• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - kaidee20

#2861


สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตอบแทนการทำงานอย่างหนักของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทุกภาคส่วน ที่เสียสละแรงกายแรงใจ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในสถานการณ์การป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยการเปิดให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าชม ปราสาทสายฟ้า ลงแข่ง ณ ช้างอารีนา ฟรีตลอดทั้งฤดูกาล 2021/22

โดย แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่สนใจเข้าชมเกมการแข่งขัน เพียงแสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ณ ห้องจำหน่ายบัตรที่ ช้างอารีนา ก็สามารถรับบัตรเข้าชมได้เลยทันที โดยสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-0702626, 098-103-8888

ทั้งนี้ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และแฟน. ปราสาทสายฟ้า ได้ทำการขอบคุณ แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ จากใจไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนเริ่มเกมแรกของไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2021/22 เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานกันอย่างหนัก

สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปศึกฟุต.ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2021/22 นัดที่ 2 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเปิด ช้างอารีนา รับการมาเยือนของ โปลิศ เทโร เอฟซี ในวันเสาร์ที่ 11 กันยายน 2564 คิกออฟเวลา 19.00 น.
#2862

  • ไฟตกหมึกใต้น้ำ แบบใช้หย่อนลงในน้ำ
  • โคมไฟใต้น้ำรุ่นนี้จะมีหลอดไฟLEDทั้งหมด 180LED มีกำลังวัตต์ประมาณ18w ให้แสงสีเขียว ใช้งานง่ายโดยนำสายไฟมาต่อขั้วบวกและลบเข้าแบตเตอรี่แล้วจุ่มไฟลงในน้ำ เพียงเท่านี้ก็เปิดล่อหมึกได้แล้ว แสงสีเขียวจะสว่างส่องในทิศทางรอบตัวโคม ซึ่งจะกระจายแสงได้ดี อีกทั้งแสงสีเขียวของโคมนั้นสามารถทะลุทะลวงชั้นผิดน้ำทะเลได้ดีอีกด้วย
  • การหย่อนโคมไฟลงใต้น้ำควรคำนึงถึงแรงกดอากาศด้วย ยิ่งหย่อนลงลึกเท่าไหร่แรงกดอากาศจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น (แนะนำควรใช้งานไม่เกินความลึกที่2เมตร)
  • คุณสมบัติไฟตกหมึกใต้น้ำ 15W 12V แสงสีเขียว
  • -หลอด LED สีเขียว ความสว่าง 900 Lumens
  • -ใช้แรงดันไฟ 12 v 18 Watts.
  • -ประกอบด้วยหลอด LED ทั้งหมด 180 หลอด
  • -ใช้สำหรับล่อปลา ล่อหมึก
  • -การใช้งานหย่อนลงใต้น้ำล่อปลา ปลาหมึกใต้น้ำ ใต้ท้องเรือ
  • สายยาว 5 เมตร



 
#2863


หลายประเทศเป็นสังคมอุดมปัญญา มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น แต่ก็เป็นเส้นขั้นบางๆ กับสังคมอุดมปัญหา เพราะมีข้อมูลข่าวสารชนิดตัดตอน บิดเบือนข้อเท็จจริง นำมาปั่นเป็นกระแส ซึ่งไม่รวมถึงเฟคนิวส์ที่ป่วนสังคมอยู่ โดยเฉพาะในช่วงระบาดโควิด-19

อินเดีย ประเทศที่จัดว่ามีการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก แล้วยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  อินเดียต้องเผชิญข้อกล่าวหาจากชาติตะวันตก ทั้งอังกฤษ และบราซิล ต่างมองว่า ประเทศนี้กำลังคลั่งไคล้ "ลัทธิชาตินิยมวัคซีน" 

เป็นที่รู้กันดีว่า อินเดีย ประเทศที่มีวิทยาการด้านการแพทย์และเวชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ขณะนี้รับหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีผู้ผลิตวัคซีนหลัก 2 แห่ง คือสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (ซึ่งผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในประเทศและมีชื่อเรียกว่า โควิชีลด์) และภารัต ไบโอเทค (ซึ่งผลิตวัคซีนโควาซิน) สามารถผลิตวัคซีนรวมกันได้ประมาณ 90 ล้านโดสต่อเดือน ตามที่ระบุในรายงานของสำนักข่าวบีบีซี

การแพร่ระบาดโควิด-19 ในอินเดีย ถึงจุดพีคในเดือน พ.ค. และมีผู้ติดเชื้อสูงสุดกว่า 2 แสนรายต่อวัน มาจนถึงขณะนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันหลักหมื่น และมียอดสะสมรวม 33.1 ล้านราย 

เมื่อดูข้อมูลก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การผลิตวัคซีนโควิด-19 ส่วนใหญ่จะจัดส่งเพื่อระดมฉีดให้ประชาชนในประเทศ ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 7 ก.ย. 2564 พบว่า มีการแจกจ่ายวัคซีนแล้ว 685 ล้านโดส และมีผู้ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 159 ล้านคน

ขณะที่รัฐบาลอินเดีย ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า อินเดียไม่ได้ห้ามส่งออกวัคซีน และไม่ได้ปิดปากชาติตะวันตกที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง "ลัทธิชาตินิยมวัคซีน" ของอินเดียอยู่ตอนนี้ เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย กล่าวย้ำว่า การส่งออกวัคซีนจะดำเนินการโดยคำนึงถึงสถานการณ์ภายในประเทศ

ประเทศส่วนใหญ่ในโลกกำลังรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสอง และระลอกสาม เนื่องจากสายพันธุ์เดลตาที่ร้ายแรงและหลบหลีกแอนติบอดีได้ดีเป็นตัวหนุนให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็น่าสงสัยว่า รัฐบาลอินเดียได้บอกโลกในประเด็นนี้เหมาะสมเพียงใด เพราะขณะนี้หลายประเทศวิจารณ์อินเดียอย่างหนักในเรื่อง "การกักตุนวัคซีน"

สื่ออินเดีย ชี้ว่า "อังกฤษ" ประเทศที่ฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนจนครบโดสแล้ว 43.5 ล้านคน และบราซิล ประเทศที่มีผู้ฉีดวัคซีนโดสแล้ว 66.7 ล้านคน และเพิ่งบอกยกเลิกวัคซีนซิโนแวคของจีนไป 12 ล้านโดส แต่กำลังเรียกร้องให้อินเดียส่งวัคซีนให้เพิ่ม โดยก่อนหน้านี้มีการจัดส่งวัคซีนให้แล้วตามกำหนด

กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า อินเดียได้จัดส่งวัคซีนไปแล้ว 64 ล้านโดสให้กับ 80 ประเทศ โดยในจำนวนนี้ 18 ล้านโดส ส่งผ่านโครงการโคแว็กซ์ของสหประชาชาติ

นี่เป็นเรื่องจริงที่อินเดียต้องเผชิญ และกระแสโซเชียลในประเทศก็ปั่นทับถมการดำเนินงานของรัฐบาลดูเละไม่เป็นท่า 

ขณะเดียวกัน ก็น่าแปลกใจกับกรณีสหรัฐทิ้งวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วอย่างน้อย 15.1 ล้านโดส มากกว่าที่เคยรับรู้กันและเป็นไปได้ว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่หลายประเทศยังไม่ได้ฉีด หรือถ้าฉีดก็น้อยมาก 

แต่บางคนก็แกล้งมองไม่เห็น แม้เรื่องนี้จะสุ่มเสี่ยงอยู่บนพื้นฐานกักตุนวัคซีนโควิด-19 ก็ตาม
#2864


กรมการท่องเที่ยว ให้ความสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในการยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ตามแนวทาง การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการชุมชมอย่างยั่งยืนให้แก่ชุมชน เช่น การจัดการขยะ ของเสียอย่างเป็นระบบ การนำกลับมาใช้ซ้ำ คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อลดปริมาณขยะและต้นทุนในการจัดการและสามารถ นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารจากวัสดุธรรมชาติ การใช้พลังงานหมุนเวียน การออกแบบที่พักเพื่อลดการใช้พลังงาน เป็นต้น

โดยวันจันทร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๔ นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว เป็นประธานในพิธีเปิดอบรม การพัฒนาต้นแบบโฮมสเตย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly Homestay) ระหว่างวันที่ ๖ - ๗ กันยายน ๒๕๖๔

ในรูปแบบการอบรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี โฮมสเตย์ที่เข้าร่วมการอบรม จำนวนทั้งสิ้น ๑๑ แห่ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการดำเนินการ ตามเกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Homestay) ที่ได้จัดทำขึ้นร่วมกับกระทรวงพลังงาน

ทั้งนี้ การอบรมดังกล่าว เป็นการกระตุ้นให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาและยกระดับโฮมสเตย์ของตนเองไปสู่การบริหารจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ชุมชนมีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรม การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการรับผิดชอบต่อตนเอง สมาชิกในชุมชน รวมถึงต่อนักท่องเที่ยว และต่อยอดสร้างจุดขายโฮมสเตย์ที่ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนโฮมสเตย์อย่างยั่งยืนต่อไป

#กรมการท่องเที่ยว #การส่งเสริมและพัฒนาต้นแบบโฮมสเตย์ #Eco-friendly Hกรมการท่องเที่ยวomestay #การรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย #โฮมสเตย์ไทย #การพัฒนาโฮมสเตย์ #การยกระดับโฮมสเตย์ #โฮมสเตย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
#2865


FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด คาด GDP โต 4% นักท่องเที่ยว-กำลังซื้อในประเทศกลับมา ส่วนดัชนีช่วงที่เหลือของปีนี้มองอยู่ที่บริเวณ 1,650 จุด ขณะโบรกฯ พาเหรดขยับเป้าดัชนีหุ้นไทยเพิ่ม หลังต่างชาติกลับเข้าตลาดทุน อีกทั้งรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบวกเฟดประกาศแนวโน้มการลดลงวงเงิน QE ก่อนสิ้นปี ให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด ให้เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และกลุ่ม Global , Reopening Lottovip Play รวมทั้ง Domestic Play

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่างๆ คงเตรียมประเมินทิศทางตลาดหุ้นกันใหม่ เพราะก่อนหน้ามองว่า ดัชนีหุ้นจะไม่สามารถตีฝ่าแนวต้าน 1,600 จุดได้ แต่หุ้นทะลุ 1,600 จุดขึ้นมาแล้ว และยังเดินหน้า โดยมีแนวโน้มสร้างจุดสูงใหม่ต่อไป เพราะเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปี โบรกเกอร์คาดหมายว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด แต่วันนี้ชนเป้าหมายปลายปีแล้ว เพราะแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ สมทบด้วยกองทุนในประเทศ ซึ่งกลับมาไล่ช้อนซื้อหุ้น อีกทั้งการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นจุดที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลุยตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลงต่ำกว่าระดับ 20,000 คนติดต่อกัน นอกจากนั้น รัฐบาลยังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้หลายธุรกิจเปิดให้บริการได้

หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่มีแรงซื้อจากต่างชาติและกองทุนเข้ามาหนุน ทำให้ราคาเดินหน้าต่อ และขับเคลื่อนดัชนี ฯ ผ่านพ้น 1,600 จุดอย่างง่ายดาย ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้นแล้วหรือไม่ อาจเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่นิ่ง วัคซีนล็อตใหญ่ยังไม่มา และไม่มั่นใจว่า หลังเปิดฉากงานไทยแลนด์โฟกัสแล้ว ต่างชาติยังจะซื้อต่อหรือไม่ เพราะหากต่างชาติหยุดซื้อและกลับมาขาย ดัชนี ฯ 1,600 จุดอาจยืนไม่อยู่

FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด บวก-ลบ โดยอัพไซด์จากตรงนี้ถึงปลายปีมีไม่มาก ขณะที่ดาวน์ไซด์ก็ไม่มากเช่นกัน

" ตอนนี้นักลงทุนมองไปถึงปี 65 แล้ว ซึ่ง FETCO คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไปแตะ 1,800 จุด ภายใต้คาดการณ์จีดีพีไทยปี 65 ขยายตัว 4% นักท่องเที่ยวต้องกลับกลับพอควร และกำลังซื้อในประเทศกลับมา ทั้งนี้ รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาด้วย ส่วนปีนี้ถ้าจีดีพีกลับมาระดับ 1% ก็ดีมากแล้ว ก็หวังว่าไตรมาส 4 รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษกิฐออกมาเพิ่มเติม" นายไพบูลย์กล่าว

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 144.37 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 124.3% จากเกณฑ์ซบเซาเดือนก่อน มาอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

บล. โกลเบล็กให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่ายังคงมีแนวโน้มปรับตัว Sideway Up จากปัจจัยบวกการประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้นั่งกินในร้าน ห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เปิดถึง 2 ทุ่ม ของ ศบค. ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประกอบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งทาง สธ.ได้มีการรายงานว่าอัตราครองเตียงผู้ป่วยเหลือง-เขียวในกทม.-ปริมณฑลมีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ยังได้ อานิสงส์จากปัจจัยต่างประเทศภายหลังที่นายพาวเวล ประธานเฟดกล่าวในการประชุมประจำปีว่าเฟดมีแนวโน้มเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบริษัทน้ำมันหลายแห่งหยุดผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกก่อนที่พายุเฮอริเคนจะพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,600-1,650 จุด 

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่างๆ ในรอบสัปดาห์นี้ อาทิ ทาง EIU เปิดเผยรายงานระบุว่า GDP ของโลกอาจเสียหายระดับล้านล้านดอลลาร์เพราะความล่าช้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยประเทศกำลังพัฒนาจะเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากความไม่เท่าเทียมของการฉีด ขณะที่สหรัฐโจมตีกลุ่ม ISIS ในกรุงคาบูลระลอกสอง สังหารมือวางระเบิดสนามบินได้ 1 ราย และปัญหาทางการเมืองในประเทศซึ่งจะมีการชุมนุมอีกคร้ง 2 ก.ย. เรียกร้องส.ส.ร่วมมือขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่าง 31 ส.ค. – 3 ก.ย. ลงมติ 4 ก.ย.64 รวมทั้งทาง ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ด้านปัจจัยต่างประเทศ เช่น การรายงานตัวเลขดัชนี PMI ของจีนและดัชนีความเชื่อมั่นของสหรัฐในเดือนส.ค.

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศของ ศบค. คลายล็อกดาวน์ ร้านอาหารเปิดได้ 50-75% ห้างสรรพสินค้าเปิดได้ทุกแผนกแต่มีเงื่อนไขการเว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า เช่น CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร เช่น AU, M และ ZEN

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ  นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่าผลการประชุมที่ Jackson Hole มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ แต่เตรียมลดวงเงิน QE ภายในปีนี้เป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำในระยะกลาง ดังนั้นจึงแนะนำให้เล่นฝั่ง Short เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น โดยมองกรอบในสัปดาห์นี้ที่ 1,780-,1,850 $/Oz

ASP คาด SET ก.ย.ให้กรอบ 1,560-1,650 จุด

บล.เอเซียพลัส (ASP) ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย.64 ว่า ดัชนีตลาดหุ้น (SET Index) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560 – 1,650 จุด มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.ที่ดีดตัวขึ้นมาสวนทางกับที่คาดารณ์ไว้ โดย (2-28 ส.ค.) ปรับเพิ่มกว่า 89 จุด (+5.9%) เป็นผลจากแรงซื้อในช่วงปลายเดือนตอบรับปัจจัยเชิงบวก การจัดหาวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับในช่วงที่เหลือของปี 64 และบูสเตอร์โดสปี 65 อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดลดลง และ เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์เริ่ม 1 ก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อคาดว่าทำจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงกลางเดือน ส.ค. ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะไม่เกิดภาวะหดตัวต่อเนื่องจากปี 63

ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจากเดือน ส.ค.มองเป็น Sentiment บวกที่ต่อเนื่องถึงเดือน ก.ย.ประกอบกับ การส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฟดจะปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปี 64 แต่ยังไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ขณะที่ต้นเดือน ก.ย. ต้องติดตามการคัดสรรประธานเฟดที่จะหมดวาระในเดือน ก.พ.65 หากมีการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมการลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเป็น 60% เลือก (1) Oil Play เลือก PTTEP , PTT, TOP, IRPC และ PTTGC (2) Re-opening Play เลือก PTG, CRC และ PLANB และ (3) ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า เลือก GPSC , WHAUP และ TVO ขณะที่เลือกหุ้นเด่นในเดือน ก.ย.564 ได้แก่ PTG, HMPRO, PACO และ KBANK

บล.บัวหลวงให้กรอบดัชนีปีนี้ 1,605 จุด

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) มองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุด เห็นได้จากค่าเฉลี่ย PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศอาเซียนลดลง เป็นผลมาจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนในอาเซียนยังค่อนข้างต่ำ โดยประเทศไทยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด เศรษฐกิจจึงเกิดการชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคหายไป ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นในการฟื้นตัว

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังยังคงเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากัน โดย กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะฟื้นตัวและเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่า ซึ่งจะจะค่อยๆ ปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งพิจารณาลดมาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินต่าง ๆ ให้กลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ทางกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก ดังนั้น มาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินจึงยังต้องอยู่ในระดับเดิม เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่เท่ากันจะทำให้ประเทศกลุ่มอาเซียนมีความเสี่ยงเผชิญภาวะ Stagflation กล่าวคือเศรษฐกิจโตน้อยแต่อัตราเงินเฟ้อสูง

สำหรับในประเทศได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานอื่น ๆ ตั้งแต่การระบาดระลอกพื้นที่มหาชัย จนปัจจุบัน GDP ถูกปรับลงมาเหลือเพียง 0.8% เนื่องจากการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาช่วงครึ่งปีหลังไม่เป็นไปตามที่เคยตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน และปี 65 นักท่องเที่ยวคงยังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิดคือประมาณปีละ 40 ล้านคน

ขณะนี้ทุกภาคส่วนยังกังวลกับความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้คาดการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ค่อนข้างยาก แต่แนวโน้ม GDP ของไทยในไตรมาส 3-4/64 มีแนวโน้มจะติดลบ ครึ่งปีหลังที่เหลือยังคงต้องอาศัยภาคการส่งออกและการลงทุนของภาครัฐประคองไว้และไปฟื้นตัวขึ้นในปี65 โดยประเมินว่านักท่องเที่ยวอาจมีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐที่บริหารจัดการโดยเฉพาะเรื่องวัคซีนให้ประชาชน

โดยให้เป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้ที่ 1,605 จุดและปีหน้าที่ 1,784 จุด พร้อมแนะนำการปรับพอร์ตในช่วงปี 64-65 เพื่อรับมือการลงทุนฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ โดยแนะนำหุ้น 2 กลุ่มกลุ่ม Global Growth : อิงกับการเติบโตของสินค้าในตลาดโลก เน้นสินค้ากลุ่มส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ TU, KCE, HANA หรือ CBG และกลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มธนาคาร การเงิน หรือกลุ่มที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง ได้แก่ M, TISCO, KKP, AMATA, BH, CPN, OR , CRC

"ตอนนี้คิดว่าควรปรับพอร์ตอิงไปกับตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยน้ำหนักหุ้นในพอร์ตสัก 70% น่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม Global Growth และอีก 30% ที่เหลือ เป็นหุ้นกลุ่ม Domestic Play แต่ถ้าภาครัฐสามารถจัดการโควิด-19 ในประเทศได้ดีขึ้น มีการเดินหน้าฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลง ก็ค่อยๆเพิ่มสัดส่วนพอร์ต Domestic Play ในอนาคต"นายชัยพรกล่าว

บล. โกลเบล็กให้กรอบ 1,600 - 1,680 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ชะละตัวต่อเนื่อง และมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของ ศบค. ซึ่งนายกฯ ยืนยันเดินหน้าเปิดประเทศใน 120 วัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดย แผนเปิดประเทศเฟส 2 ในอีก 5 จังหวัดเริ่ม 1 ต.ค.นี้ รวมทั้งจับตาการทำ Window Dressing ปลายงวดไตรมาสที่ 3/2564 จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีเดือนนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,600-1,680 จุด

ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลบวกต่อดัชนี อาทิ ราคาน้ำมันดิบ WTI ตลอดเดือนส.ค. ร่วงลง 7% จากกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาทำให้ นักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจะชะลอตัว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้เริ่มลด QE ภายในสิ้นปี รวมทั้งคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหภาพยุโรป ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดสแล้ว 70% หรือราว 256 ล้านคน ส่วนดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 58.6 หลังจากแตะระดับ 59.5 ในเดือนก.ค.และตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และนักลงทุนเชื่อว่า FED จะเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม  ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "mu" ซึ่งทาง EU ได้ถอดสหรัฐออกจากรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยด้านการเดินทาง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งการที่ ธปท.เปิดเผยว่าเศรษฐกิจในเดือนส.ค.ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเดือนก.ค. จากกำลังซื้ออ่อนแอ ซึ่งคาดว่า ธปท.จะปรับประมาณการ GDP ปี 64 อีกครั้งในวันที่ 29 ก.ย.64 จากเดิมที่คาดว่า GDP ปี 64 จะขยายตัว 0.7% และกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 (ต.ค.63-ก.ค.64) ต่ำกว่าประมาณการ 10.2% และทาง ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า รวมทั้งทาง สศค. จะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง และต่างประเทศรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆออกมา

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม MINT, ERW, CENTEL, AWC และ SHR หุ้นกลุ่มขนส่ง BEM และ BTS หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร AU, M และ ZEN และสุดท้ายหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC และ MAKRO จากการแผนการทยอยเปิดเมืองในเดือนตุลาคมนี้

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในเดือน ก.ย. 64 ไว้ที่ระดับ 1,770-1,870 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ลงภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2013 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE
 
#2866


ทรูวิชั่นส์ ผู้นำคอนเท้นท์กีฬาระดับโลก เอาใจคอกีฬาความเร็วแบบ จักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโต จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ สนามที่ 13 และ 14 ของปี อารากอน กรังด์ปรีซ์ จากสเปน 10-12 ก.ย. นี้ถ่ายทอดสดทาง ทรูวิชั่นส์ ช่อง ฟ็อกซ์สปอร์ต เอชดี (680)

โมโต จีพี ฤดูกาล 2021 ผ่านไปแล้ว 12 สนามแรกของปี สัปดาห์นี้ จะเป็นการแข่งขัน สนามที่ 13 ของฤดูกาล อารากอน กรังด์ปรีซ์ ที่ มอเตอร์แลนด์ อารากอน เป็นสนามแบบ โร้ด เรซซิ่ง เซอร์กิต โดยสถานการณ์ล่าสุดของรุ่นโมโต จีพี นั้น ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ นักบิดหนุ่มชาวฝรั่งเศส วัย 22 ปีของทีมมอนสเตอร์ เอนเนอร์จี ยามาฮ่า โมโต จีพี ซึ่งเป็นทีมโรงงานของยามาฮ่า ทำคะแนนนำเป็นอันดับ 1 จากผลงาน 5 แชมป์ในปีนีั รวมทั้งสนามล่าสุด บริติช กรังด์ปรีซ์ ที่อังกฤษ ขึ้นโพเดียม 8 ครั้ง มีคะแนนสะสม 206 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 2 โยฮัน เมียร์ แชมป์โลกคนล่าสุดชาวสเปน จากทีมซูซูกิ 65 คะแนน อันดับ 3 โยฮัน ซาร์โก้ เพื่้อนร่วมชาติของ กวาร์ตาราโร่ จากทีม ดูคาติ ตามหลัง 69 คะแนน

ส่วนโมโต 2 ผู้นำคะแนนรวมที่เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์โลกในปีนี้ เรมี การ์ดเนอร์ ชาวออสเตรเลียน มี 231 คะแนน ทิ้ง ราอูล เฟอร์นันเดซ จากสเปน 44 คะแนน อันดับ 3 มาร์โก เบซเซคคี จากอิตาลี ส่วน ก้อง - สมเกียรติ จันทรา จากประเทศไทย อยู่อันดับ 15 มี 35 คะแนน

รุ่นโมโต 3 อันดับ 1 เปโดร อคอสต้า จากทีม เคทีเอ็ม 201 คะแนน อันดับ 2 เซอร์จิโอ การ์เซีย นักแข่งชาวสเปน 155 คะแนน อันดับ 3 โรมาโน เฟนาติ จากทีมฮัสควาร์น่า 132 คะแนน

สมัคร Platinum HD Package ให้คุณได้ชมครบ ทั้งบนทีวีกับทรูวิชั่นส์ และบนมือถือกับทรูไอดี ดูได้ทุกที่ทุกเวลา ในราคาเดียว ดูฟรี True Premier Football ตลอดฤดูกาล 2021/2022 รับฟรี ทรูแบล็คการ์ด และ 1,000 ทรูพอยท์ ตั้งแต่ 1 - 30 กันยายน 2564 สมัครที่ทรู ช้อป/ตัวแทนทรูวิชั่นส์ทั่วประเทศ/โทร.02-700 -8000/www.truevisions.co.th

โปรแกรมถ่ายทอดสด โมโต จีพี อารากอน กรังด์ปรีซ์ ทรูวิชั่นส์ ช่อง ฟ็อกซ์สปอร์ต เอชดี (680)

ศุกร์ 10 ก.ย. รอบฝึกซ้อม 1 13.55-16.40 น.
ศุกร์ 10 ก.ย. รอบฝึกซ้อม 2 18.10-20.55 น.
เสาร์ 11 ก.ย. รอบฝึกซ้อม 3 13.55-17.00 น.
เสาร์ 11 ก.ย. รอบควอลิฟายด์ 17.00-21.15 น.
อาทิตย์ 12 ก.ย. วันแข่งขัน 15.30-20.30 น.
URL
 33
 
#2867


นาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ คัมภีรญาณนนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญในด้านการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพรที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น ฟ้าทะลายโจร ที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ ส่งผลทำให้ฟ้าทะลายโจรเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ทาง บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด โดย SKY CROP ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า 10,000 ไร่ ทั่วประเทศ จึงได้จัดสรรพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ที่บ้านเขาจาน ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว สำหรับทำการปลูกต้นฟ้าทะลายโจร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุ แหล่งน้ำ เหมาะสำหรับทำการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยการปลูกจะเน้นการปลูกแบบปลอดสารเคมี 100% ผนวกกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยในการเพาะปลูกและแปรรูปฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีความสะอาด ปลอดภัย และได้คุณภาพตามมาตรฐานการสากล ทั้งนี้ ผลผลิตของทางบริษัทฯได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูงถึง 4.75±0.26% (w/w)



"เราได้จัดสรรพื้นที่เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเกษตร รวมถึงเป็นแหล่งการเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ด้านการเกษตร และในอนาคต คาดว่า จะเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก สำหรับพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรนั้น ทางเราได้ศึกษาและวิจัยสายพันธุ์ฟ้าทะลายโจรจากทั่วประเทศ จนได้สายพันธุ์ที่ดีที่สุด และมีคุณภาพของไร่ SKY CROP และนอกจากนี้ ทางไร่ยังได้เพาะปลูกโกศจุฬาลัมพา และกระท่อมเพื่อป้อนตลาดด้วย"

ไร่ SKY CROP สามารถผลิตฟ้าทะลายโจรได้สูงถึง 15 ล้านตัน และแปรรูปเป็นแบบอบแห้งได้ในปริมาณ 2.5 ล้านตัน นอกจากนี้ ทางบริษัทฯได้มีการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ในการผลิตฟ้าทะลายโจรส่งให้กับไร่ SKY CROP เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ด้วย ส่งผลให้กำลังการผลิตสามารถรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ นำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมาแปรรูปเป็นแบบแคปซูลบรรจุขวดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ SKY HERB ของไร่ SKY CROP

นอกจากนี้ ทางบริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด ยังได้นำสมุนไพรคุณภาพที่ได้คัดสรรสายพันธุ์เป็นอย่างดีต่างๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร, โกศจุฬาลัมพา, ใบกระท่อม เป็นต้น นำมาแปรรูปเป็นแบบแคปซูลบรรจุขวดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ SKY HERB ของไร่ SKY CROP ด้วย

"บริษัท เมืองเศรษฐกิจพอเพียง จำกัด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นหนึ่งในองค์กรที่จะช่วยหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เป็นมหันตภัยร้ายของประเทศและทั่วโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเพื่อพี่น้องชาวไทยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น" นาวาอากาศเอก (พิเศษ) คัมภีร์ กล่าวทิ้งท้าย
#2868


เอลซัลวาดอร์กลายเป็นประเทศแรกที่นำ Bitcoin เป็นสกุลเงินประจำชาติในวันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 โดยเริ่มต้นการทดลองทางการเงินที่มีแนวโน้มผันผวนสูงซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เปราะบาง

จากการรายงานของ CNN Business ระบุว่าประธานาธิบดี Nayib Bukele ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 ว่ารัฐบาลของเขาได้อนุมัติเงินเพื่อซื้อ Bitcoin อีกเป็นจำนวนกว่า 200 เหรียญก่อนที่จะมีการประกาศยอมรับสกุลเงินอย่างเป็นทางการของเอลซัลวาดอร์ ซึ่งปัจจุบันเอลซัลวาดอร์ได้ถือครอง Bitcoin อยู่ที่ 400 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 21 ล้านดอลลาร์ในระดับการซื้อขายในปัจจุบัน

ทั้งนี้ Bitcoin จะถูกใช้เป็นเงินที่ถูกกฎหมายในเอลซัลวาดอร์ควบคู่ไปกับดอลลาร์สหรัฐโดยเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 ซึ่ง Bukele ทวีตว่า "จะซื้ออย่างต่อเนื่องจนกว่าจะถึงเส้นตายเพดานการเงิน"

ขณะที่ Bukele นักประชานิยมฝ่ายขวาที่ขึ้นสู่อำนาจในปี 2562 ประกาศแผนการที่จะเริ่มใช้ Bitcoin ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งกฎหมายกำหนด Bitcoin เป็นกฎหมายว่า "ตัวแทนทางเศรษฐกิจ" ทั้งหมดจะต้องยอมรับสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบการชำระเงิน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการชำระภาษีสามารถทำได้ใน Bitcoin

ด้านชาวซัลวาดอร์จะสามารถดาวน์โหลด "กระเป๋าเงิน Chivo" ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาล โดยหลังจากที่ประกาศใช้ Bitcoin เป็นเงินตามกฏหมาย รัฐบาลเตรียมที่จะแจก bitcoin มูลค่า 30 ดอลลาร์แก่ประชาชนในประเทศเพื่อเป็นของขวัญและกระตุ้นการใช้งาน

"กระบวนการของ #Bitcoin ในเอลซัลวาดอร์มีช่วงการเรียนรู้ ทุกย่างก้าวสู่อนาคตเป็นเช่นนี้ และเราจะไม่บรรลุทุกสิ่งในวันเดียวหรือในหนึ่งเดือน" Bukele ทวีต "แต่เราต้องทำลายกระบวนทัศน์ในอดีต"

ขณะเดียวกันพลเมืองบางคนยอมรับเทคโนโลยีนี้ ในขณะที่บางคนก็ระมัดระวัง โดย José Abraham Cerón คนทำขนมปังบอกกับ CNN ว่าการจัดการกับ Bitcoin นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ Blanca Estela Ponce เจ้าของร้านตอร์ตียาที่อยู่ใกล้ๆ บอกว่าเธอชอบเงินสดมากกว่า

"Bitcoin เป็นสิ่งใหม่และเราไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับเรื่องนี้" Ponce กล่าวกับ CNN

เอลซัลวาดอร์ร่วมมือกับ Strike บริษัทการเงินดิจิทัลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

อย่างไรก็ดีการที่ Cryptocurrencies ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลมากกว่าผ่านบัญชีธนาคารแบบดั้งเดิม ซึ่งหมายความว่าผู้คนในชุมชนที่ยากจนกว่าซึ่งเข้าถึงธนาคารได้น้อยสามารถใช้ bitcoin เป็นวิธีในการเข้าถึงการเงินของพวกเขาได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม องค์กรทางสังคมได้ขอให้รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ยกเลิกกฎหมาย ส่วนใหญ่เพราะพวกเขากลัวความผันผวนที่รุนแรงของสกุลเงินดิจิทัล

ทั้งนี้ Bitcoin ได้ฟื้นคืนพื้นที่บางส่วนที่หายไปหลังจากความผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อต้นปีนี้ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 65,000 ดอลลาร์ในเดือนเมษายน ราคาอยู่ที่ 51,360 ดอลลาร์ในวันอังคาร ลดลง 0.7% ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ Coinbase

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศซึ่งให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่เอลซัลวาดอร์เมื่อปีที่แล้วและขณะนี้กำลังเจรจาการให้กู้ยืมอีกรอบ มีมุมมองเชิงลบต่อการใช้ bitcoin เป็นกฎหมาย โดยกล่าวว่าการทำเช่นนั้นทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน และกฎหมายจำนวนมาก

"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเก็บภาษีอะไรเมื่อ Bitcoin ขึ้นและ Bitcoin ลดลง เราจะวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างไร จำได้ไหมว่าในเดือนเมษายน Bitcoin ทะลุ $65,000 และลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง นั่นคือปัญหาที่กระทรวงการเงินกำลังถกเถียงกันอย่างหนัก และมันไม่ง่ายเลย" คริสตาลินา จอร์จีวา กรรมการผู้จัดการ IMF กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกันหากย้อนกลับไปในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม Moody's Investors Lottovip Service ได้ผลักดันอันดับหนี้ของเอลซัลวาดอร์ให้ดิ่งลึกลง โดยอยู่ในระดับ "ขยะ" โดยอ้างว่า "คุณภาพในการกำหนดนโยบายแย่ลง" รวมถึงการตัดสินใจของรัฐบาลในการนำ bitcoin มาใช้เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย

มูดี้ส์กล่าวว่า ประเทศยังคงอ่อนไหวต่อการจัดหาเงินทุนที่อาจกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลในการชำระคืนเจ้าหนี้โดยเริ่มตั้งแต่มกราคม 2023

ขณะที่รัฐบาลเอลซัลวาดอร์เองก็กำลัง.ว่าการใช้ bitcoin เป็นเงินที่ถูกกฎหมายจะดึงดูดการลงทุนใหม่หรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังหวังที่จะลดค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายสำหรับการส่งเงินจากต่างประเทศอีกด้วย
#2869


การแข่งขันฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 12 ทีมสุดท้าย กลุ่มบี เวียดนาม ที่ประเดิมสนามบุกแพ้ ซาอุดี อาระเบีย 1-3 เปิดสนาม มีดินห์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ ออสเตรเลีย ที่นัดแรกเอาชนะ จีน 3-0 เมื่อวันอังคารที่ 7 กันยายน 2564

โดยนาทีที่ 28 เวียดนาม ร้องจะเอาจุดโทษ เมื่อมีการซัด.ไปโดนแขนผู้เล่นออสเตรเลียในกรอบเขตโทษ แต่ผู้ตัดสินวิ่งไปดู VAR ก่อนปฏิเสธ ก่อนที่ ออสเตรเลีย มาได้ประตูชัยในครึ่งแรก นาทีที่ 43 จากผลงานของ ไรอัน แกรนต์ แนวรับที่สอดขึ้นมาทำประตู

ซึ่งรูปเกมเป็น ออสเตรเลีย ที่คุมเกมไว้ได้ ขณะที่ เวียดนาม ก็พยายามสวนกลับหลายครั้ง ทว่ายังไม่มีความเฉียบคม และจบ 90 นาทีด้วยชัยชนะของ ออสเตรเลีย 1-0 ส่งผลให้ออสเตรเลีย คว้าชัยชนะ 2 นัดรวด มี 6 แต้มเต็ม ส่วน เวียดนาม แพ้ 2 นัดรวด ยังไม่มีคะแนน

สำหรับเกมฟุต.โลก รอบคัดเลือก นัดต่อไป เวียดนาม จะบุกเยือน จีน ในวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ขณะที่ ออสเตรเลีย จะเปิดบ้านพบ โอมาน ในวันเดียวกัน
#2870


 เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2564 ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2564ได้มีการหารือกับกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อในเด็กและกุมารแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เห็นพ้องถึงการฉีดวัคซีนในเด็กต้องคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด โดยได้ออกเป็นแถลงการณ์ในนามราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ถึงการฉีดวัคซีนในเด็ก แนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุ 16 ปีขึ้นไปก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มเด็กโตซึ่งมีการติดเชื้อไม่ต่างจากกลุ่ม 18 ปี และส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมภายนอกมากกว่ากลุ่มเด็กวัยอื่น

         ส่วน 12-15ปีให้เน้นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนตัวใดรับรองความปลอดภัยในเด็กได้ 100% จึงมีความเสี่ยงที่จะนำมาฉีดในเด็ก ในต่างประเทศที่ฉีดมีเพียงสหรัฐอเมริกาและแคนาดาซึ่งเป็นการฉีดในภาวะฉุกเฉิน แต่ยังพบเมื่อฉีดไปเป็นแสนรายมีรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในบางราย แม้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่ระยะยาวจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ ส่วนวัคซีนแอสตราเซเนกายังไม่มีใครกล้าลองเพราะกลัวจะมีปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นทางการถึงวัคซีนตัวใดที่ฉีดในเด็กแล้วปลอดภัย นอกจากนี้วัคซีนที่จะนำมาฉีดในเด็กก็ต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนด้วย 


"การติดเชื้อในเด็กโดยเฉพาะช่วงอายุ 6-12 ปีแม้ป่วยเป็นหมื่นแต่ก็รักษาหายได้ ไม่อยากให้เป็นการสร้างปัญหาให้กับเด็กเพิ่ม เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนถึงความปลอดภัย อยากให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับเด็กเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่อยากให้ฉีดเพราะความกลัว ความต้องการ พ่อแม่ฉีดแล้วอยากให้ลูกฉีดด้วย  ทั้งนี้ควรเน้นฉีดผู้ใหญ่ให้ครบก่อน เพราะเด็กก็ติดมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อจะเปิดโรงเรียน ก็ควรฉีดครู ผู้ดูแล หรือแม้แต่ภารโรง ซึ่งก็ยังฉีดกันไม่ครบ หากผู้ใหญ่ฉีดกันครบก็จะป้องกันเด็กได้"ศ.เกียรติคุณสมศักดิ์กล่าว

        อนึ่ง เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเต็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่ 2) ระบุว่า


      ข้อมูลของการติดโรคโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่าแม้จะพบการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 18ปีในสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก และพบการเสียชีวิตเกือบทั้งหมดในเด็กที่มีโรคประจำตัวเรื้อวังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ร่วมกับมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น

        ดังนั้น  ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีตวัคชีนโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ดังต่อไปนี้

- แนะนำให้ฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปโดยองค์การอาหารและยาเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ (ณ วันที่ 7 กันยายน 2564) มีเพียงชนิดดียวคือ วัคชีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech

-แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18ปีทุกรายหากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปรกติแข็งแรงดีและที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง เพราะเป็นกลุ่มอายุที่กำลังเดิบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับผู้ใหญ่และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 มากเพียงพอ

- สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโควิด-19 รุนแรง ดังต่อไปนี้

1. บุคคลที่มีโรคอ้วน (คัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือ มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเต็กอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)

2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง

3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

4. โรคได้วายเรื้อรัง

5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

6. โรคเบาหวาน

7. กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแ

เด็กที่มีพัฒนาการช้า

-แนะนำให้งดออกกำลังกายอย่างหนักหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ภายหลังจากการฉีดวัดซีน ป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภายหลังการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19ชนิด mRNA ซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก

จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและวัยรุ่นชายที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งโดสที่ 1และ 2 ควรงดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคชีน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือหายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืด เป็นลม ควรรีบไปพบแพทย์ โดยหากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ควรพิจารณาทำการตรวจค้นเพิ่มเติม

       สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติคตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในอนาคตต่อไป
#2871


บอร์ดบีโอไอ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กับนักลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ได้บีโอไอสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา พร้อมวางมาตรการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย


น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสำคัญ 3 เรื่อง 1.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศและการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ซึ่งประกอบด้วย 2 เรื่อง ดังนี้

1) ผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสามารถนำเงินสนับสนุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานภาครัฐมาขอสิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Huay Incentives) ได้ กรณีที่เงินสนับสนุนมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 1 ของยอดขายของโครงการใน 3 ปีแรกรวมกัน หรืออย่างน้อย 200 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-3 ปี และเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ จะเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่ายเท่านั้น

2) ผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายเวลาการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้สิทธิบีโอไอได้แก่ การผ่อนผันขยายเวลาการดำเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 9002, CMMI เป็นต้น แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจประเมินที่ล่าช้า หรือไม่สามารถตรวจประเมินในสถานประกอบการได้ โดยขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันครบกำหนดการดำเนินการระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 และการผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ สามารถกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจากบีโอไอ

2.กระตุ้นไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยขยายขอบข่ายของประเภทกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ให้ครอบคลุมการผลิตแพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Platform) ที่สามารถนำไปใช้งานร่วมกันได้ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์และรุ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนวัตถุดิบที่ต้องใช้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) โดยแพลตฟอร์มต้องประกอบด้วย Energy Storage System, Charging Module และ Front & Rear Axle Module พร้อมกันนี้ ยังเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (Electric Bicycle หรือ E-BIKE) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากมีการผลิต Traction Motor และ/หรือการผลิตโครงรถจักรยานไฟฟ้าจากวัสดุน้ำหนักเบาภายใน 3 ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกกรณีละ 1 ปี นอกจากนี้ ยังขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหากมีการวิจัยพัฒนาได้ด้วย

3.ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ดังนี้



1) ขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากออกไปอีก 1 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2564 เป็นภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2565

2) เพิ่มขอบข่ายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการย่อยด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดปริมาณ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบทำความเย็นของโรงงานและห้องแช่แข็ง เป็นต้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี สัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน

3) การปรับปรุงประเภทกิจการ สิทธิและประโยชน์ใน 2 กิจการคือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Storage and Utilization: CCSU) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และกิจการห้องเย็นหรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น ในกรณีใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี

4) เปิดให้ส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
#2872


เทคโนโลยี "การจดจำใบหน้า (Face Recognition)" ไม่ได้เป็นแค่เพียงเทคโนโลยีล้ำๆ ในภาพยนตร์ Sci-fi เท่านั้น

ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก และมีแนวโน้มจะยิ่งทรงพลัง สร้างมิติใหม่ต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในอนาคต

ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้ให้บริการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและเอไอโซลูชั่น เล่าว่า เทคโนโลยีจดจำใบหน้านับเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์โลกที่เด่นชัดขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

จากการต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จนสามารถระบุข้อมูลของใบหน้ามนุษย์ได้อย่างแม่นยำ และล่าสุดค่อยๆ เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีการพิสูจน์อัตลักษณ์ทางกายภาพของบุคคล (Biometrics) รูปแบบอื่น เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบและหลากหลายอุตสาหกรรม 

ขณะเดียวกัน ยังสามารถมองเห็นรายละเอียดได้มากกว่าตาของมนุษย์ ณ ช่วงวินาทีเดียวกัน ทำให้มหาอำนาจหลายประเทศทั่วโลกต่างนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาช่วยค้นหาคนหายจากฐานข้อมูลใบหน้า ไปจนถึงใช้ติดตามมิจฉาชีพและผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการใช้เพื่อ งานด้านความปลอดภัย (Security) แบบในภาพยนตร์แล้ว ยังถูกนำมาใช้ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจค้าปลีก ใช้นับจำนวนคนเข้ามาในห้าง ไปจนถึงการพัฒนาการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) ช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนให้พนักงานขายทราบตั้งแต่ตอนที่ลูกค้า VIP เดินเข้ามาในห้าง เพื่อที่จะได้เข้าไปดูแลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม


ธุรกิจสุขภาพ ประเทศในแถบอเมริกาเหนือ เช่น แคนาดา สหรัฐ นำไปใช้กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ตรวจจับเพื่อดูแลไม่ให้ผู้สูงอายุเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ธุรกิจโลจิสติกส์  นำอุปกรณ์ไอโอทีเข้ามามีส่วนช่วยเชื่อมต่อเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าในยานพาหนะ มาใช้กับเรื่องระบบ Face Access เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการด้านโลจิสติกส์มีหลากหลายกลุ่ม 

อาทิ คนขับรถ คนส่งของ พนักงานคลังสินค้า สินค้าที่จะขนส่งก็มีระดับความสำคัญหลากหลาย จึงใช้การสแกนใบหน้า เพื่อกำหนดสิทธิ์การเข้าพื้นที่ของคนแต่ละกลุ่ม ตรวจสอบว่าผู้ขับรถคันดังกล่าว เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่ประเภทดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ไม่มีใบอนุญาตมาขับแทน รวมถึงตรวจจับว่าใบหน้าของผู้ขับขี่ มีอาการอ่อนเพลียหรือหลับหรือไม่ และแจ้งเตือนให้จอดพักหากมีอาการ 

นอกจากนี้ ยังรวมถึงช่วยตรวจสอบว่า พนักงานบางกลุ่มที่จำเป็นต้องประจำอยู่ในบางพื้นที่ของคลังสินค้าตลอดเวลา เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย ได้ประจำอยู่ในพื้นที่จริงๆ
ขณะที่ในไทย จากที่เคยเผชิญความท้าทายเรื่องคุณภาพของตัวกล้องที่ใช้ตรวจจับใบหน้า และความแตกต่างระหว่างบริบทของประเทศผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปไกลขึ้น จนสามารถทลายความท้าทายดังกล่าว และกลายเป็นสาเหตุสำคัญให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบกับธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากขึ้น

ขยล เชื่อว่า ระบบการทำงานของ Face Recognition จะยิ่งมีบทบาทเหมือนภาพยนตร์ Sci-fi มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) รวมไปถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ มีส่วนสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต เพิ่มความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในทุกด้านให้แก่ผู้คน
#2873


ชวนเด็กๆ พูดคุยกับนัก "จิตวิทยา" ใน "CLUB WELLNESS" กลุ่มไพรเวทในเฟซบุ๊ค เพื่อคลายความเครียดช่วง "เรียนออนไลน์" โดยเฉพาะเด็กอายุ 15-19 ปี พบว่ามีแนวโน้มเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

ปัญหาที่มาควบคู่กับการ "เรียนออนไลน์" ของเด็กๆ ยุคโควิด-19 คงหนีไม่พ้นปัญหา "ความเครียด" โดยพบว่าการเรียนออนไลน์ในยุคนี้ทำให้เด็กไทยมีการบ้านเยอะขึ้น ขาดออกกำลังกาย เคลื่อนไหวน้อยลง ทำการบ้านไม่ทัน เรียนไม่ทันเพื่อน ฯลฯ ส่งผลให้เด็กไทยเกิด "ความเครียด" สะสมมากเกินไป หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เด็กๆ คลายเครียดได้ ก็คือการพูดคุยกับนักจิตวิทยา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนรู้จักวิธีฝึกคลายเครียดให้วัยรุ่นวัยเรียน โดยเป็นคำแนะนำจากนักจิตวิทยาการปรึกษา เพื่อให้เด็กๆ สามารถนำไปปรับใช้ในยุคโควิดที่น่าจะกินเวลาอีกยาว

1. ผลสำรวจ ชี้ เด็กไทยเครียดจาก "เรียนออนไลน์" 

มีข้อมูลจาก เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เคยกล่าวไว้ว่า "ความเครียด เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องเร่งแก้ไข การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจจึงสำคัญ" พร้อมเผยผลสำรวจว่า

จากผลสำรวจในช่วงโควิด-19 พบว่า เด็กและเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน เกิดความเครียด วิตกกังวล จากการเข้าสังคมกับเพื่อนและครู รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว สสส. มุ่งสร้างเสริมสุขภาวะด้านจิตใจของคนไทยอย่างต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 15-19 ปี ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

'เรียนออนไลน์' กับ 7 ปัญหาสุขภาพที่เด็กไทยต้องเจอ แก้ยังไงดี?
วิจัยเผยเด็กเครียด 'เรียนออนไลน์' ศธ.สั่งลดเวลาเรียน ลดการบ้าน
'เรียนออนไลน์' WFH เสี่ยงภาวะ Computer Vision Syndrome มากขึ้น

2. CLUB WELLNESS ช่องทางพูดคุยกับ "นักจิตวิทยา"

เมื่อเร็วๆ นี้ สสส. และภาคีเครือข่าย ที่ทำงานด้านจิตวิทยาเด็กและเยาวชน ได้เปิดตัวไพรเวทกรุ๊ปในเฟซบุ๊ค ที่ชื่อว่า "CLUB WELLNESS : กลุ่มแบ่งปันพลังใจ" เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะให้คำปรึกษาแก่วัยรุ่นวัยเรียน ที่เกิดภาวะความเครียดสะสม วิตกกังวล จากการเรียนออนไลน์ 

โดยมีคำอธิบายของกลุ่มว่า

"คลับนี้ขอเป็นที่พักใจสำหรับคนที่เผชิญกับความเครียด ความเศร้า ความเหงา คนที่เจอวันแย่ๆ หรือกำลังท้อแท้ หมดกำลังใจ มาร่วมโพสต์ คอมเมนต์ อ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ตัวเอง และส่งต่อกำลังใจให้แก่สมาชิกกลุ่ม หรือใครที่มีพลังบวกก็ขอเชิญมาส่งพลังต่อภายในกลุ่มนี้ ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส."

163092017826


3. นักจิตวิทยาแนะวิธีคลายเครียด เริ่มจากตัวเอง!

ดร.สุววุฒิ วงศ์ทางสวัสดิ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาประจำเฟซบุ๊กแฟนเพจ CLUB WELLNESS กลุ่มแบ่งปันพลังใจ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ง่ายสำหรับใครเลย การประคองตัวเองให้ยืนระยะได้นานที่สุด เป็นวิธีที่จะพาเราผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ และสำคัญไม่อยากให้คาดหวังว่า การเรียนการสอน เกรดเฉลี่ย จะเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา

"การศึกษาเป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิต จุดที่ดีที่สุดไม่ใช่การแข่งขันเพื่อให้เกรดเฉลี่ยต้องดีทุกวิชา จนทำให้เกิดความเครียด กดดันตัวเอง สำคัญที่ว่า.. สุดท้ายแล้วการรู้ตัวเองว่า ชอบอะไร อยากทำอะไร และสิ่งไหนที่เหมาะกับเรา อาจโฟกัสกับวิชาที่สอดคล้องกับชีวิตและคิดว่าได้ใช้ในอนาคต" ดร.สุววุฒิ กล่าว

อีกทั้ง ดร.สุววุฒิ ยังได้แนะนำวิธีคลายเครียดให้แก่วัยรุ่นวัยเรียน ดังนี้

1. สังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง หากรู้สึกอึดอัด ควรหาที่มาของปัญหา

2. อย่าบังคับตัวเองให้เป็นในแบบที่คนอื่นต้องการ จนเสียความเป็นตัวเอง

3. หาว่าตัวเองชอบอะไร เมื่อรู้แล้วให้โฟกัสกับสิ่งนั้น ไม่กดดันตัวเองเกินไป

4. เมื่อเห็นปัญหา ให้มองหาทางเลือกที่ทำให้รู้สึกสบายใจในการใช้ชีวิต

5. รักตัวเองให้มากขึ้น 

6. เมื่อเกิดความเครียด ต้องหยุดพักเพื่อสร้างความสมดุล

7. ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ช่วยให้ผ่อนคลาย

-------------------------

อ้างอิง : 

thaihealth.or.th

clubwellnessthailand

springnews
#2874


ทีมก๊วนนักกอล์ฟหญิงฝั่งยุโรป ประเดิมศึกแห่งศักดิ์ศรี โซลไฮม์ คัพ ได้อย่างยอดเยี่ยมหลังออกสตาร์ทเก็บสกอร์นำหน้า สหรัฐอเมริกา 5 แต้ม 1/2 เมื่อจบการดวลสวิงวันแรกไป

ศึกกอล์ฟประเภททีมหญิงรายการใหญ่ 'โซลไฮม์ คัพ' สหรัฐอเมริกา ปะทะ ยุโรป แชมป์เก่า แข่งกัน ณ สนาม อินเวอร์เนส คลับ ระยะ 7,730 หลา พาร์ 71 โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โดยวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการดวลสวิงวันแรก

ช่วงเช้าเริ่มแข่งกันแบบโฟร์ซัม 4 แมตช์ (ทีมละ 2 คน สลับตีลูกเดียวกัน) ปรากฏว่าฝั่งยุโรป ทำได้ยอดเยี่ยมออกมาตีชนะถึง 3 คู่ จากผลงานของ แอนนา นอร์ดควิสต์ / มาทิลด้า แคสเทรน, เมลรีด / ลีโอน่า แม็คไกวร์, ชาร์ลี ฮัลล์ / เอมิลี คริสติน ปีเดอร์เซน ที่เอาชนะคู่แข่งฝั่งอเมริกา คู่ละ 1 อัพ

ขณะที่ สหรัฐฯ เมแกน คัง กับ อัลลี อีวิง ช่วยกันยันเสมอได้ 1 คู่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างได้ 1/2 แต้ม เมื่อจบเซสซั่นเช้า สกอร์ออกมาเป็น ยุโรป นำก่อน 3 แต้ม 1/2 ส่วน สหรัฐฯ ได้ 1/2 แต้ม ก่อนที่จะไปลุยต่อช่วงบ่ายกับการแข่งแบบโฟร์. 4 แมตช์ (2 คน ตีคนละลูก นับคะแนนคนที่ตีสกอร์ได้ต่ำสุด)

ปรากฏว่า สหรัฐฯ กับ ยุโรป ต่างเก็บชัยชนะได้ฝั่งละ 2 แมตช์ จากสหรัฐฯที่มี เนลลี คอร์ดา / อัลลี อีวิง, เจนนิเฟอร์ คุปโช / ลิเซ็ตต์ ซาลาส ส่วน ยุโรป ก็ได้แต้มจาก แอนนา นอร์ดควิสต์ / มาทิลด้า แคสเทรน, จอร์เจีย ฮัลล์ / ลีโอน่า แม็คไกวร์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้กลับไปฝั่งละ 2 แต้ม

เมื่อเอาสกอร์มาจากรอบเช้ามารวมกัน ยุโรป เป็นฝ่ายนำก่อนที่ 5 แต้ม 1/2 ส่วน สหรัฐ มี 2 แต้ม 1/2 ซึ่งจากนี้จะไปลุยกันต่อในรอบสอง วันที่ 5 กันยายนนี้ ด้วยวิธีแข่งแบบเดียวกันกับวันแรกทั้งช่วงเช้าและบ่าย
#2875


นายชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) กล่าวว่า "TCMA เป็นความร่วมมือของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ทุกรายของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) มีการดำเนินงานด้านนี้มาอย่างต่อเนื่องนับแต่ก่อตั้ง TCMA เมื่อปี 2549 แต่ด้วยปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบมากขึ้น หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อลดภาวะโลกร้อน TCMA จึงผนึกกำลังสมาชิกตั้งเป้าขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจกใน 3 แผนงาน

1.ส่งเสริมใช้ปูนซีเมนต์ที่ลดก๊าซเรือนกระจก "ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก" ตั้งเป้าปี 2565 ลดได้ 300,000 ตันCO2 เทียบเท่าปลูกต้นไม้กว่า 31 ล้านต้น โดย TCMA ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกวิจัย พัฒนา และนําเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรียกว่า "ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก" ตาม มอก. 2594 

รวมทั้งได้บูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา ในการเชิญชวนให้ทุกภาคส่วน เปลี่ยนมาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกในทุกโครงการก่อสร้าง ภายใต้ 'บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: มาตรการทดแทนปูนเม็ด' ระหว่าง 16 หน่วยงาน โดยการสนับสนุนของ 5 กระทรวง ความร่วมมือนี้ ทุกภาคส่วนที่มีการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก จะนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการลดก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องตามนโยบายภาครัฐ และมีส่วนร่วมกับประชาคมโลกในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก

2.พัฒนาเหมืองสู่ความยั่งยืน อนาคตเป็นแหล่งน้ำและจุดเรียนรู้สำหรับชุมชนTCMA ให้ความสำคัญต่อการนำทรัพยากรแร่มาใช้อย่างคุ้มค่าตามนโยบายรัฐบาล ควบคู่กับการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ภายหลังการทำเหมืองสิ้นสุด โดยพื้นที่เหมืองที่เหมาะสมอาจพัฒนาเป็นแหล่งน้ำ หรือจุดเรียนรู้สำหรับชุมชนนั้นๆ จึงส่งเสริมให้สมาชิกดำเนินงานตามแนวทางเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) ด้วยการทำเหมืองให้ถูกต้องและปลอดภัยตามหลักวิชาการที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าตามนโยบายภาครัฐ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดการเกิดผลกระทบ รวมทั้งการบริหารจัดการและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ เช่น การปลูกต้นไม้ในพื้นที่หลังการทำเหมือง เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าและช่วยดูดซับ CO2 หรือบางพื้นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนาเป็นแหล่งน้ำ ก็จะพัฒนาเป็นแหล่งน้ำ เพื่อชุมชนใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ตัวอย่างเช่น ได้มีการบริหารจัดการนำน้ำจากขุมเหมืองบ้านแม่ทาน จังหวัดลำปาง เชื่อมต่อไปยังบ่อน้ำชุมชนใกล้เคียงให้ได้ใช้ประโยชน์กว่า 250 ครัวเรือน นับเป็นต้นแบบความร่วมมือการนำทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่า และพัฒนาพื้นที่เพื่อชุมชนใช้ประโยชน์ในอนาคต ส่งผลให้อุตสาหกรรมและชุมชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

3.สร้าง Ecosystem สำหรับการจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (Waste) สนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) TCMA มีนโยบายส่งเสริมสมาชิกจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (Waste) อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ด้วยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการ หันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Waste อย่างถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ได้นำ Waste ทั้งจากภาคอุตสาหกรรม ชุมชน และการเกษตร มากกว่า 1.5 ล้านตันต่อปี มาเป็นเชื้อเพลิงในเตาเผาปูนซีเมนต์แบบ Co-processing นอกจากนี้ ยังมีแนวทางที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในนำเศษคอนกรีตที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างและรื้อถอน (Demolition Waste) มาใช้ประโยชน์อีกด้วย โดยการดำเนินงานลักษณะนี้ เป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องตามนโยบาย BCG ของภาครัฐ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน และเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีกทางหนึ่ง

นายชนะ กล่าวย้ำว่า "เชื่อมั่นว่า การดำเนินตาม 3 แผนงานข้างต้น และด้วยความร่วมมือสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ TCMA ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ให้สนองตอบความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างพอเพียง ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในที่สุด"

ทั้งนี้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ถือเป็นวาระสำคัญของทุกประเทศทั่วโลก และประเทศไทยก็แสดงบทบาทและเจตจำนงในการร่วมลดโลกร้อน (Global Warming) ร่วมกับนานาประเทศแล้ว
#2876


ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 ส.ค. - 3 ก.ย.2564) ดัชนี SET (SET Index) เพิ่มขึ้น 16.56 จุด หรือ 1.01% มาอยู่ที่ 1,650.33 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 5.3 แสนล้านบาท ระหว่างทางทำจุดสูงสุดที่ 1,657.79 จุด และต่ำสุดที่ 1,621.42 จุด

ขณะที่การซื้อขายแบ่งตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนรายย่อยในประเทศขายสุทธิสูงสุด 10,519.63 ล้านบาท รองลงมานักลงทุนสถาบันในประเทศ 474.68 ล้านบาท ส่วนบัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,124.49 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุด 9,869.82 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. เป็นต้นมา มูลค่ารวม 23,274.89 ล้านบาท ส่งผลให้ต้นเดือน ก.ย. (1-3 ก.ย.) การซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวยังเป็นการซื้อสุทธิ 3,908.37 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังเป็นยอดขายสุทธิ 83,934.18 ล้านบาท

สำหรับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิสูงสุดในรอบนี้ (พิจารณาจากข้อมูลบัญชี Lottovip NVDR) ได้แก่ PTTGC 3,239.13 ล้านบาท EA 2,554.39 ล้านบาท DELTA 1,637.93 ล้านบาท ADVANC 1,453.95 ล้านบาท และ GPSC 1,352.46 ล้านบาท ส่วนหุ้นที่ถูกขายสุทธิหนักสุดรอบนี้ ได้แก่ KCE 1,650.25 ล้านบาท CBG 1,247.27 ล้านบาท KBANK 1,164.26 ล้านบาท CPALL 898.58 ล้านบาท และ TU 826.35 ล้านบาท

ขณะที่การซื้อขายตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน พบว่า KBANK มียอดซื้อสุทธิมากที่สุด 10,214.95 ล้านบาท OR 8,656.10 ล้านบาท PTTEP 8,120.86 ล้านบาท SCGP 5,719.49 ล้านบาท และ IVL 5,222.20 ล้านบาท ส่วนหุ้นที่มียอดขายสุทธิสูงสุด ได้แก่ CPF 4,046.41 ล้านบาท INTUCH 3,859.40 ล้านบาท CPN 3,733.74 ล้านบาท CPALL 3,177.26 ล้านบาท และ HMPRO 2,375.01 ล้านบาท


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า กระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ มีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังปัญหาโควิด-19 ในประเทศดูดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากยอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ที่พุ่งสูง ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี เป็นสัญญาณการกลับมาซื้อหุ้นไทย

ขณะที่การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) จะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเชีย เพราะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Gain) อย่างไรก็ดี มองเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้นเท่านั้น เพราะระยะกลาง-ยาว Dollar Index มีโอกาสกลับมาแข็งค่าจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

สำหรับการลงทุนรับฟันด์โฟลว์ แนะนำหุ้นใหญ่ในดัชนี SET100 ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก (แลกการ์ด) เทียบกับช่วงเกิดโควิด-19 ระลอก 2 ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวเร็ว และกำไรครึ่งหลังปี 2564 มีแนวโน้มสูงกว่าครึ่งแรก ได้แก่ STEC MAJOR PLANB SAWAD AOT และ PTTEP รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว CPALL MAKRO CPF GULF และ ADVANC

อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองนอกสภาอาจกดดันทิศทางฟันด์โฟลว์ให้ไหลออกในปริมาณที่มากกว่าปกติ (ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสูงเกินเดือนละ 2 หมื่นล้านบาท) ในกรณีที่การเมืองในประเทศมีความยืดเยื้อหรือมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
#2877


'เจ้าโอ่ง' ดุสิต เฉลิมแสน อดีตแบ็คซ้ายทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันคุมทัพ 'สิงห์เจ้าท่า' การท่าเรือ เอฟซี กลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้มากที่สุดในนามทีมชาติ เมื่อวัดในตำแหน่งเดียวกัน เทียบชั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และลิโอเนล เมสซี่

ดุสิต เฉลิมแสน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดการรับใช้ทัพ 'ช้างศึก' ทีมชาติไทย ระหว่างปี 1996-2004 ทำประตูระดับทีมชาติไปถึง 14 ประตู ซึ่งเป็นการยิงประตูนามทีมชาติได้มากที่สุดในตำแหน่งแบ็คซ้าย

ทั้งนี้เจ้าตัวถูกยกย่องให้เป็นดาราเอเชีย จากผลงานการค้าแข้งที่หาตัวจับยาก และถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดตลอดการในทวีปเอเชียอีกด้วย

ทำเนียบผู้ยิงประตูนามทีมชาติได้มากที่สุดในแต่ละตำแหน่ง

ผู้รักษาประตู : โฆเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต (ชิลี) 8 ประตู

แบ็คขวา : ดาริโย เซอร์น่า (โครเอเชีย) 22 ประตู
แบ็คซ้าย : ดุสิต เฉลิมแสน (ไทย) 14 ประตู
กองหลัง : เซร์คิโอ รามอส (สเปน) 23 ประตู
กองหลัง : เฟร์นันโด เฮียร์โร่ (สเปน) 29 ประตู

ริมเส้นฝั่งซ้าย : เนย์มาร์ (บราซิล) 68 ประตู
มิดฟิลด์ตัวกลาง : ทิม เคฮิลล์ (ออสเตรเลีย) 50 ประตู
มิดฟิลด์ตัวกลาง : คาริม บักเฮรี (อิหร่าน) 50 ประตู
ริมเส้นฝั่งขวา : ลิโอเนล เมสซี่ (อาร์เจนติน่า) 76 ประตู

กองหน้า : อาลี ดาอี (อิหร่าน) 109 ประตู
กองหน้า : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (โปรตุเกส) 111 ประตู
#2878


วันที่ 4 กันยายน 2564 เวลา 15.00 น. ณ สนามฝึกซ้อมภายในศูนย์ฝึก ยามาโอกะ ฮานาซากะ ฟุต.ชายทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ลงทำการฝึกซ้อม อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ในการเก็บตัวครั้งแรก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันฟุต.ชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบคัดเลือก ที่ประเทศมองโกเลีย ระหว่างวันที่ 25-31 ตุลาคม 2564

ซึ่งการฝึกซ้อมครั้งนี้ ได้ให้นักเตะแบ่งเป็นสองทีมและมีการอุ่นเครื่องกันเอง เพื่อทดสอบความเข้าใจของนักกีฬา

โดย พิภพ อ่อนโม้ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี กล่าวว่า 'ก่อนอื่นเลยรู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมกับทีมชาติไทย U23 ในทีมชุดนี้ก็มีทั้ง โค้ชโย่ง โค้ชโชค โค้ชก้าง ที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ทำให้การทำงานราบรื่น เราก็อยากที่จะถ่ายทอดในความเป็นกองหน้า ในการเคลื่อนที่และการจบสกอร์ที่หลากหลาย'

'เราได้เห็นน้องทุกคน มีความมุ่งมั่นที่อยากจะช่วยทีมชาติ และได้เห็นทักษะของหลายคนที่ยังไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ คิดว่าพวกเขาจะเป็นอนาคตที่ดีของทีมชาติไทย'

'ในภาพรวมสิบวันนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อสตาฟฟ์โค้ชที่ได้เห็นตัวเลือกอีกมากมาย ในการคอยสนับสนุนทีมชาติไทย U23 เพราะว่าตัวหลักหลายคนก็มีทัวร์นาเมนต์ ในไทยลีก สำหรับชุดนี้ก็สำคัญ เราได้เห็นมีความสามารถมากขึ้น'

ทีมชาติไทยชุดนี้จะเก็บตัวฝึกซ้อมต่อเนื่อง ที่ ศูนย์ฝึก ยามาโอกะ ฮานาซากะ ไปจนถึงวันที่ 10 กันยายน 2564 โดยจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุต.ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศมองโกเลีย ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยทัพช้างศึก U23 อยู่ในกลุ่มเจ ร่วมกับ มาเลเซีย, สปป.ลาว และมองโกเลีย (เจ้าภาพ) ซึ่งมีโปรแกรมการแข่งขัน ดังนี้

25 ตุลาคม 2564 ทีมชาติไทย พบ มองโกเลีย
28 ตุลาคม 2564 ทีมชาติไทย พบ สปป.ลาว
31 ตุลาคม 2564 ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย
#2879


นอกจากความงดงามอลังการของ "ปราสาทพนมรุ้ง" หรือ "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง" ที่เป็นสถาปัตยกรรมจากยุคโบราณ ยังมีอีกหนึ่งความน่าอัศจรรย์คือ ใน 1 ปี จะมี 4 วันที่พระอาทิตย์ขึ้น-ตกลอดผ่านช่องประตูทั้ง 15 ประตูเป็นแนวเดียวกัน

โดยในทุกๆ ปีปราสาทพนมรุ้งจะมีปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ลอดช่องผ่านประตูทั้ง 15 ช่อง เป็นแนวเดียวกัน 4 ครั้งเท่านั้น คือ พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ 3-5 เมษายน และ 9 -11 กันยายน พระอาทิตย์ตกลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ วันที่ 5-7 มีนาคม และ 6-8 ตุลาคม

พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่อง 15 ประตู (ภาพจากเพจ "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง บุรีรัมย์" บันทึกภาพวันที่ 10 ก.ย.63)
พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่อง 15 ประตู (ภาพจากเพจ "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง บุรีรัมย์" บันทึกภาพวันที่ 10 ก.ย.63)

เรื่องนี้มีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการว่า สถาปนิกขอมโบราณน่าจะเลือกสร้างปราสาทพนมรุ้ง โดยใช้แสงอาทิตย์ยามเช้ากำหนดทิศทางของปราสาทและแนวประตูทั้ง 15 ช่อง ซึ่งคาดว่าน่าจะตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี

แต่ต่อมาการหมุนของโลกเบี่ยงเบนไปเรื่อยๆ วันที่พระอาทิตย์ขึ้นส่องลอดทะลุประตูทั้ง 15 ช่อง จึงเลื่อนขึ้นมาปรากฏในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้กำหนดจัดงาน "ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง" อย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆ ปี ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง

และในช่วงเดือนกันยายน 2564 นี้ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ได้แจ้งผ่าน Facebook Fanpage "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง บุรีรัมย์" เรื่องกำหนดการพระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ว่า

พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่อง 15 ประตู (แฟ้มภาพ)
พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่อง 15 ประตู (แฟ้มภาพ)

"พระอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 8-9-10 กันยายน 2564 ที่จะถึงนี้ เวลา 05.57 น. โดยประมาณ

ในการนี้ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ สำหรับท่านที่จะเตรียมตัวมาชมปรากฏการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1. ประตูอุทยานฯ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 05.30 น.
2. อุทยานฯ จัดเตรียมการคัดกรองนักท่องเที่ยว ตามมาตรการควบคุม เฝ้าระวังและป้องกันโควิด-19 ลงทะเบียนสแกนคิวอาร์โค๊ด หรือลงชื่อในสมุดลงทะเบียน ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา 100% รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลอยู่เสมอ (เริ่มจำหน่ายบัตรและลงทะเบียนคัดกรอง ตั้งแต่เวลา 05.00 น.)
3. ชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมโบราณสถานตามระเบียบ
4. ปรากฏการณ์นี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากมีฝนหรือเมฆหมอกหนา ก็อาจไม่เห็น
5. โปรดเอื้อเฟื้อแบ่งปันการรับชม"

บริเวณที่ยืนรอชมพระอาทิตย์ขึ้นลอดช่องประตู
บริเวณที่ยืนรอชมพระอาทิตย์ขึ้นลอดช่องประตู

ปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทพนมรุ้ง

สำหรับ "อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง" (อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์) ตั้งอยู่บนเขาพนมรุ้ง เป็นปราสาทที่ได้รับการยอมรับว่างดงามที่สุดในเมืองไทย คำว่า "พนมรุ้ง" หรือ "วนํรุง" เป็นภาษาเขมรแปลว่าภูเขาใหญ่ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว

ปราสาทพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ก่อสร้างอย่างสวยงามอลังการตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง มีการบูรณะก่อสร้างอย่างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 - 17 ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธศาสนสถานในช่วงนั้น

เสานางเรียงบริเวณทางเดินสู่ตัวปราสาท
เสานางเรียงบริเวณทางเดินสู่ตัวปราสาท

ความงดงามและเสน่ห์ของปราสาทพนมรุ้งนั้นมีมากมาย เริ่มตั้งแต่เส้นทางเดินสู่ปราสาทซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ ซึ่งทางขวามือก่อนเดินขึ้นบันได จะมี "พลับพลา" เป็นอาคารโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยอาคารนี้เดิมเรียกว่าโรงช้างเผือก สันนิษฐานว่าเป็นพลับพลาเปลื้องเครื่องสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูง ก่อนจะเข้าสู่ภายในปราสาทประธานที่อยู่บนเขา

เส้นทางเดินสู่ตัวปราสาทที่ถูกออกแบบลดหลั่นไปตามภูมิประเทศ มีเส้นทางที่มีเสานางเรียงตั้งอยู่เรียงราย ผ่านสะพานนาคซึ่งเป็นดังจุดเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ นำสู่องค์ "ปราสาทประธาน" ที่เปรียบดังยอดเขาพระสุเมรุ

ปราสาทประธาน
ปราสาทประธาน

ศิวลึงค์ใน ห้องครรภคฤหะ
ศิวลึงค์ใน ห้องครรภคฤหะ

ปราสาทประธานสร้างด้วยหินทรายสีชมพูอันงดงามสมส่วน มีไฮไลต์คือองค์ปรางค์ประธาน ที่ภายในตัวเรือนธาตุมีห้องครรภคฤหะ ประดิษฐานศิวลึงค์รูปเคารพสำคัญของลัทธิไศวนิกาย ความพิเศษของของศิวลึงค์ที่นี่ก็คือ จะมีท่อโสมสูตร หรือร่องรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ได้จากพิธีกรรมเซ่นสังเวยองค์ศิวเทพต่อยาวออกมา

ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไฮไลต์สำคัญเคียงคู่กับตัวปราสาทก็คือ ลวดลายสลักหินหรือภาพจำหลักหิน ที่ถือเป็นงานในระดับมาสเตอร์พีช ฝีมือประณีตงดงาม นำโดยภาพ "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" และภาพ "ศิวนาฏราช" ที่อยู่เคียงคู่กัน รวมถึงภาพลวดลายประกอบอื่นๆ และภาพอารมณ์ขันของช่างขอมโบราณที่ได้สลักแฝงไว้ตามแง่มุมต่างๆ ที่งดงามและค่อนข้างสมบูรณ์

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์

ศิวนาฏราช
ศิวนาฏราช


"อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง" เปิดให้เข้าชมตามปกติ ทุกวัน เวลา 07.00-18.00 น. โดยปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกัน ควบคุม และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ลงทะเบียน ณ จุดคัดกรอง, ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย, ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์, สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลา 100%
#2880


ยูนิลีเวอร์ลอนดอน เปิดตัวขวดน้ำยาซักผ้าที่ทำจากกระดาษเป็นแห่งแรกของโลก เมื่อประมาณเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ที่นี่ถือเป็นต้นแบบในการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อโลกโดยเริ่มจากแบรนด์น้ำยาดูแลผ้า OMO (หรือที่รู้จักในชื่อ Persil, Skip และ Breeze) พร้อมมีกำหนดเปิดตัวในบราซิลภายในต้นปี 2565 รวมถึงในยุโรปและประเทศอื่นๆ ในไม่ช้า หลังจากนั้น จะนำร่องเทคโนโลยีเดียวกันนี้กับขวดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ทำจากกระดาษ

นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีนี้เป็นการพัฒนาร่วมกับกลุ่มบริษัท Pulpex ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Unilever, Diageo, Pilot Lite และสมาชิกในอุตสาหกรรมอื่นๆ ยูนิลีเวอร์สามารถใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อบรรจุผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่เป็นของเหลวในขวดที่ทำจากกระดาษชนิดแรก ซึ่งทำจากเยื่อกระดาษที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และได้รับการออกแบบให้สามารถนำกลับไป รีไซเคิลได้ในกลุ่มกระดาษ

ภายในขวดมีการฉีดพ่นด้วยสารเคลือบที่กันน้ำได้ อันเป็นลิขสิทธิ์โดยเฉพาะ ทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษสามารถ บรรจุผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว เช่น น้ำยาซักผ้า แชมพู และครีมนวด ซึ่งประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว น้ำหอม และสารออกฤทธิ์อื่นๆ

การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลได้โดยไม่ต้องใช้ชั้นพลาสติกเพิ่มเติมถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ บรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Pulpex ให้แนวทางในการลดการใช้พลาสติกลงอย่างมาก และจะช่วยให้ Unilever บรรลุพันธสัญญาต่อโลกที่ปราศจากขยะ

Richard Slater ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า "เพื่อจัดการกับขยะพลาสติก เราต้องคิดใหม่ทั้งหมดว่าเราออกแบบและบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์อย่างไร สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถทำได้ผ่านความร่วมมือระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น เทคโนโลยีขวดที่ทำจากกระดาษ Pulpex เป็นก้าวใหม่ที่น่าตื่นเต้นในทิศทางที่ถูกต้อง เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกันเพื่อทดลองนวัตกรรมนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา

"นวัตกรรมด้วยวัสดุทางเลือกเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนของเรา และจะมีบทบาทสำคัญในความมุ่งมั่นของเราที่จะลดการใช้วัสดุพลาสติกบริสุทธิ์ของเราลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2568"

ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อโลกมากขึ้น และจะพิจารณาปัจจัยด้านความยั่งยืนเพื่อตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงบรรจุภัณฑ์ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าที่ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ผู้คนต่างมีความกังวล เช่น นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนที่ประกาศในวันนี้ จะทำให้ยูนิลีเวอร์ เป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้น

นวัตกรรมขวดกระดาษ มาจากแหล่งที่ยั่งยืนและรีไซเคิลได้ เป็นอีกหนึ่งมุ่งหมายของยูนิลีเวอร์ เพื่อจะลดใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติก ยูนิลีเวอร์อาศัยเทคโนโลยีขวดที่ทำจากกระดาษของ Pulpex เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการใช้วัสดุพลาสติกบริสุทธิ์ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2568

ขวดนี้ทำมาจากเยื่อกระดาษเซลลูโลสที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และออกแบบมาให้นำกลับมาใช้ใหม่ในขยะกระดาษ มันถูกฉีดพ่นภายในด้วยสารเคลือบที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะซึ่งกันน้ำได้ ทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษสามารถเก็บผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว เช่น น้ำยาซักผ้า แชมพู และครีมนวดผม ซึ่งประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว น้ำหอม และส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ

การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลได้โดยไม่ต้องใช้ชั้นพลาสติกเพิ่มเติมถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ จากข้อมูลของ Unilever บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Pulpex ได้นำเสนอโซลูชั่นที่มีแนวโน้มว่าจะลดการใช้พลาสติกลงอย่างมาก

"ในการจัดการกับขยะพลาสติก เราต้องคิดใหม่ทั้งหมดว่าเราออกแบบและบรรจุผลิตภัณฑ์อย่างไร สิ่งนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถทำได้ผ่านความร่วมมือระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Unilever กล่าว