• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#6046


จากกรณี ดาราหนุ่มซีรีส์ช่องดัง ทอยทอย-ธนภัทร อายุ 21 ปี ก่อเหตุแทงแฟนสาว  พิม ชัชสรัญ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เสียชีวิตในบ้านพักย่านเขตคลองสามวา โดยเจ้าตัวอ้างว่าทะเลาะกันมีปากเสียงกันอย่างหนัก ก่อนจะเกิดการต่อสู้และมีการแทงฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทางด้านโลกออนไลน์ ได้มีการย้อนไปดูที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของ "พิม ชัชสรัญ" พบว่า ก่อนเกิดเหตุสุดสลด เธอเคยโพสต์เล่า เคยถูกคนรักทำร้ายจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์มานานกว่า 2 ปี อีกทั้งทำเรื่องฟ้องหย่ากับสามีเก่า

เมื่อช่วงปี 2562 พิมเคยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล เนื่องมาจากโรคซึมเศร้า และจำเป็นต้องพักรักษาตัว ซึ่งพิมยังเคยโพสต์ภาพที่ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บหลายจุด และเป็นต้นเหตุของอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์มาแล้ว

"พิม" ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์นั้น เป็นมานานกว่า 2 ปี จากการที่พิมถูกทำร้ายจากคนที่เธอรักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โรคนี้ไม่มีใครอยากเป็น โรคนี้เป็นโรคที่บางคนไม่เคยเข้าใจ เป็นโรคที่ทำให้เธอต้องฆ่าตัวตายมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง โรคที่พังชีวิตเธอทุกอย่าง เธอพยายามต่อสู้มาโดยตลอด "จุดจบก็หนีไม่พ้น ถ้าเธอไม่พังชีวิตตัวเอง ก็ไปรักใครมากกว่าตัวเองจนเขามาพังชีวิตเรา"

มีคนชอบพูดกับเธอว่า มีทุกอย่างแล้วทำไมยังไม่หยุดเป็นอะไรแบบนี้ เธออยากถามกลับว่า "เคยได้ยินว่า มีทุกอย่างแต่ไม่มีความสุขไหม" มีแต่คนถามว่า ทำไมเธอไม่รักตัวเอง ไม่รักคนรอบตัวบ้างเหรอ เธออยากบอกว่า "เธอรักจะตาย แต่เข้าใจไหมว่าเซลล์สมองมันไม่ปกติ มันพัง กระบวนการคิดมันไม่เหมือนคนทั่วไป" อยากให้เคสของเธอเป็นตัวอย่างให้ทุกคนพยายามเข้าใจคนป่วยประเภทนี้ โดยเฉพาะคนที่คุณรัก ยาที่ดีที่สุดสำหรับคนป่วยโรคนี้คือ ความรักและความเข้าใจเขาจริง ๆ เพราะคนเหล่านี้เขารักตัวเองไม่ได้ เธอเข้าใจว่า อยู่กับคนป่วยแบบนี้มันเหนื่อย แต่บางทีคุณอาจจะเป็นเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อ "อย่าเห็นโรคนี้เป็นเรื่องตลก อย่ามองว่าเรียกร้องความสนใจ เพราะถ้าวันใดเขาฆ่าตัวตายสำเร็จ คุณจะไม่ตลกกับมันด้วยซ้ำ" สิ่งที่เธอต้องเจอ มันหนักเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอจริง ๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรความทรมานนี้จะจบลงเสียที

นอกจากนี้ เมื่อย้อนไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค. "พิม ชัชสรัญ" เคยโพสต์ว่า ตอนนี้ได้ฟ้องหย่ากับอดีตสามี และมีการฟ้องร้องเรื่องเงินกันเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมา ฝั่งอดีตสามีหนีตลอด ไม่ยอมมาคุยให้จบกันดี ๆ ไม่ยอมมาเซ็นใบหย่า ส่วนสภาพจิตใจและร่างกายของเธอตอนนี้อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว พร้อมขอบคุณทุกคนอย่างใจจริงอีกด้วย..... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/131589/
#6047


บาร์เซโลน่า ยืนยันว่าไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัญญาฉบับใหม่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่าได้ เนื่องจากอุปสรรคทางด้านการเงินของทีม ปิดฉากช่วงเวลา 21 ปีเต็มกับสโมสร

ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ หมดสัญญากับทีม "อาซูลกราน่า" ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวต้องเดินทางไปแข่งขันฟุต.โคปา อเมริกา ที่ประเทศบราซิล กับทีมฟ้าขาว จึงยังไม่มีโอกาสได้เข้ามาพูดคุยกับบอร์ดบริหารของ บาร์เซโลน่า แบบจริงๆจังๆ

ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า ลิโอเนล เมสซี่ ตอบรับในการเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ บาร์เซโลน่า เป็นเวลา 5 ปีเต็ม และพร้อมลดค่าเหนื่อยของตัวเองลงครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยพยุงสถานะทางการเงินของทีม

แต่แล้วล่าสุด บาร์เซโลน่า ร่อนแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียของสโมสร ระบุว่า ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัญญาฉบับใหม่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ได้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจที่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่กันก็ตาม เนื่องจากข้อบังคับทางด้านการเงินของทาง ลาลีกา สเปน ที่เข้มงวด

"แม้ บาร์เซโลน่า และ ลิโอเนล เมสซี่ จะบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างตั้งใจที่จะเซ็นสัญญากันในวันนี้ แต่การเซ็นสัญญาดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะอุปสรรคเรื่องโครงสร้างการเงิน" บาร์เซโลน่า ร่อนแถลงการณ์

"ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมสซี่ จะไม่อยู่กับ บาร์เซโลน่า ต่อไป ต่างฝ่ายต่างเสียใจอย่างสุดซึ้งที่สุดท้ายแล้วความปรารถนาของนักเตะกับสโมสรไม่กลายเป็นความจริง"

"บาร์เซโลน่า ขอขอบคุณสุดหัวใจต่อ เมสซี่ สำหรับทุกสิ่งที่เขาช่วยทำให้สโมสรยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น และขอให้เขาโชคดีกับอนาคตทั้งในเรื่องส่วนตัวและชีวิตนักฟุต." ทีมเจ้าบุญทุ่ม ทิ้งท้าย

หลังจากนี้หลายฝ่ายต่างจับตามองว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตการค้าแข้งของตัวเองจากการที่ไม่สามารถเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาได้

สำหรับ ลิโอเนล เมสซี่ ย้ายจากนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ มาอยู่กับแคมป์ลามาเซียของบาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวอายุเพียง 13 ปี ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ของทัพอาซูลกราน่า ในปี 2004 จนกลายเป็นตำนานของสโมสร เป็นนักเตะที่ยิงประตูมากสุด และลงสนามมากสุดตลอดกาลของทีม โดยทำไปทั้งหมด 672 ประตู จากการลงเล่น 778 เกมในทุกรายการ

นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 10 สมัย, แชมป์โคปา เดล เรย์ 7 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 4 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย, สโมสรโลก 3 สมัย
#6048


นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปสำหรับนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนภาคเกษตร อันเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ และเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ถือสลากออมทรัพย์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนให้สามารถฝากเงินกับ ธ.ก.ส.ได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับการออมเงินที่ได้รับดอกเบี้ย ไม่เสียภาษีและยังมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลมากมาย โดยแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile

สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 มีอายุรับฝาก 3 ปี เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.05 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัลมูลค่า 10,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 99 รางวัล ๆ ละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 300 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 1,000 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 2,000 รางวัล ๆ ละ 1,000 บาท รางวัลที่ 5 มี 10,000 รางวัล ๆ ละ 500 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 100,000 รางวัล ๆ 50 บาท และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 2,000,000 รางวัล ๆ ละ 10 บาท รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 47,490,000 บาทต่อเดือน โดยจะออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2564 ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) ได้อีกด้วย


ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page "ธกส BAAC Thailand" และ "ธกส บริการด้วยใจ" Youtube Channel "BAAC Thailand" หรือทาง ธ.ก.ส. A-Mobile โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
#6049


นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (เอ็นไอเอไอดี) เปิดเผยในวันพุธ (4 ส.ค.) ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนแตะที่ 200,000 รายต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

"จำได้ไหมครับว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ติดเชื้อ 10,000 รายต่อวัน ผมคิดว่ามีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย" นายแพทย์เฟาชีกล่าว

นายแพทย์เฟาชียังกล่าวว่า "ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐ และสถานการณ์อาจเลวร้ายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เว้นเสียแต่ว่าชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนซึ่งมีอยู่มากจะตัดสินใจไปฉีดวัคซีน"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"สถานการณ์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอัตราการติดเชื้อที่รวดเร็ว และยังมีคนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ยังไม่ไปฉีดอีกประมาณ 93 ล้านคนทั่วประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง"

นายแพทย์ใหญ่ยังแสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์ที่ต้านทานต่อวัคซีนได้มากขึ้น

"หากเราไม่หยุดยั้งการแพร่ระบาดด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ไวรัสจะระบาดในฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ได้"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันอยู่ที่ 84,389 ราย
#6050


มามี่โพโค (MamyPoko) ผู้นำตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูป จับมือ ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ร่วมสร้างสีสันฉลองแคมเปญช้อปปิ้งที่อัดแน่นโดยโปรโมชั่นดี๊ดี Shopee 8.8 Crazy Flash Sale ส่งตรงความพิเศษด้วยคอลแลปคอลเลคชั่นสุดคิ้วท์ "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" (MamyPoko Pants Lovely Day & Night
Comfortably Thin)

ครั้งแรกกับแพ็กเกจจิ้งลิมิเต็ดเอดิชั่นดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมกับความสดใสน่ารักของ โชกี้ (Shogi) เจ้าสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่เป็นมาสคอตของช้อปปี้ที่คราวนี้ได้ร่วมก๊วนเป็นเพื่อนซี้กับ โพโคจังและผองเพื่อน (Poko Poko Friends) มีให้เลือกไซซ์ L-XXL พร้อมเอาใจคุณแม่ขาช้อป ด้วยหลากหลายไอเท็มเด็ดที่จัดโปรแรงต้อนรับเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 5 - 7 สิงหาคมนี้เท่านั้น!!!

"ทาดาชิ นาคาอิ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า "บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความแปลกใหม่ สรรหานวัตกรรมที่ตรงใจ รวมถึงอรรถประโยชน์ในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงพฤติกรรมและโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคจะได้ใช้สินค้าผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีที่สุด ล่าสุด ได้เตรียมสร้างสีสันให้กับตลาด ทำให้การเลือกซื้อเลือกใช้กางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปยกระดับไปอีกขั้นด้วยความคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ เอาใจคุณพ่อคุณแม่นักช้อปกับคอลแลปคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ได้ร่วมกับ ช้อปปี้ พันธมิตรอีคอมเมิร์ซชั้นนำ
ในการหยิบยกเอาสัญลักษณ์ของทั้ง 2 แบรนด์มาสร้างการจดจำ ในรูปแบบแพ็กเกจจิ้งลิมิเต็ดเอดิชั่นของผลิตภัณฑ์กางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปซึมซับดีเยี่ยม "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" กับความน่ารักสดใสของ โพโคจัง และผองเพื่อน (Poko Poko Friends) ที่ได้เพื่อนซี้คนใหม่อย่างเจ้าโชกี้ (Shogi) ที่เป็นมาสคอตของช้อปปี้มาเข้าแก๊งค์ นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่น่าจดจำแล้ว ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังถือเป็นอีกหนึ่งก้าวในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการ อันกว้างไกลของเหล่าเจ้าตัวน้อยอีกด้วย"

"ศิวกร สิริวงศ์ภานุพงษ์" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "ช้อปปี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มาสคอตของแบรนด์อย่างเจ้าโชกี้ (Shogi) สุนัขพันธุ์คอร์กี้ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของช้อปปี้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีและส่งมอบความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคมาอย่างยาวนานจะได้มาร่วมส่งมอบความน่ารักและความสดใสร่วมกับโพโคจังและผองเพื่อนบนแพ็กเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์มามี่โพโคซึ่งเป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปในประเทศไทย และการเปิดตัวคอลแลปคอลเลคชั่นนี้ ยังถือเป็นหนึ่งไฮไลท์เพื่อเฉลิมฉลองแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale โดยเรามุ่งหวังว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองแบรนด์ที่จะทำให้หมวดหมู่สินค้าแม่และเด็กในแพลตฟอร์มของช้อปปี้มีสีสันและความสนุกเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับความเอ็กซ์คลูซีฟที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จะสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ช้อปปี้ที่เดียวเท่านั้น"

นอกจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" ลิมิเต็ดเอดิชั่นดีไซน์พิเศษ ซึ่งเป็นไฮไลท์ในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale มามี่โพโคยังได้มอบความพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์รุ่นดังกล่าวในราคาพิเศษเพียง 828 บาท จากราคาปกติที่ 1,275 บาท พร้อมส่งต่อโปรโมชั่นเป็นของขวัญสำหรับคุณแม่ในช่วงเทศกาลวันแม่แห่งชาติ แคมเปญมีส่วนลดสูงสุดถึง 60% และมีโค้ดส่วนลดเพิ่มสูงสุด 400 Shopee Coins นอกเหนือจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์เหนือระดับอีกมากมายเมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay ให้เหล่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้เลือกซื้อสินค้าของมามี่โพโค บน Shopee Mall ระหว่างวันที่ 5 - 7 สิงหาคมนี้ได้อย่างคุ้มค่าเหนือความคาดหมาย

สัมผัสกับความน่ารักของคอลแลปคอลเลคชั่นครั้งแรกของ MamyPoko x Shopee ในราคาสุดคุ้มค่าและติดตามข่าวสารพร้อมความเคลื่อนไหวของ MamyPoko Official Store บน Shopee Mall ได้ที่
https:// shopee.co.th/mamypoko_official_store
#6051


นายชัชวัสส์ เกรียงสันติกุล หุ้นส่วน บริษัท มาซาร์ส ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าปีครึ่ง ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้อุตสหกรรมและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งต้องปิดตัวลงไป แถมยังมีอีกหลายกิจการที่ยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกทางไหนดี จะสู้ต่อ ปิดตัวชั่วคราว หรือปิดกิจการไปเลย จากประสบการณ์ของมาซาร์ส ในการให้คำปรึกษาแนะนำลูกค้าธุรกิจที่เผชิญปัญหาจากปัจจัยต่าง ๆ โดยนำปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาวิเคราะห์และประเมินองค์กรอย่างเป็นกลาง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

     สำหรับสิ่งที่มาซาร์สให้ความสำคัญที่สุดคือ กระแสเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินอุตสาหกรรมและธุรกิจ ในการคงสภาพคล่องของกิจการ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกรรมต่างๆต่อไปได้ ซึ่งธุรกิจหลายๆประเภทได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดรายได้ หรือมีรายได้ลดลง จนทำให้กระแสเงินสดรับมีไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจต่อไป จากสภาวการณ์ปัจจุบันที่รัฐได้ออกข้อจำกัดต่างๆเพื่อควบคุมการระบาดของโรค และข้อจำกัดเหล่านั้นได้ส่งผลต่อธุรกิจในหลายประเภท ทั้งที่ไม่สามารถดำเนินกิจการได้เลย หรือสามารถดำเนินกิจการได้เพียงบางส่วน และธุรกิจที่ดำเนินกิจการได้ตามปกติแต่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ นั้น ทำให้เกิดสภาวะการขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการขาดรายได้ การมีรายได้ลดลง และมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น หลายๆ ธุรกิจจึงต้องหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินกิจการ ทั้งจากการเพิ่มทุน และการกู้ยืมเงินจากแหล่งต่างๆ และต้องพยายามคงสภาพคล่องของกิจการ โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่น การปลดพนักงานบางส่วนออก การเจรจาต่อรองกับคู่ค้า และ เจ้าหนี้ รวมไปถึงการขอลดค่าเช่า ค่าสินค้า หรือค่าบริการต่างๆลงเท่าที่สามารถจะทำได้ การขอพักชำระหนี้ ขอลดดอกเบี้ย ขอชะลอการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น หรือบางรายอาจจะจำเป็นต้องหยุดชำระหนี้ แล้วเจรจาขอประนอมหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย หรือดำเนินการทางกฎหมายเพื่อให้ธุรกิจนั้นล้มละลายไป

    ในความเป็นจริง การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอพักชำระหนี้โดยไม่ผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล อาจจะทำได้ยาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรองมากนัก การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้เกิดสภาวะพักการชำระหนี้ (Automatic Stay) จึงน่าจะเป็นทางเลือกซึ่งผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง SMEs ควรจะพิจารณามากขึ้น เพราะสามารถทำได้ในจำนวนหนี้ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับบุคคลธรรมดา และตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับนิติบุคคล ทั้งนี้ ศาลผู้พิจารณารับคำขอฟื้นฟูกิจการจะพิจารณาถึงเหตุอันสมควรและมีช่องทางในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือไม่ โดยความเห็นชอบของเจ้าหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด และเมื่อศาลพิจารณารับคำขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ สภาวะพักการชำระหนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามกฎหมาย และทำให้ลูกหนี้สามารถเก็บกระแสเงินสดรับไว้ใช้จ่ายในกิจการชั่วคราวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องก่อนทำแผนและเสนอศาลเพื่อพิจารณาอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อไป

      ทั้งนี้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะเลือกนำบริษัทเข้าสู่แผนการฟื้นฟูกิจการในศาล หรือจะเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้และคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานควบคู่กันไปด้วย เช่น การให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน การนำระบบไอทีมาใช้ การสร้างระบบความปลอดภัยทางไอที และอื่น ๆ โดยในการให้คำแนะนำกับลูกค้า มาซาร์ส จะวิเคราะห์ผลกระทบที่ธุรกิจได้รับจากการที่จะต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และกระแสเงินสดเป็นสำคัญ
สำหรับกิจการที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ก็ควรพิจารณาว่า ควรปรับแผนธุรกิจ วางแผนการเงิน การบริหารกระแสเงินสด ค่าใช้จ่ายต่างๆ และหนี้ที่มีอยู่อย่างไร หากต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเพิ่มเติมในการดำเนินงาน จะสามารถจ่ายดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นได้หรือไม่  หรือจะต้องหาแหล่งเงินทุนอื่น เช่น จากผู้ถือหุ้นเดิม หรือแหล่งอื่นๆ ในกรณีที่ไม่สามารถทำธุรกิจได้เลย เพราะข้อห้ามตามกฎหมาย ในการที่จะหยุดกิจการชั่วคราวนั้น จะต้องพิจารณาถึงรายจ่ายที่ไม่สามารถตัดให้ลดลงได้ และจำนวนเงินสดในมือด้วยว่าสามารถหยุดกิจการได้นานแค่ไหน เพียงใด และหากพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มี ไปจนกว่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติได้ ก็ควรพิจารณาเลิกกิจการ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    มาซาร์ส ให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจเช็คสถานะของธุรกิจ การให้คำปรึกษาแนะนำ และดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าผู้ประกอบการจะตัดสินใจหยุดกิจการชั่วคราว เลิก หรือทำธุรกิจต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจทานสัญญาต่างๆ การเข้าร่วมเจรจากับคู่ค้า และเจ้าหนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างแรงงาน หรือเลิกจ้างพนักงาน การดำเนินการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตต่างๆที่มี การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ การทำแผนธุรกิจ แผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนการเลิกและชำระบัญชี ซึ่งความโดดเด่นที่ได้เปรียบของมาซาร์ส คือ การเป็นบริษัทที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (one stop service)   นอกจากนี้ มาซาร์ส ยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านทำบัญชี ด้านตรวจสอบบัญชี ด้านการเงิน และ ภาษี มาช่วยลูกค้าอีกด้วย

     นายชัชวัสส์   กล่าวต่อไปว่า มาซาร์ส เป็นบริษัทที่มีการให้บริการเป็นที่ปรึกษาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในตลาดเมืองไทย เราให้บริการลูกค้าทุกขนาดตั้งแต่บริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจระดับโลก ตลอดจนธุรกิจสตาร์ทอัพและองค์กรหน่วยงานสาธารณะ และสามารถบริการให้คำปรึกษาได้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ บริษัท มาซาร์ส ประเทศไทย มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรวมมากกว่า 280 คน จุดเด่นของการดำเนินธุรกิจของเราอยู่ที่ความหลากหลายของผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มาจากประเทศต่าง ๆหลากหลายสัญชาติ ทำให้มั่นใจได้ว่า เราคือที่ปรึกษาที่ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้ทั้งธุรกิจในประเทศและธุรกิจข้ามชาติได้เป็นอย่างดี

      นอกจากนี้ กลุ่มมาซาร์ส เป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำระดับนานาชาติที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านงานผู้สอบบัญชี งานจัดทำบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ภาษีและที่ปรึกษาทางกฎหมาย กลุ่มมาซาร์สทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก มีบุคลากรซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่พร้อมให้บริการลูกค้าทุกธุรกิจ ทุกขนาดและให้บริการได้ทุก ๆขั้นตอนของธุรกิจ อยู่ทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 42,000 คน ในจำนวนนี้เป็นบุคลากรภายในกลุ่มมาซาร์ส 26,000 คน และอีก 16,000 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจมาซาร์สในทวีปอเมริกาเหนือและแคนาดา สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ http:// www.mazars.co.th
#6052


นีเลช เจน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เทรนด์ไมโคร กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการทำงานภายในองค์กรเปลี่ยนไปสู่การทำงานจากระยะไกล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากมีผู้คุกคามจำนวนมากขึ้นที่พยายามฉวยโอกาสจากภาวะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19

เทรนด์ไมโครพบว่า ระบบนิเวศที่ทั้งแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้รูปแบบการจัดการและการป้องกันไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติเป็นต้นมา พบการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของอีเมลต้มตุ๋น สแปม และการล่อลวงแบบฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และแน่นอนว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงมุ่งที่จะฉวยโอกาสและออกแคมเปญที่ใช้โคโรน่าไวรัสเป็นธีมหลักในการโจมตี


'เฮลธ์แคร์' เป้าหมายโจรไซเบอร์

เขากล่าวว่า ปีนี้องค์กรธุรกิจต้องต่อสู้เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัย และจากนี้โควิด-19 จะยังคงสร้างความท้าทายด้านการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการค้าบนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งอาชญากรจะพยายามบุกเข้าไปในระบบโลจิสติกส์ โดยกรณีที่เกิดขึ้นได้เช่น การก่อวินาศกรรมการผลิต การลักลอบขนส่ง (trafficking) และการขนส่งสินค้าลอกเลียนแบบจะกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์" จะยิ่งกลายเป็นที่จับตามองมากขึ้น เนื่องจากแพทย์จำนวนมากหันไปใช้ระบบการรักษาทางไกล (telemedicine) และการให้บริการทางการแพทย์ทวีความสำคัญมากขึ้น 

"ความปลอดภัยด้านไอทีสำหรับระบบเฮลธ์แคร์จะถูกทดสอบ ทีมรักษาความปลอดภัยไม่เพียงต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ป่วยและการโจมตีของมัลแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ของการจารกรรมทางการแพทย์"

ปิยธิดา ตันตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นและเร่งการเกิดกระบวนการปฏิรูปทางดิจิทัลอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการใช้เทคโนโลยีก็จะทำให้รูปแบบและภูมิทัศน์ของภัยคุกคามเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

เทรนด์ไมโครพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นจุดที่สามารถนำไปสู่อาชญากรรมบนไซเบอร์ หรือภัยคุกคามต่อการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในปัจจุบันได้ นั่นคือ การเวิร์คฟรอมโฮม, การใช้งานฟู้ดดิลิเวอร์รี แมสเซจจิ้งแอพพลิเคชั่น ตลอดจนข่าวสารข้อมูลที่ออกมาจากภาคส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัย

ปี 2563 เทรนด์ไมโครดำเนินการบล็อคภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นจำนวน 62.6 พันล้านครั้ง หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 119,000 ต่อนาที โดยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 91% ของภัยคุกคามเกิดจากอีเมล, การโจมตีบนเครือข่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้นถึง 210% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ รูปแบบของการโจมตีและเรียกค่าไถ่บนไซเบอร์ที่เรียกว่าแรนซัมแวร์มีการเปลี่ยนแปลงและมีรูปแบบการโจมตีตามสายพันธุ์ เพิ่มขึ้นถึง 34 % โดยท็อป 10 ของอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายการโจมตี ได้แก่ ภาครัฐบาล ธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิต เฮลธ์แคร์ การเงิน การศึกษา เทคโนโลยี อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และประกันภัย ตามลำดับ

สำหรับเทรนด์ไมโคร มุ่งนำเสนอเกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์เชิงรุก ด้วยเพลตฟอร์ม "Vision One" ที่ช่วยขยายการตรวจจับและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนใสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการทำงานให้ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน

ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดระดับท็อป 3 ในภูมิภาคอาเซียนของเทรนด์ไมโคร ซึ่งจากนี้จะยังคงให้ความสำคัญและเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกตลาดประเทศไทยเติบโต 15.5% เฉพาะซอฟต์แวร์แอสอะเซอร์วิสเติบโต 623.4%, คลาวด์ซิเคียวริตี้(Cloud One) เติบโต 555.9%
#6053


แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 4 ส.ค.นี้ พิจารณา 2 วาระสำคัญ คือ แผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 และกรอบการจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan)

โดยในส่วนของแผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 กระทรวงพลังงาน จะรายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติเห็นชอบกำหนดปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ช่วงปี 2564 – 2566 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจับซื้อก๊าซฯมาไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) โดยแบ่งเป็นปี 2564 จะมีปริมาณนำเข้า อยู่ที่ 0.48 ล้านตันต่อปี ปี 2565 อยู่ที่ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี2566 อยู่ที่ 3.02 ล้านตันต่อปี

ขณะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กพช. ให้เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะที่ 2 คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. จัดหา LNG เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ หรือ Regulated Market และ กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง หรือ Partially Regulated Market


ปัจจุบัน กกพ.ได้ให้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดหาและนำส่งก๊าซธรรมชาติ(Shipper) รายใหม่แล้ว 7 ราย และกำลังอยู่ระหว่างจัดสรรโควตานำเข้า LNG ที่เหมาะสมในปีนี้ ให้กับ Shipper แต่ละราย

โดย กกพ. เตรียมนำเสนอ กพช. ในครั้งนี้ ถึงแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคานำเข้า LNG ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 หลักเกณฑ์ คือ หลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG สำหรับ Shipper รายใหม่ และหลักเกณฑ์ราคานำเข้าก๊าซฯ ของ Shipper รายเดิม คือ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้การนำเข้า LNG มีราคาที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อค่าไฟฟ้าของประเทศต่อไป

"เบื้องต้น กกพ. รายงานว่า ขณะนี้รอ Shipper แต่ละรายแจ้งความประสงค์ในการนำเข้าLNG ในปีนี้ ซึ่งก็มีข้อกังวลว่า ราคา Spot LNG ที่แพงอาจกระทบต่อค่าไฟ โดยเฉพาะการนำเข้าของ กฟผ.ที่เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง แต่ในส่วนของเอกชน ที่จะนำเข้าก๊าซฯไปใช้ในโรงไฟฟ้าของตัวเองอาจจะมีผลกระทบน้อยกว่า จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้รัดกุม"

ส่วนแผนพลังงานแห่งชาติ จะนำเสนอขอความเห็นชอบกรอบของแผนฯต่อ กพช. เท่านั้น แล้วนำกลับมาจัดทำรายละเอียดต่างๆต่อไป โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการ 5 แผน ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2022 ,แผนน้ำมันฯ ,แผนก๊าซธรรมชาติฯ,แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก คาดว่า แผน PDP 2022 อาจจะเสร็จในปี 2565 แทน จากเดิมคาดว่าจะเสร็จปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อกระบวนการดำเนินงาน

"แผนพลังงานแห่งชาติ จะเสนอ กพช.เคาะกำหนดปีเป้าหมายให้ชัดเจน ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามทิศทางของต่างประเทศ และเพื่อวางแนวนโยบายที่ชัดเจนของไทยในการไปเสนอต่อการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ด้วย"

สำหรับรายละเอียดในแผนพลังงานแห่งชาติ ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้วางเป้าหมายด้านไฟฟ้าจะกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างใหม่จากนี้ จะต้องเป็นเชื้อเพลิงสะอาดเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ โซลาร์ฟาร์ม ขยะ และการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว รวมถึงปรับให้สอดคล้องกับแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เป็นต้น
#6054


ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่พุ่งสูงสู่หลักหมื่นคนต่อวัน ทำให้มีการขยายโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อในหลายพื้นที่ และถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นมาหลายแห่ง แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเตียงสนามยังไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ ส่งผลให้ไม่สามารถรองรับการรักษาได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือภาคสาธารณสุข บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จึงได้ร่วมกับกองทัพอากาศ บริษัท ปัญจพลไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด บริษัท สถานีการพิมพ์ จำกัด มูลนิธิ SCG บริษัท ซี.พี.ดี.  ชีทบอร์ด จำกัด สนับสนุนการจัดส่งเตียงสนามรวมจำนวน 3,000 เตียง ภายใต้แคมเปญ "ส่งความห่วงใย ส่งให้ สู้ภัย COVID-19" ไปยังสถานพยาบาลและโรงพยาบาลสนามที่ขาดแคลนเตียงในการรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างทันท่วงที

"เนื่องด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยในระยะที่ต้องได้รับการรักษาจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยในการจัดส่งเตียงสนามของไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โรงพยาบาลสนามที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วยที่ยังคงเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง และสามารถใช้ได้ในอนาคตในกรณีที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายได้ในระยะต่อไป"

ในช่วงที่ทุกภาคส่วนต่างพยายามต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ไปรษณีย์ไทยเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ไม่เคยนิ่งนอนใจกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้ใช้ความเชี่ยวชาญในด้านการขนส่งและการเข้าถึงทุกพื้นที่ประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อเร่งส่งความช่วยเหลือสู่กลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนเตียงสนามที่ใช้ในการรองรับผู้ป่วย

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการจัดส่งเตียงสนามนั้น ไปรษณีย์ไทยได้มีการส่งมอบให้โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศแล้วมากกว่า 3,000 เตียง และจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนการขนส่งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายไปจนกว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย เพื่อให้ภาคสาธารณสุขและคนไทยก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
#6055


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 และ 20 ก.ค.64 โดยมีรายละเอียดในส่วนของผู้ประกอบอาชีพอิสระมาตรา 40 คือ รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ 5,000 บาท ต่อคน และยังให้สิทธิผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนเดือนก.ค. 2564 เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท เช่นกัน ปรากฏว่าจนถึงวันที่ 31 ก.ค.มีผู้ขึ้นทะเบียนสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งสมัครด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th และเครือข่ายประกันสังคม แต่ยังไม่ได้ชำระเงินสมทบงวดแรก ทำให้สถานะความเป็นผู้ประกันตนของยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการรับเงินเยียวยา

"ขอแจ้งให้ผู้สมัคร ม.40 รีบดำเนินมาชำระเงินสมทบงวดแรกให้ทันภายในวันที่ 10 ส.ค.2564 นี้ โดยสามารถชำระเงินผ่านช่องทางที่สะดวก ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์บิ๊กซี เคาน์เตอร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดมหาชน หรือผ่าน Mobile Application ShoppyPay และตู้บุญเติม ฟรีค่าธรรมเนียมทุกช่องทาง" นางสาวลัดดา กล่าว

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำว่า นอกจากการชำระเงินสมทบมาตรา 40 เพื่อรับเงินเยียวยาในพื้นที่เยียวยา 13 จังหวัด แล้ว การชำระเงินสมทบมาตรา 40 อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทุก ๆ เดือน ก็จะทำให้ท่านได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนทุกกรณี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ "แรงงานอิสระ" ที่เพิ่งสมัครเข้าระบบประกันสังคม ม.40 รายใหม่ และอยากทราบว่า ชื่อของตนเอง เข้าสู่ระบบประกันสังคมหรือยังนั้น

สำนักงานประกันสังคม ให้ข้อมูลว่า การสมัครเป็น "ผู้ประกันตนตาม มาตรา 40" จะมีสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย เมื่อจ่ายเงินสมทบงวดแรกแล้ว เท่านั้น

โดยผู้ประกันตนทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33,39 หรือ มาตรา 40 ต่างก็สามารถ ตรวจสอบสถานะ การเป็นผู้ประกันตนด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบ อีเซอร์วิส ของประกันสังคม ผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคม 

หากมีข้อสงสัยสอบถามสายด่วนประกันสังคม 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ คุณสมบัติของ "แรงงานอิสระ" หรือผู้ประกอบ "อาชีพอิสระ" ที่จะสมัครประกันสังคม มาตรา 40 ได้มีดังนี้

- มีสัญชาติไทย
- อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- แรงงานอิสระหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ไม่เป็นลูกจ้างในบริษัท ห้างร้าน โรงงาน (ม.33)
- ไม่เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (ม.39)
- ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ผู้ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยขึ้นต้นด้วยเลข 0,6,7 (ยกเว้นขึ้นต้นด้วย000)
- ผู้พิการที่รับรู้สิทธิก็สมัครได้

โดยผู้ประกันตน สามารถเลือกจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ที่แตกต่างกัน ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 จ่าย 70 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
ทางเลือกที่ 2 จ่าย 100 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ
ทางเลือกที่ 3 จ่าย 300 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ สงเคราะห์บุตร
ทั้งนี้ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนัก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้สั่งการให้ลดการจ่ายเงินสมทบ จากเดิมการจ่ายเงินสมทบ สำหรับ ประกันสังคมมาตรา 40 มีด้วยกัน 3 ทางเลือก คือ 70 บาท, 100 บาท และ 300 บาท แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ได้มีการปรับลดอัตราเงินสมทบ 40% เป็นเวลา 6 เดือน (1 ส.ค.64 - 31 ม.ค.65) เหลือเป็นเงินที่ต้องจ่ายสมทบ คือ 42 บาท, 60 บาท และ 180 บาท ตามลำดับ
#6056


"กระทรวงท่องเที่ยวฯ" เผยสถิติ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ครบ 1 เดือนแรก สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเฉียด 2 พันล้านบาท จากนักท่องเที่ยวกว่า 1.4 หมื่นคน ใช้จ่ายเฉลี่ยเกือบ 6 หมื่นบาทต่อทริป "สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้" ลุ้นไตรมาส4 ท่องเที่ยวภูเก็ตพลิกสถานการณ์

ฝ่าวิกฤติยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศพุ่ง มีนักท่องเที่ยวไทย-เทศเดินทางเข้ามาเที่ยว 2-3 แสนคนต่อเดือน ดันจำนวนและรายได้ท่องเที่ยวฟื้น 20%

หลังจากโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" เปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว ครบ 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รวบรวมสถิติที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 14,055 คน โดยประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก คือสหรัฐ 1,802 คน, สหราชอาณาจักร 1,558 คน, อิสราเอล 1,455 คน, เยอรมนี 847 คน และฝรั่งเศส 839 คน มีจำนวนการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ตลอดเดือน ก.ค.ที่ผ่านมารวม 190,843 คืน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกว่า 1.4 หมื่นคนที่เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตลอดเดือนแรกที่เปิดดำเนินการ ช่วยสร้างรายได้แก่ภูเก็ต 829 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 58,982 บาทต่อทริป แบ่งเป็นค่าที่พักมากที่สุด 282 ล้านบาท ค่าซื้อสินค้าและบริการ 194 ล้านบาท ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 175 ล้านบาท บริการทางการแพทย์และสุขภาพ 124 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 54 ล้านบาท

"สร้างเงินหมุนเวียนที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง และห่วงโซ่อุปทานที่สนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น ภาคเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน คิดเป็นจำนวนเงินรวม 1,925 ล้านบาท และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 816 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก่อให้เกิดมูลค่าของการผลิตสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน (หรือ GDP)"

นอกจากนี้มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลตอบแทนในรูปของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับพนักงานและลูกจ้างทั้งหมดเป็นมูลค่า 210 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน รักษาตำแหน่งงานเทียบเท่าระยะเวลา 1 ปี (Full Time Equivalent) จำนวน 2,719 คน ขณะที่ภาครัฐมีรายได้ในรูปแบบภาษีในทุกๆ รอบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ 87 ล้านบาท

คาด ส.ค.ทัวริสต์เข้าภูเก็ตไม่เกิน 1.5 หมื่นคน

ก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามเป้าหมายของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 แสนคนในไตรมาส 3 ตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.นี้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องในเดือน ส.ค.นี้ แม้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะพยายามใช้กลยุทธ์ซิตี้มาร์เก็ตติ้ง ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาติมองภูเก็ตแบบแยกส่วนจากประเทศไทยในภาพรวมแล้ว แต่ด้วยยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงจึงกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กระแสการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ช่วงเดือน ส.ค.นี้เริ่มแผ่วลง โดยคาดว่าเดือน ส.ค.จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไม่เกิน 1.5 หมื่นคน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 หมื่นคนในเดือนนี้

"กระทรวงการท่องเที่ยวฯจึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะถึงเป้าหมาย 1 แสนคน"

ลุ้นรายได้ท่องเที่ยวภูเก็ต Q4 ฟื้น 20%

นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า ไตรมาส 3 ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อนำไปสู่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้ หลังจากเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ครบ 1 เดือนแรกพบว่านักท่องเที่ยวมีความประทับใจ

และหลังจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 4 พบยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวไทยเข้ามาเที่ยวภูเก็ตเลย ต่างจากในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือน 1.5-2 แสนคน

"เดิมสมาคมฯคาดว่าในไตรมาส 4 ซึ่งตรงกับช่วงไฮซีซั่น จะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศรวมกันที่เดือนละ 2-3 แสนคน ช่วยทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้กลับมา 20% จากภาวะปกติ ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตยังพอเดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้ในภูเก็ตเหลือแต่นักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ ส่วนตลาดคนไทยเที่ยวภูเก็ต ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร คงต้องหวังพึ่งการกระจายวัคซีน และติดตามการล็อกดาวน์ในประเทศว่าจะได้ผลแค่ไหน"

เนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต กล่าวเสริมว่า ในช่วงภาวะปกติก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวรวม 14.4 ล้านคนเมื่อปี 2562 โดยมีฐานนักท่องเที่ยวคนไทยมากเป็นอันดับ 1 ที่ 4.4 ล้านคน รองลงมาคือจีน 3 ล้านคน รัสเซีย 8 แสนคน อินเดีย 3.5 แสนคน ออสเตรเลีย 3.2 แสนคน สหราชอาณาจักร 3.1 แสนคน และอื่นๆ

"ในช่วงไฮซีซั่นภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวมากสุดถึง 4 หมื่นคนต่อวัน ต่างจากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เฉลี่ย 400 กว่าคน โครงการแซนด์บ็อกซ์จึงถือเป็นกระบะทรายแห่งความหวัง ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตสู้ต่อไปได้"

ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตหวังว่าประเทศไทยจะมีการรับรองวัคซีน "สปุตนิก วี" ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวรัสเซียซึ่งมีจำนวนมาเที่ยวภูเก็ตมากเป็นอันดับ 3 เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้
#6057


อุตสาหกรรมอาหารของไทยนอกจากเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในพื้นที่ EEC เพราะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในกลุ่ม First S-Curve แล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออกถึงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี แต่จากแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหาร สุขภาพ สวัสดิภาพแรงงาน และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหาร ขณะที่เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับอาหารมีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยี Blockchain ที่ได้รับการจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกคาดหมายว่าจะพลิกโฉมระบบการตรวจสอบย้อนกลับอาหารในอนาคต

หลายท่านอาจสงสัยว่าเทคโนโลยี Blockchain ช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้อย่างไร แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ผู้อ่านคงต้องเข้าใจก่อนว่า ความท้าทายจากความต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหารของผู้บริโภคจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหารในรูปแบบใด

ในระยะข้างหน้าความต้องการรู้ที่มาที่ไปของอาหารจะมาในรูปแบบมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับ

ผู้ส่งออกอาหารของไทย อาทิ นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นมาตรการทางการค้าที่กำหนดให้อาหารจะต้องตรวจสอบย้อนกลับได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผู้บริโภค หรือมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดให้การตรวจสอบย้อนกลับอาหารเป็นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาที่ไปของอาหารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2023

กลับมาคำถามที่ว่า เทคโนโลยี Blockchain ช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้อย่างไร?

Blockchain ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น ข้อมูลแหล่งผลิตฟาร์มและเพาะเลี้ยง ชนิดพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ ปริมาณการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ข้อมูลการแปรรูป เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับอาหารได้แบบเรียลไทม์ จึงทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของอาหารมากยิ่งขึ้น สำหรับตัวอย่างผู้ประกอบการในต่างประเทศที่น่าสนใจซึ่งใช้เทคโนโลยี Blockchain มาช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร ได้แก่ บริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Beefchain ของสหรัฐอเมริกา ที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เก็บข้อมูลตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงสัตว์ไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า ซึ่งในกรณีที่มีการระบาดของโรคในสัตว์ Beefchain ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการติดตามสต็อกที่ติดเชื้อ โดยข้อมูลที่ได้รับการบันทึกในระบบแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือของข้อมูล

อีกตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ Walmart บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลกในสหรัฐอเมริกา ได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการติดตามการขนส่งกุ้งมาจากประเทศคู่ค้าอย่างอินเดีย โดยใช้แพลตฟอร์ม IBM Food Trust ทำงานร่วมกับบริษัทสัญชาติอินเดียอย่าง Sandhya Aqua เพื่อบริหารจัดการกับระบบสต็อกสินค้าและการจัดเก็บอาหารทะเล 

นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ากุ้งได้ถูกส่งมาจากที่ไหน ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าทางการเกษตรของอินเดีย

โดยสรุปแล้ว ไทยซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎระเบียบทางการค้าในด้านการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต โดย Quick Win ที่จะทำให้ผู้ประกอบการไทยรับมือกับความท้าทายดังกล่าว คือ การร่วมมือกันทั้ง Ecosystem ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบย้อนกลับอาหาร รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหาร
#6058


หนึ่งในเทรดใหญ่ของโลกที่เห็นได้ชัดเจนคือ "พลังงานสะอาด" จนทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวของต่างหันมาลงทุนเปิดตัวธุรกิจให้สอดคล้อง   จนทำให้ธุรกิจเดิมจาก พลังงานฟอสซิล อย่าง "ถ่านหิน" หรือ  "น้ำมัน"  อาจจะกลายเป็นของล้าหลังในอีก 10 ปีข้างหน้า  

ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องไร้เสน่ห์การลงทุนแต่ทำไหมยังเห็นตัวเลขราคาน้ำมันหรือถ่านหินกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  เฉพาะราคาน้ำมันหลังจุดต่ำสุดปี 2563 สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์บาร์เรล อานิสงค์การลดมาตรการล็อกดาวน์ ในต่างประเทศ ทำให้เกิดความต้องการที่ถูกอั้นเอาไว้ดึงราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจหุ้นน้ำมัน และ ปิโตรเคมี


อีกด้านราคาถ่านหินที่ถือว่าหลายประเทศไม่สนับสนุนให้เกิดธุรกิจดังกล่าว มีการกีดกันด้วยซ้ำจาก ภาษีคาร์บอนเครดิต ไม่ปล่อยสินเชื่อลงทุน ไม่เปิดสัมปทานเหมืองถ่านหินใหม่ๆ  เพื่อหันไปใช้พลังงานสะอาดแทนแต่กลับทำให้ราคาถ่านหินครึ่งปีแรก2564  ทะลุหลักร้อย ที่ 152.37 ดอลลาร์ต่อตัน ( 30 ก.ค.64)

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2563 ราคาถ่านหินอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลทำให้ 6 เดือนแรก ราคาขยับขึ้นมาถึง 117 %  วึ่งระหว่างทางราคายังขึ้นไปทำสูงสุดที่ 146 ดอลลาร์ต่อตัน สูงสุดในรอบ 12 ปี ท่ามกลางความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

โดยยังมีความต้องการจากผู้บริโภครายใหญ่จีน อินเดีย เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลี เข้ามาเพิ่มเติมยิ่งจีนที่ใช้มาตรการเข้มในธุรกินี้จนห้ามนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียเลยออกผลไปที่จีนต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดทแน เช่น อินโดนีเซีย

ดังนั้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาถ่านหินโดยตรงจึงปรับตัวขึ้นเนื่องต่อเนื่อง รายเล็กใตลาด บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA  ราคาหุ้นขยับจากระดับ 5 บาท (พ.ค. 64) จนไปยืนที่ 15-16 บาท (มิ.ย.64 ) จนเกือบไปแตะที่ 20 บาท ซึ่งวานนี้ (3 ส.ค.) ราคาหุ้นปิดที่ 18.60 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คิงส์ฟอร์ด ให้ราคาเป้าหมายที่  24.50 บาท ในฐานผู้ที่มีแหล่งผลิตถ่านหินในอินโดนีเซียที่ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินในตลาด Seaborne ที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์ โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

ถัดมาหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด  (มหาชน) หรือ BANPU เป็นรายใหญ่ในตลาด ที่กำลังเข้าสู่พลังงานสะอาดมากขึ้นผ่านการลงทุนของบนิษัทลูก บริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP   ทำให้มีการเปิดแผนการเพิ่มทุนเป็นเท่าตัวจนราคาหุ้นสะดุดลงหลังขึ้นมาถึง 16 บาท กลางมิ.ย. ที่ผ่านมา

ด้วยแผนเพิ่มทุนออกมากว่า 30000 ล้านบาท ก่อนจะมีการปรับตัวเลขใหม่เป็นเพิ่มทุน 2.96 หมื่นล้านบาท  (ลดลงจากแผนเดิม 7%) ด้วยการออกหหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม 1,692 ล้านหุ้น สัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ1 หุ้นใหม่  และใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอร์แรนต์ ( BANPU-W4 แจกฟรีราคาใช้สิทธิ 5 บาท และ BANPU-W5 แจกฟรี ที่ราคาใช้สิทธิ 7.50 บาท )  พร้อมยกเลิกแผนออก BANPU-W6   ซึ่งจะมีการประชุมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 9 ส.ค. นี้

ส่งผลทำให้ราคาหุ้นกลับมารีบาวด์ภายใต้การแผนเพิ่มทุนมุ่งเน้นไปที่การเข้าซื้อกิจการและขยายธุรกิจพลังงานสะอาด   ขณะที่ธุรกิจหลัก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดไตรมาส 2 ปี 2564 กำไร 1.4 พันล้านบาท  (จากขาดทุนสุทธิ 2.5 พันล้านบาท ใน 2Q63, -10% QoQ) จากราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นถึง 98% ( YoY )และ 21% ( QoQ)  มีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย (ASP) จะเพิ่มขึ้น 18% (QoQ) เป็น 78 ดอลลาร์ต่อตัน  
#6059


นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า สรท.คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10% ซึ่งหากจะให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องมียอดส่งออกให้ได้มากกว่าเดือนละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หากควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาคการผลิตไม่ได้จนเกิดผลกระทบรุนแรง จะทำให้การส่งออกขยายตัวลดลงเหลือเพียง 7%

โดยสถานการณ์การส่งออกในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมายังขยายตัวได้ดี เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออก เช่น จีน สหรัฐ สหภาพยุโรป ประกอบกับทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาทที่ช่วยให้แข่งขันได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าทุกกลุ่มในปีนี้ยังคงสดใส ยกเว้นข้าว และน้ำตาล

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบการมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1,500 แห่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อาหาร ยานยนต์ สิ่งทอ ทำให้กำลังการผลิตลดลงราว 20% ซึ่งเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจราวเดือนละ 6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ช่วงล็อคดาวน์ ต้องเร่งฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดด้วย ไม่เช่นนั้นการขยายพื้นที่และขยายเวลาล็อคดาวน์ออกไปอีกเท่าไรก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ขณะที่ปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการส่งออกได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายตามปกติ,ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (World PMI index) ที่อยู่ระดับมากกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง

2.ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าใกล้เคียง 33 บาท/ดอลลาร์ จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศไทยที่มีความรุนแรง ซึ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 ประกอบกับการแข็งค่าของดอลลาร์จากการเผชิญแรงกดดัน หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่รีบคุมเข้มนโยบายการเงิน แม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะขยับสูงขึ้น

3.ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ทั่วโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ได้แก่ 1.สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด–19 ภายในประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สามารถควบคุมและลดการแพร่ระบาดได้อาจจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายที่ยังขับเคลื่อนได้ กรณีการติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มแพร่กระจายมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำลังการผลิต และการส่งมอบสินค้า ทำให้การส่งออกเติบโตได้เพียง 10% จากที่คาดว่ามีโอกาสเติบโตได้ถึง 15% ประกอบกับมาตรการ Bubble & Seal ซึ่งโรงงานขนาด SMEs ส่วนใหญ่ อาจไม่สามารถดำเนินการได้และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันภาครัฐไม่สามารถอำนวยความสะดวกและสนับสนุนได้ทั้งหมด

2.ปริมาณความต้องการตู้สินค้ายังไม่เข้าสู่ภาวะสมดุล ปริมาณการหมุนเวียนของตู้สินค้ายังไม่เพียงพอ ประกอบกับค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น ค่าระวางการขนส่งสินค้าทางทะเลยังมีการปรับขึ้นในเกือบทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่สายเรือใช้โอกาสเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มมากขึ้น อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) ซึ่งแม้บางบริษัทยอมจ่ายอัตราพิเศษแต่ก็ยังไม่ได้ตู้สินค้า รวมถึงผู้ส่งออกที่ได้รับการยืนยันตู้แล้ว ก็อาจถูกยกเลิกก่อนกำหนด ทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้า การบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือที่ขาดประสิทธิภาพ และปัญหาจากการล่าช้าของเรือ ทำให้ตู้สินค้าไม่สามารถหมุนเวียนในระบบได้ดีเพียงพอ

3.แรงงานขาดแคลน เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา ประกอบกับยังไม่สามารถจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิต ซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ยังมีข้อจำกัดในการจ้างแรงงานแบบ part-time ให้สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบัน

4.ปัจจัยการผลิตมีปริมาณไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ Semiconductor Chip / Steel โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตหรือความต้องการของตลาดโลก

ทั้งนี้ สรท.มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1.ไม่เห็นด้วยกับมาตรการ Fully Lockdown โดยขอยกเว้นให้ภาคการผลิตและกิจกรรมโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนำเข้า อาทิ การปฏิบัติงานของท่าเรือ การขนส่งสินค้าเข้าสู่ท่าเรือ ยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อสัญญาการค้าระหว่างประเทศ และหลายธุรกิจมีสัดส่วนการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ หากมีการหยุดประกอบการ จะส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศตามมาในที่สุด

2.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกให้เร็วที่สุด 3.ขอเรียกร้องให้มีการปรับใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เป็นมาตรฐานเดียวจากส่วนกลาง เพื่อให้สามารถดำเนินการเหมือนกันในแต่ละพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะกรณีโรงงานที่มีพนักงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 4.ขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการเร่งปรับปรุงการทำงานในการจัดการด้านเอกสารออนไลน์ (e-Document) และการขออนุญาต/ใบรับรองเพื่อการส่งออกนำเข้าผ่านระบบ National Single Window (NSW) เพื่อลดการสัมผัสจากการเข้าไปติดต่อราชการ
#6060


วันนี้ (2 ส.ค.) ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ที่สั่งการให้หน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต่อระบบนิเวศทางทะเลและพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมของประเทศในปัจจุบันยังคงเหลือพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกประมาณ 87 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้หารือกับอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่ต้องประสานกับหน่วยงานภายนอก รวมถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบูรณาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

ดร.ยุทธพล กล่าวต่อว่า สำหรับแนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นที่ได้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2564 มีระยะทางการปักทั้งสิ้นจำนวน 11,150 เมตร ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด 3,000 เมตร จังหวัดจันทบุรี 1,600 เมตร จังหวัดสมุทรสงคราม 800 เมตร จังหวัดเพชรบุรี 1,750 เมตร และจังหวัดนครศรีธรรมราช 4,000 เมตร ซึ่งในปัจจุบันดำเนินการปักแล้วเสร็จประมาณ 9,500 เมตร หากไม่มีมรสุม หรือพายุคลื่นลมที่รุนแรงเกิดขึ้นสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นและพร้อมส่งมอบภายในเดือน ส.ค.นี้แน่นอน สำหรับการดำเนินการดังกล่าวใช้งบประมาณจำนวน 42,300,000 บาท โดยประโยชน์จากแนวปักไม้ไผ่ดังกล่าว นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่หาดโคลนแล้ว ยังมีส่วนช่วยเร่งการตกตะกอนและเพิ่มพื้นที่หาดเลนหลังแนวไม้ไผ่ อันจะส่งผลให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นลูกหลานชาวเพชรบุรี ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี จังหวัดเพชรบุรี นอกจากความโดดเด่นเรื่องประเพณีและธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายแล้ว ในเขตอำเภอบ้านแหลมยังมีพื้นที่ป่าชายเลนและหาดโคลนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นแหล่งประกอบอาชีพประมงที่สำคัญได้แก่ อาชีพการจับหอยทะเลทั้งหอยแครง หอยเสียบ หอยลาย อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่หาดโคลนดังกล่าวก็ประสบปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 60-63 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นเป็นระยะทาง 5,010 เมตร คงเหลือพื้นที่ประสบปัญหากัดเซาะพื้นที่หาดโคลนในพื้นที่ ตำบลบางแก้ว ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในปี 64 เป็นระยะทางไม้ไผ่ 1,750 เมตร

"ในขณะนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นในพื้นที่ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วและพร้อมส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เพื่อรักษาระบบนิเวศชายฝั่งและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และผมขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวจังหวัดเพชรบุรีช่วยกันดูแลรักษาแนวไม้ไผ่ดังกล่าวเพื่อใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าด้วย" ดร.ยุทธพล กล่าว

ด้าน นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่เข้ามาดำเนินการลักษณะต่างคนต่างทำ มีความซ้ำซ้อน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด แก้จุดหนึ่งส่งผลกระทบอีกจุดหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงที่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดี โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีแนวคิดในการกำหนดหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งขึ้น เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้นำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งสำนักงบประมาณได้นำไปใช้ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้มีความเหมาะสมแต่ละพื้นที่

"ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ65นี้ ทาง ทช.ได้นำร่องในการใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยใช้กลไกของคณะทำงานกลั่นกรองโครงการฯ ซึ่งจัดตั้งภายใต้คณะอนุกรรมการบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง พิจารณาโครงการฯที่หน่วยงานเสนอเข้ามาทั้งหมด 64 โครงการ โดยมีโครงการที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ข้างต้นเพียง 17 โครงการเพื่อเสนอต่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรค์งบประมาณต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เกิดความซ้ำซ้อนอย่างแน่นอน"

อธิบดีกรม ทช. กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของ ทช.ได้ดำเนินการ ตามแนวทางของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดี ทช.ที่ยึดมาตรการสีเขียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 16 ม.ค.61 โดยการนำวัสดุทางธรรมชาติมาใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยวิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 50 ถึงปี 64ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง และกระบี่ รวมระยะทางไม้ไผ่ทั้งสิ้น 94.66 กิโลเมตร ซึ่งผลที่ได้จากการดำเนินการดังกล่าวสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวไม้ไผ่ได้ไม่ต่ำกว่า 450ไร่ โดยป่าชายเลนเหล่านี้จะกลายเป็นปราการทางธรรมชาติในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งนอกจากนี้ประชาชนยังได้ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจากพืชและสัตว์ที่เกิดบริเวณป่าชายเลน สามารถสร้างอาชีพและรายได้อีกด้วย