้อีกไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ มีมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและลดค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร. พรรณี สวนเพลง อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากผลการสำรวจการใช้จ่ายของคนไทยในยุคโควิด-19 พบว่ากำลังเข้าสู่ยุคของ Transformation เพื่อเข้าสู่ยุค "ความปกติถัดไป" (Next Normal) ซึ่งทำให้ประชาชนมีการปรับตัว ปรับใจ ปรับการใช้ชีวิต ซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มจากการปรับตัวด้วยความมีเหตุผลในการใช้จ่าย ควรจะต้องลด ละ เลิก ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตลง วางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น เน้นความประหยัดและคุ้มค่า ปรับใจให้มีความพอประมาณ มีความสุขและพอใจกับสิ่งที่มี ให้ความสำคัญกับความสุขใจและสุขภาพที่ดีบนพื้นฐานของการแบ่งปันและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน มีการปรับการใช้ชีวิตในยุคปกติถัดไปด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยมีการวางแผนการออมเงิน ลดการสร้างภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็น มีเงินสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน สร้างรายได้มากกว่าหนึ่งอาชีพ พร้อมกับมีการพัฒนาตนเองเพื่อให้ทันและรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกสถานการณ์เพื่อสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สงบเย็น เป็นประโยชน์
#2974


หลังจากผนึกหยิน-หยางส่งต่อพลังบวกกับเพลง "อีกไม่ช้า (SOON)" ที่ร่วมงานกับ Slot Machine ไปได้ไม่นาน วงร็อกหัวมันPOTATO ขอสาดความมันใส่กันไม่ยั้ง จัดหนัก! จัดเต็ม! อีกหนึ่งซิงเกิลใหม่ "ทำเป็นเล่น" จากอัลบั้ม Friends ที่การันตีความมันโดยชักชวนเพื่อนรุ่นน้อง เต้ -Bomb At Track นักร้องร็อกรุ่นใหม่ ที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวมาฟีทเจอริ่ง และร่วมเขียนเนื้อในท่อนแร็พ ผสมกับเพลงร็อกแบบPOTATO ให้เพลงนี้กลายเป็น Rap Rock ที่ลงตัว และเป็นอีกสีสันใหม่ให้กับอัลบั้มชุดนี้ โดย ปั๊บ เล่าถึงเพลงนี้ให้ฟังว่า...

" ทำเป็นเล่น " เพลงที่พูดถึงความมุ่งมั่น การทำในสิ่งที่รัก ทำมันด้วยใจ ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร รักที่จะเป็นอย่างไร ขอให้สุขกับสิ่งที่ทำ แม้ว่าเรื่องนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องเล่นๆในสายตาใคร แต่ทำเป็นเล่นไป! สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปตลอดกาล เพลงนี้ได้คุณปู๋ Hens -ปิยวัฒน์ มีเครือ มาร่วมแต่งเนื้อร้อง โดยความพิเศษของเพลงนี้คือการได้ร่วมงานกับ เต้- Bomb at Track ซึ่งเขียนท่อนแร็พในเพลงนี้อีกด้วย เต้เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกข้างในที่มีต่อสังคมได้อย่างชัดเจน อัลบั้มนี้ชื่อว่า friends "ทำเป็นเล่น" ก็เป็นอีกเพลงที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยที่เราต้องตามหาใครสักคนมาร่วมถ่ายทอดความรู้สึกของเพลงให้ชัดเจนขึ้น และยังไม่รู้ว่าจะต้องเป็นใคร คือทำเพลงขึ้นมาก่อนเลยครับ แล้วคิดว่าถึงเวลาเราก็จะพบศิลปินคนนั้นเอง และในวันหนึ่งบนรถตู้ ซึ่งเรากำลังเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อแสดงคอนเสิร์ต ปกติวงเราก็จะชอบประชุมหารือกันบนรถตู้ ในทุกๆเรื่องรวมถึงเรื่องงานเพลง Bomb At Track เป็นชื่อที่เราพูดกันขึ้นมาบนรถตู้ และความรู้สึกของเราตรงกัน เลยให้ทางค่ายรีบติดต่อไปในทันที (ตอนนั้นทางวง Bomb at Track ยังไม่ได้เข้ามาที่จีนี่ฯครับ) จากที่ผมติดตามผลงานเค้ามาซักพัก ผมชอบสไตล์ที่เค้าเป็น เห็นแววตาที่มุ่งมั่น เห็นพลังจากสิ่งที่เค้าถ่ายทอด บวกกับการที่เค้าเป็นคนรุ่นใหม่ จึงมาเติมเต็มความรู้สึกของเพลงให้เข้มข้นอย่างเต็มที่ ต้องขอบคุณเต้มากๆ ที่ตอบตกลง และให้เกียรติมาร่วมสนุกในอัลบั้มนี้ แล้วก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่ genie records ด้วยนะครับ

ด้าน " เต้ Bomb At Track " บอกว่า...รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆครับ แต่ก่อนผมยังแกะเพลงของพี่ๆ Potato เล่นงานที่โรงเรียนอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้มีส่วนร่วมในเพลงของพี่ๆ เพลงนี้ผมใช้เวลาแต่งท่อนแร็พเร็วมาก เพราะเนื้อหาของเพลงนี้ผมค่อนข้างเข้าใจและอินกับมัน ผมก็กำลังทำเรื่องเล่นๆของผมให้มันเป็นจริงเหมือนกัน ก็อยากจะฝากให้แฟนของทั้ง Potato และ Bomb at Track ติดตามเพลง "ทำเป็นเล่น" ด้วยนะครับ นี่เป็นอีกครั้งที่ได้ร่วมงานกับพี่ๆศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย และเป็นการเชื่อมกันระหว่างเจเนอเรชั่น ผมเลยรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าได้ฟังเพลงนี้ ต้องมีไฟและกำลังใจในการใช้ชีวิตหรือทำตามความฝันอย่างแน่นอน
#2975


จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องยาวนานมาร่วม 1 ปีครึ่ง โดยการระบาดในช่วงแรก มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยอย่างมาก โดย มีเงินไหลออกจาก "กองทุนรวมตราสารหนี้" สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกประสบกับภาวะสภาพคล่องที่ไม่ปกติ จนทำมาสู่มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนรายวันเป็นมูลค่าสูง เป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทย  (ธปท.)ออกมาตรการดูแล ทำให้หยุดการแพนิกของนักลงทุนและตลาดค่อยๆฟื้นตัวหลังจากนั้น โดยใช้เวลาราว1ปีครึ่งกลับมาฟื้นตัวจากโควิด-19ได้ 

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) รายงานว่า  ณ ไตรมาส1 ปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund)อยู่ที่ 3.6 ล้านล้านบาท ลดลง17.1% จากสิ้นปี 2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิ 3.9 แสนล้านบาท โดยเงินไหลออกจากกองทุนรวมตราสารหนี้ถึง 4.5 แสนล้านบาท 

โดยในช่วงตลอดปี 2563 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมา การหดตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มชะลอตังลง จากเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนตลาดเงินและตราสารทุนในไตรมาส2ปี2563 และในช่วงครึ่งปีหลัง2563 การลงทุนเปลี่ยนโหมด เป็นเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนตราสารทุนแทน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ภาพอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยที่นักลงทุนแพนิกเทขายกองทุนตราสารหนี้ช่วงต้นปีนั้น ยังทำให้ ณ สิ้นปี2563 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย แม้ในช่วงไตรมาส4ปี2563 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 5.8% ไปอยู่ที่ 4.0 ล้านล้านบาท แต่ทั้งปี2563 ยังลดลด 7.3% จากสิ้นปี2562 โดยมีเงินไหลออกสุทธิทั้งปีรวมทั้งสิ้น 2.8 แสนล้านบาท

หลังจากนั้นในปี2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19  มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย อยู่ที่ 4.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% จากสิ้นปี2563 และสูงกว่ามี.ค. ราว 15% แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่เคยอยู่ระดับสูงสุดช่วงธ.ค. 2562 ที่เกือบ 4.3 ล้านล้านบาทโดยในไตรมาสแรกปีนี้มีเงินไหลเข้าสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท เน้นไปที่เงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมตราสารทุน 

จนกระทั้งครึ่งปีแรก 2564 จึงฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้ มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%จากไตรมาสแรกปีนี้ หรือ 5.4% จากสิ้นปี2563 จากการเพิ่มขึ้นนี้ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเข้าใกล้ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่ 4.3 ล้านล้านบาท หรือต่างกันราว 1 แสนล้านบาท โดยในรอบครี่งปีแรกมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 9.3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลัง2564 อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ยังมีเทรนด์การเติบโตที่ดี ทั้งจากอานิสงกส์ ลดคุ้มครองเงินฝากเหลือ1ล้านบาท ทำให้มีเงินฝากไหลเข้ามาทะลักมาสู่กองทุนตราสารหนี้

และบลจ.ต่างๆยังคงแนะนำนักลงทุนไทย กระจายเงินลงทุนไปทั่วโลก  เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในปีนี้ที่ภาวะการลงทุนมีความผันผวนมาก ทั้งสถานการณ์โควิด-19ที่รุนแรงขึ้นและยาวนานขึ้น เฟดมีสัญญาณลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการเมืองในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งยังเป็นเทรนด์การลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ 

ลองมาดูกันว่า การเติบโตของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ในช่วงวิกฤติโควิดรอบ1ปีครึ่งที่ผ่านมานี้ บลจ.ที่มีการเติบโตสูงสุด5อันดับ ดังนี้ 

1.บลจ.กสิกรไทย มูลค่าทรัพย์สิน 1.06 ล้านล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 25.2%

2.บลจ.ไทยพาณิชย์ มูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด16.4%

3.บลจ.บัวหลวง มูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 13.7%

4.บลจ.กรุงไทย มูลค่าทรัพย์สิน 4.1 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% 

5.บลจ.กรุงศรี มูลค่าทรัพย์สิน 4 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด 9.4%

"ชญานี จึงมานนท์"  นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยมีบลจ.กสิกรไทย เป็นผู้นำด้วยมูลค่าทรัพย์สินสูงสุด 1.06 ล้านล้านบาท หรือสัดส่วน 1 ใน 4 ของทั้งอุตสาหกรรม และเป็นเพียงบลจ.แห่งเดียวที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านล้านบาท การเติบโตนั้นมีส่วนมาจากทั้งกองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้นต่างประเทศ กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือกองทุน K SF Plus รวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

"บลจ.ไทยพาณิชย์"ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับสองราว 16.4% จากมูลค่าทรัพย์สิน 6.9 แสนล้านบาท หรือมูลค่าทรัพย์สินลดลงจากช่วงก่อนโควิด 11.5% โดยมีส่วนมาจากมูลค่ากองทุน term fund และกองทุนผสมที่ลดลงอย่างมากหรือรวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือSCB Short Term Fixed Income Plus A ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท

"บลจ.บัวหลวง"ยังคงมีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุดเป็นอันดับสามด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.8 แสนล้านบาท หรือเท่ากับสัดส่วน 13.7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างทรงตัวจากปี 2562 โดยกองทุนบัวหลวงมีมูลค่าทรัพย์สินขนาดใหญ่อยู่ในกลุ่มหุ้นไทยที่เป็นกองทุน LTF แม้ว่าเงินลงทุนในส่วนนี้จะค่อย ๆ ลดลง แต่การขายกองทุนต่างประเทศในกลุ่ม Global Equity, China Equity หรือ Global Technology หรือกองทุนตราสารตลาดเงิน ก็ยังช่วยให้มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ รวมเป็นมากกว่า 4 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา (ไม่รวมกองทุน term fund) คือ Bualuang Treasury 1.5 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงไทย" มีส่วนแบ่งตลาด 9.8% ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 4.1 แสนล้านบาท หรือเติบโต 17.2% จากสิ้นปี 2562 โดยมีการเติบโตจากกองทุนหุ้นจีนที่เคยมีมูลค่าราว 2 พันล้านบาทในปี 2562 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ประกอบกับการเติบโตจากกองทุน Asia Pacific ex-Japan Equity รวมไปถึงกองทุนเพื่อความยั่งยืน ทำให้บลจ.กรุงไทยที่เคยมีมูลค่าทรัพย์สินที่อันดับ 6 ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 4 กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ KTAM China A Shares Equity A ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท

"บลจ.กรุงศรี" มีมูลค่าทรัพย์สินรวมเกือบ 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากสิ้นปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากกองทุนตราสารทุนเช่นกองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นทั่วโลกเช่นเดียวกับบลจ.รายอื่น มีส่วนแบ่งตลาดที่ 9.4% เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยที่ 9.0% กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาคือ Krungsri Smart Fixed Income ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท

"การเติบโตของบลจ.รายใหญ่ 5 อันดับแรกมีความคล้ายกันคือมีการเติบโตของมูลค่าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะตราสารทุน เช่น กองทุนหุ้นจีน หุ้นทั่วโลก และการเติบโตในลักษณะเดียวกันนี้เองทำให้ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่หรือราว 75% ยังอยู่ในบลจ. 5 อันดับแรกเช่นเดิม"

"ชญานี" กล่าวว่า  ขณะที่ บลจ.รายอื่นที่มีการเติบโตดี ได้แก่ "บลจ.ทิสโก้" มีมูลค่าทรัพย์สินสูงขึ้น 46.0% มาอยู่ที่ระดับ 7 หมื่นล้านบาท ทำให้ขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในบลจ.ขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก

นอกจากนี้ยังมีบลจ.ที่มีการเติบโตมากกว่า 100% โดยจะเป็นบลจ.ขนาดเล็กลงมาเช่น "บลจ.วรรณ" เติบโต 106.2% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 7.1 หมื่นล้านบาท "บลจ.บางกอกแคปปิตอล" 318.6% มูลค่าทรัพย์สินล่าสุด 1.4 หมื่นล้านบาท และ "บลจ.เอ็กซ์สปริง" เติบโต 213% มูลค่าทรัพย์สิน 75.2 ล้านบาท
#2976


นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสจากการลงทุนในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเติบโต จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น ยูเอส เอ็นดีคิว (SCB US Equity NDQ Fund : SCBNDQ) มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี NASDAQ เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 26 สิงหาคม นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

โดยเปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) ชนิดสะสมมูลค่า - SCBNDQ(A) สามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย ฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อเฉพาะช่วงเสนอขายครั้งแรก และ 2) ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ - SCBNDQ(E) ในรูปแบบ e-class ฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ โดยต้องลงทุนผ่าน SCBAM Fund Click เท่านั้น

สหรัฐฯ นับว่าเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 โดยจากภาพรวมเศรษฐกิจของที่มีการฟื้นตัวหลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันในประเทศลดลงและมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนสูงขึ้น ประกอบกับนาย โจ ไบเดน ได้ลงนามและบังคับใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ได้รับเงินช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลมีการเตรียมเพิ่มเงินอัดฉีดเป็นจำนวน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในอนาคต


บริษัท ได้เล็งเห็นถึงโอกาสจากปัจจัยเหล่านี้ที่จะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนดัชนี NASDAQ ซึ่งก่อนหน้าได้นำเสนอกองทุนดัชนี S&P 500 และดัชนี Dow Jones ไปแล้ว โดยเราเป็นเพียง บลจ.เดียวในประเทศไทยที่มีครอบคลุมทุกดัชนีหลักในสหรัฐฯ เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนอย่างหลากหลาย สำหรับดัชนี NASDAQ เป็นดัชนีที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเติบโตสูงมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว เน้นการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำที่มีชื่อเสียงและมีผู้ใช้งานทั่วโลก โดยปัจจุบัน NASDAQ มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่า 20 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และให้ผลตอบแทนย้อนหลังสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (ที่มา:  Morningstar ณ วันที่ 13 ก.ค. 2564) ดังนั้น กองทุน SCBNDQ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีได้

สำหรับกองทุน SCBNDQ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQM) (กองทุนหลัก) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เป็นกองทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐฯ บริหารโดย Invesco Capital Management LLC ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

ส่วนกองทุนหลัก Invesco NASDAQ 100 ETF (QQQM) จะลงทุนในหุ้นของบริษัททั้งในและนอกประเทศสหรัฐฯ ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด จำนวน 100 บริษัท และเป็นส่วนประกอบของดัชนี NASDAQ-100 โดยเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alpha., Facebook และ Tesla สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นอื่นของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ-100 นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมี Expense ratio ต่ำ และมีผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี Nasdaq 100 อีกด้วย ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังอยู่ที่ 24.35% เทียบกับดัชนีอ้างอิง NASDAQ-100 อยู่ที่ 24.50% ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน (ที่มา: Invesco ณ 31 กรกฎาคม 2564)
#2977


ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ประเดิมสนามรายการใหม่ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก นัดแรกด้วยการบุกไปแพ้ ปากอส เดอ เฟร์เรย์ร่า จากโปรตุเกส 0-1 เมื่อคืนวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ฟุต.รายการใหม่ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบเพลย์ออฟ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ตัวแทนจาก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ลงสนามไปเยือน ปากอส เดอ เฟร์เรย์ร่า เจ้าบ้านแห่งลีกโปรตุเกส

เกมนี้ สเปอร์ส ของ นูโน่ เอสปิริโต ซานโต เน้นส่งนักเตะสำรองเป็นหลักมี โจวานนี โล เซลโซ, ไรอัน เซสเซญอง กับ แแมตต์ โดเฮอร์ตี เป็นตัวหลักของทีมชุดนี้

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะกลับเป็นของเจ้าบ้าน จากประตูโทนนาที 44 จังหวะที่ นูโน่ ซานโตส แทงทะลุให้ ลูคัส ซิลวา สปีดขึ้นไปหลุดเดี่ยวแล้วยิงตุงตาข่าย 1-0

แม้ครึ่งหลัง สเปอร์ส จะพยายามทวงคืนแต่ก็ทำไม่สำเร็จ จบเกม ปากอส คว้าชัยไปก่อนเกมแรก ส่วน "ไก่เดือยทอง" รอกลับไปแก้ตัวในเกมสองที่บ้านตัวเอง วันที่ 26 สิงหาคมนี้
#2978


อย่างไรก็ดี ราคาทองไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มาก เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยดอลลาร์พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในปีนี้

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 0.1% ปิดที่ 1,784 ดอลลาร์/ออนซ์


ทั้งนี้ เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์


นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอีและเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว

-------------
'บิตคอยน์'บวกกว่า5%เคลื่อนไหวที่ 49,000 ดอลล์

ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 06.10 น.ของวันนี้ (21ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 5.67% เคลื่อนไหวที่ 49,057.80 ดอลลาร์
#2979


นางสาวเบญจรงค์ เตชะมวลไววิทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM Eastspring) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด (Thanachart Fund Eastspring) กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานครั้งประวัติศาสตร์ มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 8 ปี เพื่อสนับสนุนการสร้างถนน สะพาน ท่าเรือ น้ำสะอาด และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยจะจัดหางบประมาณ 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วงระยะเวลา 5 ปี สำหรับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ระบบขนส่งสาธารณะ บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต น้ำสะอาด สถานีชาร์จรถไฟฟ้า และมาตรการอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากงบประมาณ 5.5 แสนล้านดอลลาร์ที่ใช้ด้านโครงสร้างพื้นฐาน งบประมาณโดยส่วนใหญ่เกือบ 50% จะถูกนำไปใช้ด้านขนส่งสาธารณะ อีก 34% จะถูกนำไปใช้ด้านสาธารณูปโภค และ 16% จะนำไปใช้ด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า งบประมาณด้านพลังงานสะอาดถูกแทรกซึมและได้รับการสนับสนุนอยู่ในหลายส่วน แม้จะไม่ได้เป็นส่วนหลักของงบประมาณรอบนี้ก็ตาม

ดังนั้นจึงเชื่อว่าในระยะนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะทยอยเก็บกองทุน T-ES-GGREEN เข้าพอร์ตลงทุน เพราะเป็นหนึ่งในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นเทรนด์พลังงานแห่งอนาคต และผลตอบแทนที่ผ่านมาก็น่าสนใจเพียงแต่ในช่วงต้นปีนั้นอาจได้รับผลกระทบไปบ้างจนทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ -6.48% แต่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมากองทุนสามารถพลิกกลับมาทำผลงานได้ 5.79% ส่งผลให้ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบันกองทุนสามารถกลับมาทำผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 6.73% ทั้งนี้ benchmark ของกองทุน ซึ่งก็คือ MSCI World อยู่ที่ 29.73%, 13.54% และ 34.78% ซึ่งเป็นผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 3 เดือน และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ส.ค. 64)

"ในช่วงต้นปีกองทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดมีการปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไรจากการเปลี่ยนกลุ่มลงทุน รวมถึงเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นและหลังจากนั้นก็เริ่มฟื้นตัว ก่อนจะเกิดแรงขายทำกำไรอีกครั้งในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงปัจจุบันกองทุน Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน T-ES-GGREEN ปรับตัวขึ้นประมาณ 9%"

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนพลังงานสะอาด ทีมยังแนะนำให้ทยอยสะสมกองทุน T-ES-GGREEN เข้าพอร์ตลงทุนได้ในช่วงที่ราคาปรับลดลง โดยเชื่อว่ากองทุนนี้ยังเหมาะเป็นพอร์ตลงทุนหลักสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว เพราะถือเป็นกลุ่มการลงทุนที่ปัจจัยพื้นฐานน่าสนใจ

"เราประเมินว่าในงบประมาณหลายส่วนที่ออกมาในปัจจุบัน และงบประมาณต่อจากนี้ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วจะเห็นการสอดแทรกงบประมาณบางส่วนที่จะมีการถูกนำไปใช้ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน รวมถึงการรณรงค์ให้ใช้พลังงานสะอาดจากทั่วโลก รวมถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่กองทุนหลักไปลงทุนยังคงน่าสนใจ แต่บางช่วงอาจถูกกดดันจากเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทที่กองทุนหลักไปลงทุนยังมีสัญญาระยะยาวที่มีส่วนปรับเพิ่มขึ้นได้ตามเงินเฟ้อ ทำให้ประเด็นนี้ยังไม่น่ากังวลนัก และเรายังแนะนำทยอยสะสมช่วงที่ราคาปรับตัวย่อลงและถือครองเพื่อเป็น Core Port สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว"

กองทุนหลักของ T-ES-GGREEN คือ Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure โดยจะเน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับหรือกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานแบบยั่งยืน ซึ่งใช้เทคโนโลยีและให้บริการเกี่ยวเนื่องกับพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาด และการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นยังให้ความเชื่อมั่นต่อไปว่า กองทุนพลังงานสะอาดอย่าง T-ES-GGREEN จะได้รับประโยชน์จากแผนโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างแน่นอน พร้อมทั้งเชื่อว่าปัจจัยในช่วงต้นปีที่กระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุน จะเป็นปัจจัยระยะสั้นและเบาบางลงในที่สุด และล่าสุดสหรัฐฯและประเทศหลักยุโรปได้มีการประกาศงบไตรมาส 2 ปีนี้ออกมากว่า 90% แล้ว ซึ่งกลุ่มโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคในสหรัฐฯและกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่มียอดขายและกำไรเติบโตในไตรมาสล่าสุด รวมถึงบริษัทที่อยู่ในกองทุนหลักของ Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure ถึงแม้ยอดขายและกำไรจะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เล็กน้อย แต่มีแนวโน้มของยอดขายและกำไรเติบโตได้โดดเด่นในไตรมาสล่าสุด รวมถึง Momentum ของกลุ่มพลังงานสะอาดที่เริ่มมีการสนับสนุนมากขึ้นโดยเฉพาะจากทั้งสหรัฐฯและยุโรปที่มีทั้งเรื่องของงบประมาณและแผนพัฒนาด้านพลังงานสะอาด

ทั้งนี้ทีมกลยุทธ์การลงทุน ยังมองเห็นปัจจัยสนับสนุนในระยะยาวที่โดดเด่นและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จนไม่อาจมองข้ามการลงทุนกลุ่ม Green Energy แม้ว่าในระยะสั้นราคาอาจถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เร่งตัวขึ้นสูงเร็วและแรงกว่าคาดในช่วงต้นปี ซึ่งจากนี้จนถึงช่วงปลายปี 2564 อาจจะยังเห็นการแกว่งตัวของราคาอยู่บ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถปรับตัวและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น และยังมองว่าปัจจัยกดดันระยะสั้นดังกล่าว ถือเป็นโอกาสในการหาการลงทุนหุ้นที่ดีในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจากแรงเทขายในระยะสั้น โดยที่ปัจจัยพื้นฐานดีและมีโอกาสในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางยาวได้

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนพลังงานสะอาด ทีมยังแนะนำให้ทยอยสะสมกองทุน T-ES-GGREEN เข้าพอร์ตลงทุนได้ในช่วงที่ราคาปรับลดลง โดยเชื่อว่ากองทุนนี้ยังเหมาะเป็นพอร์ตลงทุนหลักสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว เพราะถือเป็นกลุ่มการลงทุนที่ปัจจัยพื้นฐานน่าสนใจ

"เราประเมินว่าในงบประมาณหลายส่วนที่ออกมาในปัจจุบัน และงบประมาณต่อจากนี้ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วจะเห็นการสอดแทรกงบประมาณบางส่วนที่จะมีการถูกนำไปใช้ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน รวมถึงการรณรงค์ให้ใช้พลังงานสะอาดจากทั่วโลก รวมถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่กองทุนหลักไปลงทุนยังคงน่าสนใจ แต่บางช่วงอาจถูกกดดันจากเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทที่กองทุนหลักไปลงทุนยังมีสัญญาระยะยาวที่มีส่วนปรับเพิ่มขึ้นได้ตามเงินเฟ้อ ทำให้ประเด็นนี้ยังไม่น่ากังวลนัก และเรายังแนะนำทยอยสะสมช่วงที่ราคาปรับตัวย่อลงและถือครองเพื่อเป็น Core Port สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว"

กองทุนหลักของ T-ES-GGREEN คือ Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure โดยจะเน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับหรือกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานแบบยั่งยืน ซึ่งใช้เทคโนโลยีและให้บริการเกี่ยวเนื่องกับพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาด และการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
#2980


นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค พฤกษาฯมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ด้วยการเพิ่มช่องทางการตลาด การบริการ และการขายผ่านออนไลน์ให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม โดยที่ผ่านมามีการผลักดันการขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ในหลากหลายช่องทาง พร้อมสร้างความเข้มแข็งด้วยการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) และได้เพิ่มบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มลูกค้า

ล่าสุดได้เพิ่มช่องทางใหม่เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า สามารถเลือกซื้อบ้านและคอนโดในช่วงล็อกดาวน์นี้ได้ ผ่านการคลิกจองบ้านออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ โดยได้คัดเลือกบ้านและคอนโดยูนิตพิเศษใน แคมเปญ "ลดปลดล็อค ช็อคราคา" ซึ่งแคมเปญนี้จะเป็น Hot Deal ที่รวบรวมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดพร้อมอยู่ ที่คัดเลือกจากที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ มอบราคาและส่วนลด ของแถมต่าง ๆ มูลค่าสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท พร้อมส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติสูงสุดอีก 1 แสนบาท เฉพาะผู้จองบ้านและคอนโดผ่านเว็บไซต์ www.pruksa.com ที่จัดขึ้นเพียง 7 วันระหว่าง20-26 ส.ค.

ด้าน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ LPN เผยว่า ได้จัดแคมเปญพิเศษสำหรับผู้จองซื้อ "บ้าน 365 พระราม 3" ด้วยแคมเปญ "LAST PRICE LAST CHANCE" "โอกาสสุดท้าย ราคาสุดท้าย" โอกาสทองที่จะได้สัมผัสและเป็นเจ้าของโครงการบ้านหรูพร้อมอยู่ใจกลางเมือง ในราคาพิเศษที่สุดแห่งปี เริ่มตั้งแต่วันนี้-15ก.ย.นี้ โดยบ้านเดี่ยวจะมีรูปแบบ 3 ชั้น แบ่งเป็น 3 สไตล์ ได้แก่ The Garden Villa พื้นที่ใช้สอย 340 ตารางเมตร (ตร.ม.) The Pool Villa พื้นที่ใช้สอย 490 ตร.ม.และ The Pavilion Villa พื้นที่ใช้สอย 520 ตร.ม.ขึ้นไป เป็นแปลงที่ดินพิเศษ ส่วนทาวน์โฮมนั้น มีพื้นที่ใช้สอย 310-320 ตร.ม.สูง 4 ชั้นครึ่ง ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 1 ห้องอเนกประสงค์ ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารและครัวไทย



นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่ยังมีกำลังซื้อบางส่วนที่ต้องการหาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
ทำให้บริษัทฯ มองเห็นสัญญาณบวกจากดีมานด์ดังกล่าว โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์จึงได้จรัดแคมเปญพิเศษ "Ananda Breaking News" ด่วน!!ราคาดี ดีลพิเศษ ลดให้สุด ภายใต้แบรนด์คุณภาพทั้งคอนโด บ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮ้าส์รวม33 โครงการ เช่น แอชตัน / ไอดีโอ คิว / ไอดีโอ โมบิ / ไอดีโอ/ เอลลิโอ / ยูนิโอ / อาร์เทล / แอริ / เอโทล / เออร์บานิโอ และ ยูนิโอทาวน์ ราคาเริ่มต้น1.59 - 24.9 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุด "อยู่ฟรี2 ปี* กู้เกิน100%* แต่งครบ* พร้อมอยู่" ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสและช่วงเวลาที่ดีของผู้ซื้อที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่อย่างแท้จริงทั้งด้านความคุ้มค่าและคุ้มราคาพร้อมเพิ่มความมั่นใจคุณภาพมากขึ้น ด้วยการขยายเวลารับประกันเพิ่ม12 เดือนสำหรับคอนโด และ6 เดือนสำหรับโครงการบ้าน และทาวน์เฮ้าส์

ด้าน บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่าเปิดให้ลูกค้าขาย โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท42 คอนโดLow Rise พร้อมอยู่ สูง8 ชั้น259 ยูนิตขนาดห้องเริ่มต้น 27.24 – 61.19 ตารางเมตร สำหรับทั้ง1 และ2 ห้องนอน และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นสัดส่วน ซึ่งมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยูนิตครบทุกครันบนทำเลโครงการ สุขุมวิท42 ใกล้รถไฟฟ้าBTS สถานีเอกมัยเพียง350 เมตร เชื่อมต่อการเดินทางได้ทั้งถนนสุขุมวิทและพระราม4 โดยรอบรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์แหล่งธุรกิจ โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำ