• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#2981


การคว้าตัว ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะอาร์เจนไตน์ ทำให้ ปอล ป๊อกบา กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ต้องการย้ายไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยจะปล่อยหมดสัญญากับ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์หน้า เพื่อจะได้โยกแบบฟรีทรานเฟอร์

ป๊อกบา เหลือข้อผูกมัดปีเดียว ดังนั้น มิโน ไรโอล่า เอเยนต์ส่วนตัวจะล้มแผนเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับ แมนฯยู และจะปล่อยให้หมดสัญญาเหมือนเมื่อปี 2012 ที่เลือกไปร่วมทัพ ยูเวนตุส ก่อนที่จะย้ายกลับถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 89 ล้านปอนด์เมื่อปี 2016

กระนั้นก็ตามไม่ง่ายเหมือนกันกับการ ป๊อกบา เนื่องจาก เปแอสเช อาจจะผิดกฎการเงิน โดยตอนนี้มี เมสซี่ อยู่ภายในทีมแล้ว ส่วนกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสต้องการค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นกับการรับอยู่ที่ แมนฯยู ตอนนี้คือ 290,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ดังนั้นยอดทีมเมืองน้ำหอมอาจจะต้องวางแผนโละนักเตะคนอื่นๆ ออกไปเพื่อลดเพดานค่าจ้าง

ซัมเมอร์นี้ แมนฯยู ได้ตัว จาดอน ซานโช มาเติมเกมรุก ส่วน ราฟาเอล วาราน กองหลังจาก รีล มาดริด กำลังจะชูเสื้อด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ส่วนเป้าหมายอื่นๆ ที่ว่าจะมาแทน ป๊อกบา อย่าง เอดูอาร์โด กามาแวงก้า, รูเบน เนเวส และ ซาอูล ยิเกซ ได้ล้มแผนหมดแล้ว
#2982


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 10 ส.ค. 2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ต่างก็ปิดทำนิวไฮ ขานรับข่าววุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงานในสหรัฐ โดยข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค และหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงหุ้นสายการบินและธุรกิจเรือสำราญ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,264.67 จุด เพิ่มขึ้น 162.82 จุด หรือ +0.46% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,436.75 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด หรือ +0.10% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,788.09 จุด ลดลง 72.09 จุด หรือ -0.49%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยบวกขึ้นเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้นขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 472.32 จุด เพิ่มขึ้น 1.64 จุด หรือ +0.35%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,820.21 จุด เพิ่มขึ้น 7.03 จุด หรือ +0.10%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,770.71 จุด เพิ่มขึ้น 25.30 จุด หรือ +0.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,161.04 จุด เพิ่มขึ้น 28.74 จุด หรือ +0.40%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคอังกฤษที่ปรับตัวดีขึ้น และการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ช่วยหนุนตลาดด้วย

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,161.04 จุด เพิ่มขึ้น 28.74 จุด หรือ +0.40%

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหลังจากราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 5.2 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,731.7 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 12.3 เซนต์ หรือ 0.53% ปิดที่ 23.392 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 16.1 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 987 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 47.90 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 2,650 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งข่าววุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.81 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 68.29 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.59 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 70.63 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.12% แตะที่ 93.0569 เมื่อคืนนี้

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.57 เยน จากระดับ 110.28 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9228 ฟรังก์ จากระดับ 0.9200 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2526 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2572 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1721 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1741 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3839 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3852 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7349 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7335 ดอลลาร์

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 35,264.67 จุด เพิ่มขึ้น 162.82 จุด, +0.46%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,436.75 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด, +0.10%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,788.09 จุด ลดลง 72.09 จุด, -0.49%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,161.04 จุด เพิ่มขึ้น 28.74 จุด, +0.40%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,820.21 จุด เพิ่มขึ้น 7.03 จุด, +0.10%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,770.71 จุด เพิ่มขึ้น 25.30 จุด, +0.16%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,554.66 จุด เพิ่มขึ้น 151.81 จุด, +0.28%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,088.41 จุด ลดลง 39.05 จุด, -0.64%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,623.23 จุด ลดลง 9.34 จุด, -0.14%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,207.36 จุด เพิ่มขึ้น 30.18 จุด, +0.95%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,605.62 จุด เพิ่มขึ้น 322.22 จุด, +1.23%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,529.93 จุด เพิ่มขึ้น 35.30 จุด, +1.01%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,323.64 จุด ลดลง 161.51 จุด, -0.92%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,243.19 จุด ลดลง 17.23 จุด, -0.53%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,888.15 จุด เพิ่มขึ้น 68.11 จุด, +0.24%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,562.60 จุด เพิ่มขึ้น 24.20 จุด, +0.32%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,830.40 จุด เพิ่มขึ้น 26.10 จุด, +0.33%

ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวานนี้ (10 ส.ค.) เนื่องในวัน Awal Muharram (Maal Hijrah)
#2983


หลายวันมานี้แฟน.เมืองน้ำหอมไปออกันที่หน้า ป๊ารก์ เด แปร๊งส์ (Parc des Princes) สนามฟุต.ที่สโมสร ปารี แซ็ง แชรแม็ง (Paris Saint-Germain - PSG) ใช้เป็นสนามเหย้าเพื่อเฝ้ารอการมาของ ลิโอเน็ล เม้สซี่ (Lionel Messi) กองหน้า ทีมชาติอารเก็นตีนา วัย 34 ปี หลังจากที่ได้ทราบว่า ลิโอเน็ล ไม่ต่อสัญญากับ บารเซโลนา (Barcelona) อย่างแน่นอนและจุดหมายปลายทางของเขาชี้มาทางเดียวคือ การมาร่วมทีมเดียวกันอีกครั้งกับ เนย์มาร (Neymar Jr)

บางคนทราบข่าววงในว่า ลิโอเน็ล จะนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบิน เลอ บูรเช (Aéroport de Paris-Le Bourget) สนามบินที่ใช้เป็นที่ขึ้น-ลงเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัวของบรรดานักธุรกิจที่อยู่ห่างจากขอบ กรุงปารี ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร ก็แห่กันไปที่นั่นเพื่อให้ได้เห็นนักเตะตัวเป็นๆก่อนใคร

ในทุกๆปีเลขคี่เขาจะใช้สนามบินแห่งนี้เป็นสถานที่จัด นิทรรศการอากาศยาน (Salon international de l'aéronautique et de l'espace de Paris-Le Bourget) หรือเรียกกันสั้นๆว่า ปารี แอร์ โชว์ (Paris Air Show) อันลือลั่น ที่แห่งนี้แหละครับที่พวกพ่อค้าอาวุธจะพานายทหารทั้ง 3 เหล่าทัพและตำรวจของไทย ไปชม ไปเลี้ยงดูกันอย่างสุดหรู ถือเป็นโอกาสโอ้อวดอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบิน เฮลีค้อพเท่อร์ ของบริษัทระดับโลกให้เลือกช้อพและเอ็นเทอร์เทนไปในตัว นอกจากนั้น ใน ปารี 2024 โอลิมปิค เกมส์ ครั้งที่ 33 เขาก็จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็น ศูนย์สื่อมวลชน ด้วย

ผมนึกถึง ลิโอเน็ล เจ้าของ บัลลง ดอร (Ballon d'or) รางวัลสุดยอดนักเตะของโลก โดย นิตยสาร ฟร้องส์ ฟุต. (France Football) ของ ฝรั่งเศส รวม 6 สมัยแล้ว แถมเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาก็เพิ่งแสดงผลงานสุดยอดโดยการนำทีมชาติ อารเก็นตีนา คว้าแช้มพ์ โกปา อาเมรีกา (Copa América) ได้สำเร็จเป็นหนแรกของตนเองที่ได้แช้มพ์ระดับนี้ในนามทีมชาติ มันช่างประจวบเหมาะกับการจะมาละเลงฝีเท้าในมหานครที่สวยที่สุดในโลกแห่งนี้อีกด้วย รางวัลก็ของค่ายฝรั่งเศสเอง ดังนั้น สิ้นปีนี้ บัลลง ดอร สมัยที่ 7 ก็ไม่น่าจะหลุดไปอยู่ในมือนักเตะคนอื่นที่ไหนได้

บางคนให้ความเห็นว่า เปแอ๊สเช อาจละเมิด กฎควบคุมการเงินของ ยูเอ๊ฟฟ่า (UEFA Financial Fair Play Regulations - FFP) โดยเฉพาะสื่อของ สเปน เองที่ไม่ต้องการเห็น ลิโอเน็ล ไปเล่นให้กับสโมสรคู่ปรปักษ์ในเวทียุโรป เนื่องจากการเซ็นสัญญากับ ลิโอเน็ล จะมีปัญหาการเงินแบบเดียวกันกับ บารซา เพราะค่าจ้างนักเตะจะเกินเพดานค่าใช้จ่าย

กฎ FFP นั้น เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของสโมสรฟุต.ไม่ให้ทุ่มเงินเกินตัว จนเป็นหนี้และอาจล้มละลาย หลักคือต้องไม่ใช้จ่ายเงินมากกว่าที่สโมสรหาได้ อันนี้เขาพูดถึงค่าจ้างนักเตะ การชำระค่างวดการโอนย้าย และพวกค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงเงินปันผล แต่ไม่รวมพวกค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์ฝึก หรือการพัฒนาเยาวชน แล้วจะนำไปคำนวณเปรียบเทียบกับ รายได้จากตั๋วเข้าชมในสนาม ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ โฆษณา การขายสินค้าที่ระลึก เสื้อผ้า การจำหน่ายสินทรัพย์ การเงิน การขายนักเตะ และ เงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันรายการต่างๆ

การมาของ ลิโอเน็ล เม้สซี่ นั้น เปแอ๊สเช ก็คาดหวังเงินก้อนใหญ่มหาศาลที่จะได้รับจากตั๋วเข้าชมการแข่งขันในสนาม สป็อนเซ่อร์โฆษณา การขายสินค้าที่ระลึก โดยเฉพาะเสื้อแข่ง ซึ่งไม่เห็นว่าจะมีปัญหาใดเลยเกี่ยวกับเรื่องกฎ FFP โดยเฉพาะการจ่ายค่าจ้างให้ ลิโอเน็ล ถึงประมาณปีละ 35 ล้าน เออโร ผมอยากจะย้ำว่า ลิโอเน็ล หมดสัญญากับ บารซา แล้วนะครับ ไม่เหมือนกับตอนที่ซื้อ เนย์มาร มาร่วมทีม ทางสโมสรต้องควักเงินให้ บารซา ถึง 222 ล้าน เออโร ตอนที่ซื้อขาด คีเลียน เอ็มบัปเป (Kylian Mbappé) จาก โมนาโก (AS Monaco) ก็ต้องจ่าย 180 ล้าน เออโร แต่สำหรับการเซ็นสัญญากับ ลิโอเน็ล ตัดปัญหาเรื่องค่าโอนย้ายที่แพงมากๆไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องจ่าย

นอกจากนั้น ยูเอ๊ฟฟ่า เองก็กำลังมีนโยบายผ่อนปรนกฎ FFP เนื่องจากการที่ทุกฝ่ายต้องเผชิญกับปัญหา โควิด-19 ทุกคนต้องประสบปัญหาการเงินทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย ผมว่า วันที่เหมาะสำหรับ เปแอ๊สเช ในการเปิดตัว ลิโอเน็ล เม้สซี่ น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ เพราะเป็นวันก่อตั้งสโมสรที่เกิดจากการรวมตัวของ 2 สโมสรคือ สต๊าด แซ็ง-แชรมานัว (Stade saint-germanois) ที่ก่อตั้งในปี 1904 กับ ปารี ฟุต. คลับ (Paris Football Club) ที่ก่อตั้งในปี 1969 เข้าด้วยกันในชื่อใหม่ ปารี แซ็ง-แชรแม็ง ในวันที่ 12 สิงหาคม 1970 ครบรอบ 51 ปีพอดีครับ
#2984


หมู่บ้านของสาวน้อยมหัศจรรย์ 'ฉวน หงฉาน' แชมป์กระโดดน้ำเหรียญทองโอลิมปิกชาวจีนวัย 14 ปี ถูกปิดห้ามบุคคลภายนอกเข้าเป็นการชั่วคราว หลังมีนักท่องเที่ยวและชาวเน็ตแห่กันไปเช็กอินแน่นขนัด จนเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19

หนังสือพิมพ์โกล.ไทม์สของจีนรายงานว่า มาตรการปิดหมู่บ้านมีขึ้นหลังจากที่มีชาวจีนจากทั่วทุกสารทิศแห่แหนไปเยี่ยมเยียนบ้านของ ฉวน จนเกิดความแออัด ซึ่งขัดต่อมาตรการควบคุมโรคในช่วงนี้

รายงานยังระบุด้วยว่า ชาวเน็ตบางคนถึงขั้นปีนต้นไม้ในบ้านของ ฉวน และขโมย "ขนุน" ไปเป็นของที่ระลึก ขณะที่ชาวบ้านอีกคนเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไลฟ์สดที่หมู่บ้านไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน หรือแม้แต่ตอนฝนตก

แฟนคลับยังขนเอาขนมนมเนย เครื่องเล่นเกม และหยูกยาสารพัดเอาไปให้ที่บ้านของ ฉวน หลังจากที่ทราบข่าวว่า สาวน้อยคนนี้ตั้งใจคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกระโดดน้ำที่ "โตเกียวเกมส์" เพื่อนำเงินไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย

ด้วยวัยเพียง 14 ปี ฉวน ถือเป็นนักกีฬาทีมชาติอายุน้อยที่สุดของจีนในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ แต่เธอกลับทำผลงานได้อย่างสุดยอด โดยเฉพาะจากการแข่งขันกระโดดน้ำ 10 เมตรหญิงรอบสุดท้ายด้วยการทำคะแนน perfect tens (10/10/10) ถึง 2 รอบจากการกระโดด 5 ครั้ง ทำคะแนนรวม 466.20

หลังจากที่คว้าเหรียญทองได้สมความตั้งใจ ฉวน ให้สัมภาษณ์ว่าเธอ "อยากหาเงินให้ได้มากๆ" เพื่อเอาไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย และอยากจะไปเที่ยวสวนสนุกซึ่งเธอเองไม่เคยมีโอกาสได้ไป เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจน

โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองจานเจียง (Zhanjiang) มณฑลกว่างตง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ ฉวน ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ส.ค.) ว่าจะมอบการรักษาพยาบาลฟรีให้แก่แม่ของ ฉวน รวมถึงคุณตาของเธอที่กำลังป่วยอยู่เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบอกว่า พวกเขาภาคภูมิใจในผลงานของ ฉวน ที่โอลิมปิก และเต็มใจจะช่วยเหลือครอบครัวของเธอ

บริษัท 3 แห่งในเมืองจานเจียงเสนอที่จะสร้างบ้านใหม่ให้ ฉวน เปิดร้านขายอาหารและขนมขบเคี้ยว (tuck shop) รวมถึงมอบเงินอัดฉีดพิเศษให้ด้วย ขณะที่นักธุรกิจท้องถิ่นคนหนึ่งเสนอมอบเงิน 200,000 หยวนให้แก่บิดาของ ฉวน ทว่าเขาได้ปฏิเสธไป

สวนสนุก สวนสัตว์ และรีสอร์ตหลายแห่งในจีนยังประกาศจะมอบแพกเกจ "เที่ยวฟรีตลอดชีวิต" ให้แก่ ฉวน และครอบครัวด้วย

ที่มา : Malay Mail, Global Times
#2985


เมื่อวันที่ 10 ส.ค.64 นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยัน การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ปรับลดลงและมีการจำแนกประเภทของการตรวจเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการตรวจด้วยเทคนิคอื่น ๆ เช่น Antigen test ยังมิได้กำหนดอัตราไว้ชัดเจน กรมบัญชีกลางจึงได้หารือร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม เห็นสมควรกำหนดแนวปฏิบัติ ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยง หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 

1. การตรวจยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 

1.1 การตรวจยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี Real time RT- PCR - การทำป้ายหลังโพรงจมูกและลำคอ (nasopharyngeal and throat swab sample) ประเภท 2 ยีน ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - การทำป้ายหลังโพรงจมูกและลำคอ (nasopharyngeal and throat swab sample) ประเภท 3 ยีน ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,700 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.2 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธี Antigen test - ด้วยเทคนิค Chromatography ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 450 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ - ด้วยเทคนิค Fluorescent Immunoassay (FIA) ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.3 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธีอื่น ๆ นอกเหนือจาก 1.1 และ 1.2 ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาท โดยรวมค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 

2. การเบิกค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล กรณีผู้มีสิทธิฯ ติดเชื้อแต่อาการเล็กน้อย ให้เบิกได้ในอัตรา เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาท ต่อวัน 

3. การเบิกค่าห้องพักสำหรับควบคุมหรือดูแลรักษา กรณีผู้สิทธิฯ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 มีอาการเล็กน้อย (สีเขียว) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาท ต่อวัน 3.2 มีอาการปานกลาง (สีเหลือง) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 3,000 บาท ต่อวัน 3.3 มีอาการรุนแรง (สีแดง) ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 7,500 บาท ต่อวัน 

4. กรณีผู้มีสิทธิฯ ต้องเข้ารับการผ่าตัดในสถานพยาบาลของทางราชการและมีความจำเป็นต้องตรวจ คัดกรองการติดเชื้อโควิด 19 ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ค่าตรวจคัดกรองกรณีดังกล่าว สถานพยาบาลของทางราชการสามารถขอเบิกเงินจาก สปสช. ได้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณการตรวจคัดกรองการติดเชื้อโควิด 19 ให้ประชาชน คนไทยทุกกลุ่ม 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับสถานพยาบาลฯ ไม่ต้องแยกทำธุรกรรมในการส่งเบิก ค่าตรวจคัดกรองไปยัง สปสช. โดยอนุญาตให้สถานพยาบาลฯ สามารถส่งค่าตรวจคัดกรองมาพร้อมกับการเบิก ค่ารักษาพยาบาลรายการอื่น ๆ สำหรับวิธีการส่งข้อมูลให้เป็นไปตามหน่วยงานที่กรมบัญชีกลางมอบหมายให้ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลเป็นผู้กำหนด โดยที่กรมบัญชีกลางจะจัดส่งข้อมูลค่าตรวจคัดกรองให้ สปสช. ใช้ประมวลผลการจ่ายเงินให้กับสถานพยาบาลของทางราชการโดยตรงต่อไป 

"แนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (เพิ่มเติม) ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้การ เบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
#2986


แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม "ไมซ์" (MICE : การจัดประชุม ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) ในปัจจุบัน แต่สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ "ทีเส็บ" ยังคงเดินหน้าผลักดันโครงการ "MICE Winnovation" ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการไมซ์นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ ยกระดับการจัดงานไมซ์ในภาวะวิกฤติ

จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence และนวัตกรรม ทีเส็บ กล่าวว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีได้กลายเป็นเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยผู้ประกอบการไมซ์ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น! เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และได้คิดค้นเทคโนโลยีรองรับงานไมซ์ในยุควิถีปกติใหม่แล้ว ยังช่วยขยายการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกอีกด้วย

"ประเทศไทยมีแหล่งจัดงานไมซ์หรือศูนย์แสดงสินค้าอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้าง S-Curve ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ด้วย ซึ่งสอดรับกับการจัดงานอีเวนท์ในช่วงที่โควิด-19 ยังระบาด เทรนด์การจัดงานในปีนี้จะเป็นแบบเสมือนจริงหรือไฮบริด (Virtual and Hybrid Event) มากขึ้น ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย การปฏิบัติการเพื่อลดการสัมผัส การบริหารจัดการฝูงชนผู้เข้าร่วมงานเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม และหันมาจัดงานนอกสถานที่ (Outdoor Activities) มากขึ้น"

โดยในช่วงที่ผ่านมาทีเส็บได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น "BizConnect" สำหรับการจัดงานอีเวนท์และงานแสดงสินค้าเพื่อตอบโจทย์งานไมซ์ในยุคดิจิทัล รวบรวมงานไมซ์ 78 งาน มีผู้ใช้งาน 24,571 ราย และสร้างการรับรู้กว่า 48,300 ราย นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม "Thai MICE Connect.com" มาร์เก็ตเพลสธุรกิจไมซ์เชื่อมโยงผู้ซื้อผู้ขายทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก โดยจากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2563-14 พ.ค.2564 ซึ่งโควิด-19 ยังระบาด พบว่ามีธุรกิจไมซ์กว่า 10,201 ราย มีผู้เข้าชมแพลตฟอร์ม 603,656 ราย, เกิดปฏิสัมพันธ์ (Engagements) 112,930 ครั้ง และมีผู้ใช้งานใหม่ 129,851 ราย

"เมื่อมีการนำแพลตฟอร์มมาใช้เพื่อตอบโจทย์การเจรจาธุรกิจแบบ B2B ยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของผู้เข้าร่วมงานไมซ์ทั้งก่อน-ระหว่าง-หลังเข้าชมงานได้ โดยเฉพาะระหว่างเข้าชมงานแสดงสินค้าว่าผู้เข้าร่วมงานสนใจดูข้อมูลสินค้าตัวไหนแบบซ้ำๆ บนแพลตฟอร์ม เพื่อนำไปสู่การปิดดีลซื้อสินค้าให้ได้ภายใน 3-6 เดือนหลังการจัดงาน เมื่อขายของได้ คนขายก็กลับมาใช้งานแพลตฟอร์มมากขึ้น นับเป็นการสร้างประสบการณ์มากกว่าการจับคู่เจรจาธุรกิจทั่วไป"

จารุวรรณ เล่าเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการ "MICE Winnovation" เป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สนับสนุนให้การจัดงานไมซ์เดินหน้าต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และเตรียมความพร้อมรองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต!

ผลการดำเนินโครงการฯระหว่างเดือน มี.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไมซ์และผู้ให้บริการนวัตกรรมด้านไมซ์มากถึง 152 คู่ นำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ รองรับการจัดงานไมซ์ร่วมกัน มีการจับคู่ขอรับการสนับสนุนจากทีเส็บจำนวน 35 งาน โดยมีงานที่ผ่านการพิจารณาได้รับการสนับสนุนแล้วทั้งสิ้น 18 งาน แบ่งเป็นการสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดงานแบบเสมือนจริงหรือไฮบริด จำนวน 15 งาน และเป็นการสนับสนุนเทคโนโลยีบริหารจัดการผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จำนวน 3 งาน

ปัจจุบันมีงานที่จัดไปแล้ว 2 งาน คือ งานประชุมใหญ่ "ไลออนส์สากลภาครวม 310 ประเทศไทย" ครั้งที่ 55 ระหว่างวันที่ 7-9 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานออนไลน์จากทั่วประเทศ 2,318 คน และงาน "Bangkok Projection Mapping Competition 2021" (BPMC 2021) ซึ่งเป็นงานประกวดออกแบบสื่อภาพเคลื่อนไหว ระหว่างวันที่ 12-20 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ชมงานผ่านไลฟ์สตรีมมิ่งบนเฟซบุ๊กร่วม 20,000 ราย ส่วนงานที่เหลือมีกำหนดทยอยจัดในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564

"ผลตอบรับโครงการนี้ถือว่าดีมาก เป็นไปตามที่ทีเส็บต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไมซ์นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้จัดงานได้จริง ตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้ตรงใจ และเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการไมซ์แล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจแก่กลุ่มผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทย ทั้งยังเป็นการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยเสริมสร้างศักยภาพยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในระดับนานาชาติอีกด้วย"

ขณะเดียวกันโครงการ MICE Winnovation ยังได้มีการพัฒนา "MICE Innovation Catalog" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลผู้ให้บริการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมไมซ์ และเป็นพื้นที่ทางการตลาดให้ผู้ประกอบการไมซ์เฟ้นหาคู่ค้า มีการจัดแบ่งหมวดหมู่นวัตกรรมไมซ์ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจนจบงาน ซึ่งทีเส็บและพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและสมาคมในอุตสาหกรรมไมซ์ได้ร่วมพิจารณาคัดเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เหมาะสมนำมาบรรจุไว้ใน MICE Innovation Catalog เป็นประจำทุกเดือน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ผู้ประกอบการไมซ์สามารถเลือกใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบนแพลตฟอร์มมีนวัตกรรมด้านไมซ์ที่พร้อมให้บริการกว่า 70 นวัตกรรม จาก 50 บริษัท
#2987


"วัคซีน" ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ ทั้งการจัดหาวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เมื่อได้วัคซีนมาแล้วการกระจายแจกจ่ายฉีดให้กับประชาชนมีการจัดสรรอย่างไร และการฉีดให้ประชาชนมีความรวดเร็ว ครอบคลุมแค่ไหน ส่วนการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเกิดจากอะไร แม้กระทั่งประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนจากนานาประเทศเพื่อนำมาฉีดให้กับ "บุคลากรทางการแพทย์" ซึ่งเป็น "ด่านหน้า" กลับถูก "ทวงถาม" จากบุคคลเหล่านั้น 

การบริหารจัดการวัคซีนของภาครัฐที่ยังไม่ถูกใจประชาชนหลายภาคส่วน เกิดมีข้อกังขามากมาย ล่าสุด วันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,503,450 โดส เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ แต่กลับมีกระแสข่าวการจับฉลากได้ฉีดวัคซีน จำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรคไม่สอดคล้องกับบุคลากร เป็นต้น  

ทั้งนี้  ผศ.นพ.ฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม​ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า ...

"โดนเทซ้ำซาก....ที่ธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ร่วมต่อสู้โควิด-19มาตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้วโดยประกาศจัดตั้งรพ.สนามเป็นแห่งแรกของประเทศ เราได้ร่วมต่อสู้มาทุกระลอก จนปัจจุบัน เรามีรพ.สนาม ที่ดูแลเคสสีเหลืองกว่า400เตียง ที่เตียงเต็มตลอด มีรพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติที่ดูเคสสีแดงกว่า100 เตียงซึ่งเตียงก็เต็มตลอด เราตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนที่ฉีดวันละ2-3พันคนต่อวัน มียอดคนฉีดกับเราไปแล้วกว่า1แสนคน มีจัดตั้ง Home isolation ที่มีผู้ป่วยในการดูแลกว่า 1,000 คน

แต่ในวันนี้เราได้รับการจัดวัคซีนไฟเซอร์มาเพียง 60% ของที่ขอไป ทั้งที่ ยอดนี้ลดลงกว่าครึ่งในตอนแรกเพราะฉีดเข็ม3ด้วย Az ไปแล้วเพราะไม่เชื่อใจในการบริหารวัคซีนของรัฐบาล ทั้งที่เราส่งชื่อรายชื่อไปใหม่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่จำเป็นต้องได้เท่านั้นตามข้อบ่งชี้ที่กระทรวงกำหนดซึ่งส่วนใหญ่คือแพทย์และพยาบาล......" 




พร้อมกันนี้ นักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยอย่าง "ปิติ ภิรมย์ภักดี" ผู้บริหารและทายาทของเครือบุญรอดบริวเวอรี่ หรือค่ายสิงห์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมภาพประกอบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ความว่า..

"ผมว่าจะไม่ลงละนะ แต่สงสารคนไทย

ศบค.พูดโคตรชัดว่าวัคซีนทำให้จำนวนคนตายลดลง

แล้วทำไมถึงเลื่อน ทำไมถึงฉีดไม่ได้ตามเป้า วัคซีนหายไปไหน รักกันมากๆหน่อยสิ

เตือนไว้ก่อนด่ามาจะด่ากลับ หมดความอนทนแล้วเหมือนกัน

ไม่ต้องชื่นชมหรือมาซื้อของบริษัทผม ผมแค่ทำหน้าที่คนไทยคนนึงที่อยากเห็นสิ่งที่ดีขึ้น"

นอกจากนี้ ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์ครั้งนี้เพื่อเสียสละเป็นกระบอกเสียงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั่นเอง 


"ด่านหน้าต้องจับฉลากเพื่อจะได้ฉีด บางโรงพยาบาลใช้วิธีผสมน้ำเพื่อให้ครบคน ผมขอสละตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้พวกเค้าครับ และเมื่อผมเอาจริงคือเอาจริง"

อย่างไรก็ตาม ปิติ ได้ย้ำการโพสต์ข้อความดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือบุคคลอื่นในครอบครัวแต่อย่างใด 

"ผมมาจากครอบครัวใหญ่ครับ ทุกอย่างที่ผมเขียนหรือพูดไป ผมรับผิดชอบตัวเองได้ครับ ไม่เกี่ยวกับบริษัทหรือคนอื่นในครอบครัว"

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าว มีคนไลก์กว่า 1.7 หมื่นไลก์(Like) แสดงความคิดเห็น(Comment)กว่า 1,000 และแชร์โพสต์ไปแล้วกว่า 1,600 แชร์ (ณ เวลา 09.36 น.) โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยถึงความกล้าในการออกมาแสดงความคิดเห็นท่ามกลางช่วงวิกฤติโรคระบาด เพราะทุกฝ่ายต่างต้องการให้สถานการณ์ดีขึ้น และการบริหารจัดการวัคซีนดี มีประสิทธิภาพ 
#2988
ทำไมข้าวอินทรีย์ถึงดี
ทำไม  ข้าวหอมมะลิออแกนิค   (SURIN Organic Rice)  ถึงดีกว่าข้าวทั่วๆไปที่ใช้สารเคมีอย่างไร ? ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ หรือ ข้าวออร์แกนิค (Organic Rice)  คือ ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ทีได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการจัดการด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในนา ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิก ไม่ใช้วัตถุดิบที่ได้จากการสังเคราะห์  สารเคที สารพิษ ยาฆ่าหญ้า ว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตของข้าวอินทรีย์สุรินทร์ สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว ตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม  เราเน้นปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น มีการจัดการกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพที่สำคัญในทุกขั้นตอนการผลิตและการแปรรูปข้าวกล้องออร์แกนิค

 
ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook : https://www.facebook.com/Hor.Product
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวกล้องออแกนิคส่งทั่วไทย
1.  กลุ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ขายข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3.  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิค
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค #ข้าวออแกนิก  #ข้าวอินทรีย์ #ข้าวสุขภาพ
 
 
#2989


ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (2-6 ส.ค.2564) ปรับขึ้น 11.19% หรือ 3.75 บาท มาอยู่ที่ 37.25 บาทต่อหุ้น โดยมีมูลค่าการซื้อขายราว 7.5 พันล้านบาท ภายหลังบริษัทประกาศปิดดีลซื้อหุ้น INTUCH และขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ด้วยสัดส่วน 42.25%

นางสาวอรมงคล ตันติธนาธร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า GULF ได้ทำการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (VTO) ในช่วงวันที่ 29 มิ.ย. ถึง 4 ส.ค.2564 ที่ราคา 65 บาทต่อหุ้น และมีหุ้นที่ตอบรับ Tender Offer จำนวน 747.87 ลำนหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้น INTUCH โดย GULF ปรับเพิ่มเป็น 42.3% จากเต็มที่ 18.9% GULF จึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ INTUCH หลังจากการทำ Tender Offer ในครั้งนี้

ฝ่ายวิจัยคาดว่า INTUCH จะสร้างกำไรได้ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2564-2566 ซึ่งมีส่วนหลักมาจาก ADVANC บล.กสิกรไทย จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2566 ขึ้น 10% 22% และ 22% เป็น 8.4 พันล้านบาท 1.40 หมื่นล้านบาท และ 1.53 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในหุ้น INTUCH

โดยการลงทุนใน INTUCH จะช่วยขยายพอร์ตกิจการที่ไม่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า (Non-power) ของ GULF ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นใน INTUCH ที่ 42.3% จะช่วยเพิ่มกำไรให้กับ GULF ในปี 2564-2566 ได้ 1.4 พันล้านบาท 3.1 พันล้านบาท และ 3.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 17-24% ต่อกำไรทั้งหมดของบริษัทฯ


ขณะที่การต่อยอดธุรกิจ (Synergy) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การลงทุนใน INTUCH จะช่วยให้ GULF เข้าถึงดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี 5G ซึ่งอาจสร้างประโยชน์ร่วมกันทางธุรกิจ อาทิ กลายเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าภาค B2C จากปัจจุบันที่ดำเนินในรูปแบบ B2B (ทั้งกลุ่มผู้ใช้ภาคอุดสาหกรรมและ กฟผ.) เพราะอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มที่กระจายตัวมากขึ้น บวกกับการผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าของประเทศ

นอกจากนี้ ในกรณีที่ GULF เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น INTUCH เกิน 50% ในอนาคตจะทำให้งบดุลของ GULF ขยายใหญ่ขึ้น เพราะ INTUCH เป็นบริษัทที่มีสถานะเงินสดสุทธิ

"เราคงคำแนะนำ 'ซื้อ' และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 42.75 บาท จาก 42.25 บาท เพื่อสะท้อนถึงการลงทุนเพิ่มเติมในหุ้น INTUCH นอกจากนี้ GULF ก็อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่จำนวนมากซึ่งจะมาช่วยสร้างความมั่นคงในการเติบโตในระยะยาวได้"

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์กิม​เอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในระยะกลางมองว่าราคาหุ้น GULF มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานในระยะกลาง-ยาวของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าใหม่อีกหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยหนุนให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ถือเป็นการเติบโตจากภายใน (Organic Growth)

ส่วนการลงทุนใน INTUCH จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้น ถือเป็นการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) โดยหลักการ GULF สามารถรับรู้งบการเงินรวม (Consolidate Financial Statement) เพราะถือหุ้นในสัดส่วนที่สามารถควบคุมทิศทางการดำเนินงานของ INTUCH จากเดิมที่รับรู้เป็นเงินปันผลรับ ซึ่งจะมีเป็นลูกเล่นแก่ราคาหุ้น GULF ในระยะถัดไป

"เรารอติดตามประเด็นดังกล่าว หากมีความชัดเจนว่าสามารถ Console งบของ INTUCH เข้ามาได้ จะเป็นปัจจัยหนุนส่งราคาหุ้นต่อไป โดยปัจจุบันตลาดให้รคาเป้าหมายบริเวณ 30 บาทตอนปลาย ส่วน บล.เมย์แบงก์ฯ ให้ไว้ที่ 38.00 บาทต่อหุ้น แต่คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นไปบริเวณ 40.00 บาทต่อหุ้น"
#2990
รถยนต์มือสองออนไลน์ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน อีซูสุ รถบ้าน เจ้าของขายเอง ตลาดรถออนไลน์ เลือกชมรถยนต์มือสอง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลงประกาศฟรีไม่มีค่าใช้ข่าย งประกาศฟรี ตลาดรถ
ลง โฆษณา ขาย รถ! ค้นหาผลการค้นหาที่ดีที่สุดทันที
#2991


"นพ.สันต์" ติงสื่อฟังไม่ได้ศัพท์ กรณีนักวิจัย "ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้" ขอถอนต้นฉบับที่กำลังรอตีพิมพ์ แม้ค่า p-value สรุปผลไม่แตกต่างจากยาหลอก แต่ไม่ได้หมายความว่า รักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น ชี้พิเศษกว่าคู่แข่ง "ฟาวิพิราเวียร์" ที่มีข้อมูลน้อยพอกัน คือ แค่ทำวิจัยเพิ่มอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้ว อีกทั้งยังหาง่าย ราคาถูก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติ

จากกรณี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว เผยแพร่บทความว่า ทีมผู้วิจัยชาวไทย ที่สรุปผลได้ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิด-19 ลดการเกิดปอดอักเสบได้ ทำการขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับของตนเองที่รอตีพิมพ์กลับคืนจากคลังวารสารรอตีพิมพ์ (medRxiv) เหตุผิดพลาดในการคำนวณค่านัยสำคัญของความแตกต่าง (p-value) ซึ่งหากคำนวณอย่างถูกต้องแท้จริงแล้วค่านัยสำคัญจริงๆ คือ p=0.1 แปลได้ว่า "การใช้ฟ้าทะลายโจรลดปอดบวมได้ไม่แตกต่างจากใช้ยาหลอก" ทำให้สื่อหลายแห่งตีความไปว่าฟ้าทะลายโจร ใช้รักษาโควิดไม่ได้ (อ่านบทความ : จำเป็นต้องมีการวิจัยรักษาโควิด-19 ด้วยฟ้าทะลายโจรซ้ำด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น)

วันนี้ (8 ส.ค. 2564) นพ.สันต์ จึงชี้แจงว่า สื่อตีความผิดพลาด เนื่องจากค่า p-value ที่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องทำการวิจัยนี้ซ้ำใหม่ด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม


เมื่อวานนี้ ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้..ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊าก ต่อๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่ายๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่า ฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโควี 2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลล์และในเซลล์ได้ [1, 2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันนาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [3]

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือ ได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทะลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจร 526 คน แล้วพบว่า กลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [4]

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันกินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด พบว่า กลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซต์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv)[5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ "ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า" ไม่เหมือนกับ "ใช้แล้วไม่ได้ผล"

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือ ทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ นับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียูน้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า [6]

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าวๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือ ขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้งๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้
#2992


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายสินค้า ณ ห้างแม็คโคร สาขาสามเสน ว่า เตรียมที่จะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้พิจารณาผ่อนผันให้ห้างสรรพสินค้า หรือร้านที่จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในห้าง สามารถขายสินค้าได้ โดยเน้นเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการอยู่บ้านในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เช่น หม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ กระทะไฟฟ้า กาต้มน้ำ ที่ปิ้งย่าง หรือพัดลม เป็นต้น เพราะหากอยากให้ประชาชนอยู่บ้าน ก็ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ด้วย ไม่ใช่ให้ซื้อได้แต่อาหาร แต่เครื่องมือทำอาหารหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้านซื้อไม่ได้

"จะเสนออีกครั้ง อะไรที่มันจำเป็น อย่างน้อยไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว พัดลม ที่ต้องใช้ตอนอยู่บ้าน ก็ต้องผ่อนให้ขายได้ แม้จะซื้อออนไลน์ได้ แต่ชาวบ้าน บางคนก็ไม่สะดวก ซึ่งจะทำลิสต์อย่างน้อย 10 รายการที่ให้ขายได้ และจะได้นำไปเสนอ ไปพูดกับเลขาธิการ ศบค. ให้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่อยู่บ้าน"นายจุรินทร์กล่าว

นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์สินค้าอุปโภคบริโภค เห็นว่าเมื่อมีการล็อกดาวน์ช่วงแรก ๆ ประชาชนอาจจะตื่นตระหนกกังวลบ้าง แต่ตอนนี้คลี่คลายแล้ว ไม่เหมือนช่วงต้นปีที่ล็อกดาวน์ ตอนนั้นตื่นตระหนกมาก สินค้าขาดชั้นวาง แต่ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มเรียนรู้ เข้าใจว่าของขาด และอย่างวันนี้ผู้บริหารแม็คโครยืนยันว่าสินค้าสำคัญสามารถเติมเต็มชั้นวางได้เพียงพอ เช่น ไข่ไก่ ยกเว้นบางช่วงที่เติมไม่ทัน แต่เฉลี่ยทั้งประเทศยังมีพอ หากขาดในอนาคต กระทรวงพาณิชย์จะมีมาตรการออกมาแก้ปัญหา และได้สั่งการให้มีการไปตรวจสอบมีการค้ากำไรเกินควรหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการตามกฎหมายมาตรา 29 ภายใต้พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องปิดป้ายแสดงราคา ถ้าไม่ปิดป้ายปรับ 1 หมื่นบาท

ทางด้านราคาสินค้าสำคัญ ๆ เช่น หมูเนื้อแดงกิโลกรัม (กก.) ละ 119 บาท ถึงมือชาวบ้านอาจจะแพงกว่านี้ แต่ก็ถูกกว่าเมื่อก่อนที่เคยขึ้นไปถึง 150-170 บาท เนื้อไก่น่องติดสะโพก กก.ละ 60 บาท และน้ำมันปาล์มราคาแม็คโคร แบบปี๊บตก กก.ละ 40 บาท แบบขวด ๆ ละ 45 บาท ไปถึงปลายทางอาจจะสูงกว่านี้ แต่ก็เป็นราคาที่เหมาะสมกับผลปาล์มดิบ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้พยายามดูแลทั้งเกษตรกร ให้ขายผลผลิตได้ราคาดี และดูแลผู้บริโภคให้ซื้อได้ในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนและไม่เป็นภาระเกินไป ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ยังมีวางจำหน่ายเป็นปกติ ไม่มีปัญหาขาดช่วง หรือปัญหาการจัดส่ง

อย่างไรก็ตาม ได้ประสานและติดตามสถานการณ์การขนส่งสินค้าจากผู้ผลิต หรือคลังสินค้าไปยังปลายทางอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าขาดช่วง โดยเฉพาะการผ่านด่านตรวจโควิด-19 ของจังหวัดต่าง ๆ ที่ต้องเข้มงวด แต่ก็ขอให้ผ่อนปรนให้กับรถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอาหารด้วย
#2993


"ธนกร" เผยประชาชนยังใช้สิทธิมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐต่อเนื่อง แม้บางพื้นที่ถูกล็อกดาวน์ แจงยอดใช้จ่ายคนละครึ่ง-ยิ่งใช้ยิ่งได้-บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำเศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนกว่า 5.8 หมื่นล้าน คาดภายใน ต.ค.64 เชื่อมแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ใช้"คนละครึ่ง" ได้

วันนี้(8 ส.ค.) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะประกาศล็อกดาวน์ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เพิ่มจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด เนื่องจากอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด- 29 เชิงรุกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ขอให้ประชาชนงดออกจากเคหสถาน หรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น เพื่อเป็นการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 แต่รัฐบาลก็มีมาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเร่งด่วนผู้ประกอบการนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนแรงงานกลุ่มอาชีพอิสระ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ 9 ประเภท 29 จังหวัดล็อกดาวน์ โดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้โอนเงินเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ใน 10 จังหวัด (กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา) เข้าบัญชีไปแล้ว 2,434,182 คน เบิกจ่ายเป็นเงินรวมแล้ว 6,085.45 ล้านบาท แต่มีบางส่วนที่เกิดความขัดข้อง โอนเงินไม่ผ่าน เนื่องจากอาจจะมีข้อมูลผิดพลาด ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลหน้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมได้จนถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 หากข้อมูลได้รับแก้แก้ไขตรวจถูกต้องแล้ว จะดำเนินการโอนในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของนายจ้าง ม. 33 สำนักงานประกันสังคมอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลสถานะจำนวนลูกจ้าง และจะเริ่มทยอยโอนให้นายจ้าง 3,000 ต่อจำนวนลูกจ้างไม่เกิน 200 คน ในวันที่ 10 สิงหาคม 2564

นายธนกร กล่าวต่อว่า แม้จะมีข้อติดขัดเรื่องการออกมาใช้จ่ายของประชาชนบางพื้นที่บ้างในช่วงนี้ แต่จากการรายงานของกระทรวงการคลังพบว่า มาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ยังมีการใช้สิทธิอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 37.66 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม รวม 58,495.4 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 23.22 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 52,466.8 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 26,600.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 25,866.1 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 63,093 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 977.5 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.45 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 4,760.2 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 931,228 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 290.9 ล้านบาท

นายธนกร กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน และเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบบริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ให้สามารถเชื่อมกับโครงการ "คนละครึ่ง" สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยกระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการเชื่อมระบบโครงการ "คนละครึ่ง" กับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ คาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่าย หลังกระทรวงการคลังโอนเงิน "คนละครึ่ง" รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอพพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นปี 2564
#2994


สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก เปิดเผยในวันนี้ ว่า พบผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหกรรมกีฬาระดับโลกติดโควิด-19 เพิ่มอีก 26 รายในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของมหกรรมโอลิมปิก ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 อยู่ที่ 430 ราย นับตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.

นับเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ไม่พบนักกีฬาติดเชื้อโควิด-19 โดยในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 26 รายนั้น ประกอบด้วยผู้รับเหมา 16 ราย สื่อมวลชน 5 ราย อาสาสมัคร 3 ราย เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการแข่งขัน 1 ราย และพนักงานคณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก 1 ราย โดยทั้งหมดไม่ได้พักอยู่ในหมู่บ้านักกีฬา และ 19 คนในจำนวนนี้เป็นพลเมืองญี่ปุ่น
#2995


วันนี้ (7 ส.ค. 64) ที่ กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ โดยระบุว่า การระบาดในต่างประเทศ เป็นระยะขาขึ้นในหลายประเทศ ขณะที่ไทย มีการเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็น 29 จังหวัด และการฉีดวัคซีนซึ่งเร่งรัดการฉีดในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ฉีดได้ในจำนวนสูง ขณะนี้ มีวัคซีน 4 ตัว คือ ซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนฟาร์ม และไฟเซอร์

"การที่ทำให้การป่วย ติดเชื้อ เสียชีวิตลดลงต้องใช้หลายมาตรการร่วมกัน ขณะที่การฉีดวัคซีนจะลดการเสียชีวิตได้ เรามีวัคซีนที่มาใหม่ปลายเดือนที่ผ่านมา 30 ก.ค. 64 ได้รับจากสหรัฐ 1.5 ล้านโดส มุ่งดูแลบุคลากรด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการดูแลผู้ป่วย รวมถึง จัดสรรให้กับผู้สูงอายุไทยและต่างชาติ นักเรียนไทย นักธุรกิจที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ"


ไฟเซอร์ รอบแรก กทม. ตจว. 446,160 โดส

วัคซีน 'ไฟเซอร์' ซึ่งมีวิธีการเก็บรักษายุ่งยากกว่าวัคซีนอื่นๆ ติดลบ 70 องศา วัคซีนที่ยังไม่กระจายออกไป ตอนนี้อยู่ในภาวะแช่แข็งอยู่ และต้องขนส่งด้วยอุณหภูมิติดลบ โดยวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับ ผลิตเมื่อเดือน มิ.ย. หมดอายุ พ.ย. 64 การกระจายวัคซีนตั้งแต่เมื่อวันที่ 4-6 ส.ค. หลังจากที่ตรวจคุณภาพมีการส่งวัคซีนไปทั่วประเทศ 77 จังหวัด 170 รพ. และหลาย รพ.เริ่มฉีด การขนส่งด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ รักษาอุณหภูมิ จำนวนวัคซีนที่ส่งไปรอบแรก 446,160 โดส โดยใน กทม. 120,960 โดส ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ได้รับ 325,200 โดส


ฉีดเข็มกระตุ้น 'บุคลากรด่านหน้า' 4.6 หมื่นคน
สำหรับบุคลากรด่านหน้า ใช้ทั้งข้อมูลสำรวจจาก รพ. และข้อมูลที่ได้จาก ระบบทะเบียนการบันทึกการฉีดวัคซีน จะรู้ว่าบุคลากรท่านใดได้ซิโนแวคสองเข็มแล้ว ในกลุ่มนี้มีจำนวนและสำรวจมา เมื่อมารวมกัน ส่วนใหญ่ 80% ต้องการไฟเซอร์ และมีบางส่วนที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การจัดส่งไปในรอบแรกจึงอยู่ที่ราว 50-75% ของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประวัติฉีดซิโนแวค 2 เข็ม


เน้นส่งไปที่ รพ.ประจำจังหวัด และขนาดใหญ่ เพราะวัคซีนต้องเก็บต่อในตู้เย็น เพื่อป้องกันการสูญเสียคุณภาพ โดย 1 ขวด จำนวน 6 โดส โดสละ 0.3 ซีซี กระตุ้นบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ไปแล้ว 4.6 หมื่นคน (4-6 ส.ค.64) ผลการฉีดไม่พบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง มีปวดเมื่อย บวมบ้างในการฉีดและหายเองได้


ย้ำ วัคซีนแม่สอด ไม่ได้หาย  
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากมีกระแสข่าวปลอมที่ว่า วัคซีน อ.แม่สอด จ.ตาก หายไป แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า จำนวน 4,320 โดส นำส่ง รพ.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก ครบถ้วน เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 64 เวลา 15.00 น. ขอเรียนให้ทราบว่าทุกอย่างมีการตรวจสอบดูแลอย่างดี

โควตาศูนย์ฯ หมอยง ยังไม่ได้ถูกส่งไป
ขณะที่ อีกหนึ่งกระแสข่าวที่บอกว่า สธ.ส่งไฟเซอร์ฉีดบุคลากรทางการแพทย์ โดยส่งให้ศูนย์ปฏิบัติการฯ ที่หมอยงเป็นหัวหน้า ขอเรียนว่า สำหรับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า กลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทุกคน  รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ พยาบาล หรือวิชาชีพอื่น ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 เช่น แผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนผู้ป่วยวิกฤติ รพ.สนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาล หน่วยงานต้นสังกัด

ดังนั้น ห้องปฏิบัติการเป็นที่หนึ่งที่เป็นบุคลากรด่านหน้า จากข่าวดังกล่าว ศูนย์ห้องปฏิบัติการ มีคนที่ได้ฉีดซิโนแวค 2 เข็มไปแล้ว และจะขึ้นชื่อในระบบ มีโควตาให้ แต่วัควีนยังไม่ได้ถูกส่งไป เพราะวัคซีนจำนวนน้อยจะถูกส่งไปที่สำนักอนามัย แต่ที่ศูนย์มีเพียง 20 คน ประกอบกับได้รับแจ้งทางศูนย์ ว่าบุคลากรด่านหน้า ได้รับการฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าแล้วบางส่วน ดังนั้น โควตาที่ว่ายังอยู่ที่ กทม. คือ สำนักอนามัย หากไม่มีการใช้จะรอจัดสรรให้องค์กรอื่นต่อไป ขอแจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้มีการส่งวัคซีนไปแต่อย่างไร

"ในกทม. มีจุดฉีดจำนวนไม่มาก เพราะจุดใหญ่จะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอยู่ จุดที่น้อยๆ จะไม่ได้ส่งให้ เพียงแค่กันไว้ให้ และแบ่งส่วนให้ต่อกับแพทย์ ทันตแพทย์ ที่อยู่ตามคลินิก ที่ไม่ได้มีสังกัด ขณะที่ ทันตแพทยสภา มีการรวบรวม แพทย์ สถานพยาบาลขนาดเล็ก เพื่อรวบรวมรายชื่อ ในการฉีดกระตุ้นไฟเซอร์ และจะมีกำหนดจุดฉีดและนัดหมายต่อไป" รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว 
#2996


เปิดเทคนิคที่จะช่วยให้การ "ขายออนไลน์" สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ ทำให้ขายสินค้าได้ทั่วโลก โดยที่ส่งของได้รวดเร็ว ราบรื่น และสะดวกสบาย

มีแม่ค้าออนไลน์หลายรายที่เริ่มมองหากลุ่มลูกค้าในประเทศอื่นๆ เพื่อขยายตลาดให้ร้านค้าออนไลน์ของตนเอง เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้ให้เพิ่มพูนมากขึ้น แต่บางครั้งก็ยังกล้าๆ กลัวๆ เพราะมองว่าเป็นเรื่องยากลำบากและไกลตัว แต่รู้หรือไม่? ยุคนี้เป็นยุคทองของการ "ขายออนไลน์" ดังนั้นคุณจึงไม่ควรหยุดความฝันนั้นอีกต่อไป 

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้รวบรวมข้อมูลที่ต้องรู้ในการเริ่มต้นค้าขายออนไลน์ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงขั้นตอนการส่งของข้ามประเทศที่สะดวกสบายด้วยบริการ "Courier Post" มาฝากกัน ดังนี้

1. รู้จัก E-MARKETPLACE ในต่างประเทศ

ก่อนอื่น "แม่ค้าออนไลน์" ต้องรู้จักช่องทางการขายที่เรียกว่า E-Marketplace หรือเว็บไซต์ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในต่างประเทศ โดยคุณสามารถสร้างร้านค้าและขายสินค้าผ่านเว็บเหล่านี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมี Dealer และไม่จำกัดขนาดธุรกิจ

แล้วจะขายในเว็บไซต์ไหนดี?

คำตอบคือ มีเว็บไซต์ขายออนไลน์ในต่างประเทศให้เลือกหลากหลาย เช่น eBay, Amazon, Best Buy, Alibaba, AliExpress, JD Worldwide, TMall, Taobao, WalMart, FlipKart, PayPay Mall ฯลฯ คุณสามารถลงทะเบียนและเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ในเว็บไซต์ที่คุณสนใจ ทั้งนี้แต่ละเว็บไซต์ก็จะคิดค่าบริการในราคาแตกต่างกันไป


2. เช็ค "สินค้าไทย" ที่โดนใจลูกค้าต่างชาติ

มีข้อมูลจาก "กระทรวงพาณิชย์" ที่เผยแพร่ในช่วงการจัดแคมเปญ DITP's Online Reseller Connect (24 พ.ค.64) ระบุว่า สินค้าที่อยู่ในความสนใจของยี่ปั๊วต่างประเทศ ได้แก่

สินค้าผลไม้สดและผลไม้แปรรูป
เครื่องดื่ม
ซอสปรุงรส
ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงาม
ผลิตภัณฑ์สปา
เครื่องประดับสำหรับเจ้าสาว
ของใช้บนโต๊ะอาหาร ของตกแต่งบ้าน
นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มสินค้าไทยที่ขายดีตลอดกาลในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ยาดม ยาหม่อง, ผ้าไหมไทย และผ้าทอมือไทย, กางเกงมวยไทย, ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เช่น น้ำมันมะพร้าว สครับมะพร้าว สบู่มะพร้าว, เครื่องหอมไทย อุปกรณ์สปา, ของประดับตกแต่งบ้าน เช่น รูปปั้นช้าง โมเดลรถตุ๊กตุ๊ก, กระเป๋าแฮนด์เมด เช่น กระเป๋าสาน หมวกสาน เป็นต้น

3. ใช้ "COURIER POST" ส่งของต่างประเทศได้เร็ว

อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามเมื่อต้องการขยายฐานลูกค้าไปทั่วโลก นั่นคือ "วิธีการส่งสินค้า" แม่ค้าต้องศึกษาให้ดีว่าจะส่งของกับขนส่งเจ้าไหน ถึงจะได้รับบริการดี รวดเร็ว ปลอดภัย ราบรื่น หนึ่งในระบบขนส่งที่น่าลองใช้บริการ คือ "คูเรียร์โพสต์" ของไปรษณีย์ไทย ที่มีบริการส่งของไปต่างประเทศเช่นกัน เป็นบริการจัดส่งสิ่งของด่วนระหว่างประเทศทางอากาศ ทั้งในรูปแบบ Document และ Package (Merchandise)

คิดราคาตามน้ำหนักที่ชั่งจริงเท่านั้น (Gross weight) ราคา Net Price ไม่มีบวกเพิ่ม
สำหรับการส่งเอกสาร (Document) น้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 2 กก.
สำหรับสิ่งของ (Merchandise) น้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 30 กก.
รองรับการส่งสินค้าประเภทส่งของเหลวและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแบตเตอรี่ได้
สิ่งของที่จะส่ง ต้องมี Package ที่ได้มาตรฐานและต้องมาบรรจุและหุ้มห่อต่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์
ผู้ส่งสามารถขอรับกล่อง/ซองฟรีของบริการ Courier Post ได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 
4. มีบริการส่งของแบบ Door to Door

คูเรียร์โพสต์มีบริการ On Demand Delivery (ODD) นั่นคือ ผู้รับสามารถเลือกรูปแบบการนำจ่ายได้ (เวลา /สถานที่) โดยไม่เสียค่าบริการเพิ่มเติม และการนำจ่ายถึงผู้รับในปลายทางต่างประเทศแบบ Door to Door หมายถึง บริการดำเนินผ่านพิธีการศุลกากรแบบเบ็ดเสร็จ ณ ประเทศปลายทาง

โดยทีมงานของระบบขนส่งที่ปลายทาง จะดำเนินการผ่านพิธีการขาเข้า ผู้รับที่ปลายทางจะเป็นผู้ชำระค่าภาษี (ถ้ามี) และขนส่งจะนำสินค้าไปส่งยังสถานที่ปลายทางที่ได้กำหนดไว้ โดยจะนำจ่ายสินค้าถึงที่อยู่ผู้รับในต่างประเทศภายใน 2 - 4 วัน (ไม่นับวันที่รับฝากและไม่รวมระยะเวลาดำเนินพิธีการศุลกากร ณ ประเทศปลายทาง)

5. มีเงินประกันค่าเสียหายให้

คูเรียร์โพสต์มีอัตราชดใช้ค่าเสียหาย กล่าวคือจะมีวงเงินชดใช้กรณีสูญหาย/เสียหาย จากความผิดพลาดของผู้ขนส่ง โดยจะชดใช้ตามมูลค่าที่เกิดขึ้นจริง โดยชดใช้ไม่เกิน 5,000 บาท สำหรับเอกสาร (Document) และชดใช้ไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับสิ่งของ (Merchandise) อีกทั้ง ผู้ฝากส่งยังสามารถซื้อประกันคุ้มครองเพิ่มสูงสุดไม่เกิน 1,000 SDR (ปี 2564: 1 SRD = 43.2231 บาท)

------------------------------

อ้างอิง : 

ebaythailand

sell.amazon

corporate.jd

smmagonline

commercenewsagency

POST family
#2997


จากข่าวช็อกแฟน.ทั่วโลก เมื่อสโมสรบาร์เซโลนา ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกาสเปน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า ถึงแม้ทั้งสโมสรและ "ลิโอเนล เมสซี" ดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา ได้บรรลุข้อตกลงเรื่องสัญญาฉบับใหม่และมีความประสงค์ชัดเจนว่าต้องการเซ็นสัญญากัน แต่สุดท้ายสิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากติดขัดเรื่องการเงินและกฎการลงทะเบียนผู้เล่นของลาลีกา

"ด้วยเหตุนี้ เมสซีจึงไม่สามารถอยู่กับบาร์เซโลนาได้อีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ความต้องการของทั้งผู้เล่นและสโมสร ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ สโมสรขออวยพรให้เมสซีโชคดีกับเส้นทางค้าแข้งกับต้นสังกัดใหม่" แถลงการณ์สโมสรบาร์เซโลนา ระบุ

อันที่จริง บาร์เซโลนาบรรลุสัญญาฉบับใหม่กับเมสซียาวถึงปี 2026 ไปแล้ว แต่ด้วยค่าเหนื่อยหลายแสนยูโรต่อสัปดาห์ของเมสซี จะทำให้บาร์เซโลนาใช้เงินเกินกว่าที่ลาลีกากำหนดไว้ จึงไม่ได้รับการอนุมัติจากลาลีกาให้เซ็นสัญญากัน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงกันไว้แล้วก็ตาม

ดาวเตะระดับโลก วัย 34 ปี เซ็นสัญญาฉบับแรกกับบาร์เซโลนาในปี 2000 ขณะอายุเพียง 13 ปี และลงเล่นให้สโมสรทุกรายการรวม 778 นัด ยิงได้ 672 ประตู และมีส่วนช่วยบาร์ซาคว้าแชมป์รวม 35 รายการ จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาฉบับเดิมเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ขณะที่บรรดาสโมสรใหญ่จากหลายประเทศต่างแสดงความสนใจดึงตัวแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินา ที่กลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ที่สามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว และจะเป็นการย้ายทีมครั้งแรกในเส้นทางอาชีพของเมสซีด้วย


มีรายงานว่า ค่าเหนื่อยในสัญญาฉบับใหม่ที่บาร์ซาตกลงกับเมสซีได้แล้วแต่สุดท้ายล่มไปนั้น สูงถึงประมาณ 70 ล้านยูโรต่อปี หรือคิดเป็นราว 1.13 ล้านยูโรต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ดังนั้น หากประเมินจากความเป็นไปได้ ณ เวลานี้ มีอยู่ 6 สโมสรที่อาจมีศักยภาพและเงินทุนมากพอที่จะเป็นจุดหมายต่อไปของดาวเตะวัย 34 ปี

1. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (เปแอสเช)

ณ ขณะนี้ เปแอสเช ถือเป็นเต็งอันดับ 1 ที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม เพราะมีอำนาจเงินเหนือกว่าทีมใหญ่อื่น ๆ

ยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสสามารถเสนอโอกาสให้เมสซีได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะพรสวรรค์มากมาย หลังจากคว้าตัวผู้เล่นใหม่อย่าง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์เลือดดัตช์, จานลุยจิ ดอนนารุมมา นายด่านทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 และเซอร์จิโอ รามอส ปราการหลังจอมเก๋าชาวสเปน


ขณะเดียวกัน เปแอสเชอาจมีภาษีเหนือกว่าทีมอื่น ๆ ตรงที่มีนักเตะชื่อ "เนย์มาร์" แข้งชาวบราซิลที่สนิทกับเมสซีตั้งแต่สมัยเล่นด้วยกันที่บาร์เซโลนา และหากเมสซีย้ายมาประสานงานกับเนย์มาร์อีกครั้ง เปแอสเชจะกลายเป็น "เต็ง 1" คว้าแชมป์ "ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก" ฤดูกาล 2021/22 โดยทันที

2. แมนเชสเตอร์ ซิตี

การได้กลับมาร่วมงานกับ "เปป กวาร์ดิโอลา" อีกครั้งอาจเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" ที่จะได้ลายเซ็นจอมทัพเลือดอาร์เจนไตน์มาครอง เพราะกุนซือชาวสเปนและเมสซีต่างชื่นชมและให้ความเคารพกัน หลังทั้งคู่เคยร่วมงานที่บาร์เซโลนายุคที่ประสบความสำเร็จที่สุด

ช่วงปี 2008-2012 บาร์ซาภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอลาและมีเมสซีเป็นแกนหลักในแนวรุก โกยถ้วยแชมป์รวม 14 รายการ ถือเป็นยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรคาตาลัน

ปัจจุบัน กวาร์ดิโอลาซึ่งเป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี กำลังเดินหน้าแผนล่าตัว "แฮร์รี เคน" ดาวยิงทีมชาติอังกฤษจากท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส หลังเพิ่งกระชาก "แจ็ค กรีลิช" ตัวรุกเลือดผู้ดีจากแอสตัน วิลลา ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะเสริมทัพด้วยการเซ็นสัญญาเมสซีอีกคนนั้น "เหลือน้อยมาก"


- เมสซีฟังแท็กติกจากกวาร์ดิโอลา สมัยยังร่วมงานกันในถิ่นคัมป์นูเมื่อปี 2010 -

ล่าสุด กวาร์ดิโอลายืนยันแล้วว่า แมนฯ ซิตีจะไม่เซ็นสัญญากับเมสซี เพราะทีมเพิ่งทุ่มเงินซื้อกรีลิชและมอบหมายเลข 10 ให้กับแข้งอังกฤษรายนี้ไปแล้ว

"ก่อนหน้านี้คิดว่าเขา (เมสซี) จะอยู่กับบาร์ซาต่อ ดังนั้น เมสซีจึงไม่อยู่ในแผนของเราตอนนี้"

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 "ปิศาจแดง" คู่แค้นร่วมเมืองของแมนฯ ซิตี ก็มีโอกาสร่วมวงล่าลายเซ็นของเมสซีเช่นกัน เพราะความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายผู้เล่นที่ผ่านมา พิสูจน์ให้ทุกทีมเห็นแล้วว่า แมนฯ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่มีความมั่นคงทางการเงินแถวหน้าของโลก

ถึงแม้ "โอเล กุนนาร์ โซลชาร์" กุนซือชาวนอร์เวย์ อาจจะต้องเปลี่ยนระบบการเล่นของทีม เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ก็น่าจะคุ้มค่าไม่น้อยหากคว้าตัวเมสซีมาร่วมทัพได้ เพราะนอกจากจะได้ตัดหน้าคู่แข่งร่วมเมืองแล้ว ยังเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดูเหมือนว่าตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรับ" เป็นจุดที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการเสริมมากกว่าแนวรุก หลังเพิ่งได้ตัว "เจดอน ซานโช" ปีกจอมเทคนิคทีมชาติอังกฤษจาก "โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์" ที่ตามทาบทามตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลที่แล้ว

วันนี้! เช็คเงินเยียวยา 'ประกันสังคม ม.33' ไม่เข้าบัญชี เช็กสาเหตุ 'www.sso.go.th'
ก่อนซื้อทำอย่างไร เมื่อ 'ฟ้าทะลายโจร' ขาดตลาด ราคาพุ่ง เจอของปลอม
อาคาร 100 ปี 'วังค้างคาว' เคยเป็นของใครมาแล้วบ้าง? ชวนย้อนรอยก่อนเปลี่ยนมือ
4. เชลซี

"สิงห์บลู" สโมสรดังแห่งลอนดอน เจ้าของแชมป์ยุโรปปีล่าสุด เป็นทีมที่ 3 จากพรีเมียร์ลีกที่สามารถดึงตัวดาวเตะระดับโลกอย่างเมสซีมาสวมยูนิฟอร์มได้ เพราะมีเงินทุนสนับสนุนหลายพันล้านจาก "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชลซีกำลังโฟกัสกับแผนคว้าตัว "โรเมลู ลูกากู" กองหน้าชาวเบลเยียมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจเบนเข็มมาที่แข้งอาร์เจนไตน์ได้เช่นกัน

หากได้เมสซีมาร่วมทัพ น่าจะช่วยเพิ่มสถิติถล่มประตูให้กับเชลซีได้ตามที่ "โธมัส ทูเคิล" กุนซือชาวเยอรมันต้องการ ด้วยผลงานซัลโวกว่า 30 ประตูให้กับบาร์ซาในทุกรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

5. ยูเวนตุส

การดึงตัว เมสซี มาประสานงานร่วมกับ "คริสเตียโน โรนัลโด" แข้งระดับโลกชาวโปรตุเกส น่าจะเป็นเกมรุกในฝันของแฟน.หลายคน และ "ยูเวนตุส" ยักษ์ใหญ่แห่งกัลโช เซเรียอา ก็มีศักยภาพมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

ทีมม้าลายแต่งตั้ง "แม็กซ์ อัลเลกรี" ยอดกุนซือชาวอิตาลีคุมทัพรอบที่สองเมื่อไม่นานนี้ และชื่อชั้นของอัลเลกรี อาจช่วยดึงดูดให้เมสซีอยากมาร่วมงานกับหนึ่งในผู้จัดการทีมแถวหน้าของวงการลูกหนัง

หลังจากทำผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาลที่แล้ว ยูเวนตุสจึงต้องการเสริมทัพที่แข็งแกร่งอยู่แล้วให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมสู้ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลที่จะถึงนี้

6. อินเตอร์ ไมอามี

ถึงแม้ "เมเจอร์ลีก" ในสหรัฐ อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่เมสซีต้องการไปค้าแข้งน้อยที่สุด แต่ก่อนหน้านี้ สื่อหลายสำนักรายงานว่า กัปตันทีมฟ้าขาวมีแผนย้ายไปฟาดแข้งในอเมริกาก่อนแขวนสตั๊ด

เมื่อดูจากชื่อชั้นของทีมในเมเจอร์ลีก ดูเหมือนว่า "อินเตอร์ ไมอามี" จะเป็นทีมจากเมเจอร์ลีกที่ถูกโยงกับการย้ายทีมของเมสซีมากที่สุด เนื่องจาก "เดวิด เบ็คแฮม" อดีตแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของสโมสรร่วมของอินเตอร์ ไมอามี กำลังพยายามสร้างทีมให้พร้อมสำหรับการไล่ล่าแชมป์หลายรายการ


จากรายชื่อทั้ง 6 ทีมเหล่านี้ หลายฝ่ายคาดว่า เปแอสเช มีโอกาสมากที่สุดในการดึงตัวเมสซีไปร่วมทัพ และล่าสุดตัวแทนทั้งสองฝ่ายเปิดเจรจากันแล้ว

ฟาบริซิโอ โรมาโน เหยี่ยวข่าวกีฬาชาวอิตาลีซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง รายงานเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ว่า เปแอสเช มั่นใจมากที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม หลังจากเปิดโต๊ะเจรจากับนักเตะโดยตรง อีกทั้งมีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในไม่ช้า
#2998


จากกรณี ดาราหนุ่มซีรีส์ช่องดัง ทอยทอย-ธนภัทร อายุ 21 ปี ก่อเหตุแทงแฟนสาว  พิม ชัชสรัญ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เสียชีวิตในบ้านพักย่านเขตคลองสามวา โดยเจ้าตัวอ้างว่าทะเลาะกันมีปากเสียงกันอย่างหนัก ก่อนจะเกิดการต่อสู้และมีการแทงฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทางด้านโลกออนไลน์ ได้มีการย้อนไปดูที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของ "พิม ชัชสรัญ" พบว่า ก่อนเกิดเหตุสุดสลด เธอเคยโพสต์เล่า เคยถูกคนรักทำร้ายจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์มานานกว่า 2 ปี อีกทั้งทำเรื่องฟ้องหย่ากับสามีเก่า

เมื่อช่วงปี 2562 พิมเคยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล เนื่องมาจากโรคซึมเศร้า และจำเป็นต้องพักรักษาตัว ซึ่งพิมยังเคยโพสต์ภาพที่ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บหลายจุด และเป็นต้นเหตุของอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์มาแล้ว

"พิม" ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์นั้น เป็นมานานกว่า 2 ปี จากการที่พิมถูกทำร้ายจากคนที่เธอรักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โรคนี้ไม่มีใครอยากเป็น โรคนี้เป็นโรคที่บางคนไม่เคยเข้าใจ เป็นโรคที่ทำให้เธอต้องฆ่าตัวตายมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง โรคที่พังชีวิตเธอทุกอย่าง เธอพยายามต่อสู้มาโดยตลอด "จุดจบก็หนีไม่พ้น ถ้าเธอไม่พังชีวิตตัวเอง ก็ไปรักใครมากกว่าตัวเองจนเขามาพังชีวิตเรา"

มีคนชอบพูดกับเธอว่า มีทุกอย่างแล้วทำไมยังไม่หยุดเป็นอะไรแบบนี้ เธออยากถามกลับว่า "เคยได้ยินว่า มีทุกอย่างแต่ไม่มีความสุขไหม" มีแต่คนถามว่า ทำไมเธอไม่รักตัวเอง ไม่รักคนรอบตัวบ้างเหรอ เธออยากบอกว่า "เธอรักจะตาย แต่เข้าใจไหมว่าเซลล์สมองมันไม่ปกติ มันพัง กระบวนการคิดมันไม่เหมือนคนทั่วไป" อยากให้เคสของเธอเป็นตัวอย่างให้ทุกคนพยายามเข้าใจคนป่วยประเภทนี้ โดยเฉพาะคนที่คุณรัก ยาที่ดีที่สุดสำหรับคนป่วยโรคนี้คือ ความรักและความเข้าใจเขาจริง ๆ เพราะคนเหล่านี้เขารักตัวเองไม่ได้ เธอเข้าใจว่า อยู่กับคนป่วยแบบนี้มันเหนื่อย แต่บางทีคุณอาจจะเป็นเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อ "อย่าเห็นโรคนี้เป็นเรื่องตลก อย่ามองว่าเรียกร้องความสนใจ เพราะถ้าวันใดเขาฆ่าตัวตายสำเร็จ คุณจะไม่ตลกกับมันด้วยซ้ำ" สิ่งที่เธอต้องเจอ มันหนักเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอจริง ๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรความทรมานนี้จะจบลงเสียที

นอกจากนี้ เมื่อย้อนไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค. "พิม ชัชสรัญ" เคยโพสต์ว่า ตอนนี้ได้ฟ้องหย่ากับอดีตสามี และมีการฟ้องร้องเรื่องเงินกันเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมา ฝั่งอดีตสามีหนีตลอด ไม่ยอมมาคุยให้จบกันดี ๆ ไม่ยอมมาเซ็นใบหย่า ส่วนสภาพจิตใจและร่างกายของเธอตอนนี้อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว พร้อมขอบคุณทุกคนอย่างใจจริงอีกด้วย..... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/131589/
#2999


บาร์เซโลน่า ยืนยันว่าไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัญญาฉบับใหม่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่าได้ เนื่องจากอุปสรรคทางด้านการเงินของทีม ปิดฉากช่วงเวลา 21 ปีเต็มกับสโมสร

ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ หมดสัญญากับทีม "อาซูลกราน่า" ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวต้องเดินทางไปแข่งขันฟุต.โคปา อเมริกา ที่ประเทศบราซิล กับทีมฟ้าขาว จึงยังไม่มีโอกาสได้เข้ามาพูดคุยกับบอร์ดบริหารของ บาร์เซโลน่า แบบจริงๆจังๆ

ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า ลิโอเนล เมสซี่ ตอบรับในการเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ บาร์เซโลน่า เป็นเวลา 5 ปีเต็ม และพร้อมลดค่าเหนื่อยของตัวเองลงครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยพยุงสถานะทางการเงินของทีม

แต่แล้วล่าสุด บาร์เซโลน่า ร่อนแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียของสโมสร ระบุว่า ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในสัญญาฉบับใหม่กับ ลิโอเนล เมสซี่ ได้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจที่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่กันก็ตาม เนื่องจากข้อบังคับทางด้านการเงินของทาง ลาลีกา สเปน ที่เข้มงวด

"แม้ บาร์เซโลน่า และ ลิโอเนล เมสซี่ จะบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างตั้งใจที่จะเซ็นสัญญากันในวันนี้ แต่การเซ็นสัญญาดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะอุปสรรคเรื่องโครงสร้างการเงิน" บาร์เซโลน่า ร่อนแถลงการณ์

"ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมสซี่ จะไม่อยู่กับ บาร์เซโลน่า ต่อไป ต่างฝ่ายต่างเสียใจอย่างสุดซึ้งที่สุดท้ายแล้วความปรารถนาของนักเตะกับสโมสรไม่กลายเป็นความจริง"

"บาร์เซโลน่า ขอขอบคุณสุดหัวใจต่อ เมสซี่ สำหรับทุกสิ่งที่เขาช่วยทำให้สโมสรยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น และขอให้เขาโชคดีกับอนาคตทั้งในเรื่องส่วนตัวและชีวิตนักฟุต." ทีมเจ้าบุญทุ่ม ทิ้งท้าย

หลังจากนี้หลายฝ่ายต่างจับตามองว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตการค้าแข้งของตัวเองจากการที่ไม่สามารถเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาได้

สำหรับ ลิโอเนล เมสซี่ ย้ายจากนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ มาอยู่กับแคมป์ลามาเซียของบาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวอายุเพียง 13 ปี ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ของทัพอาซูลกราน่า ในปี 2004 จนกลายเป็นตำนานของสโมสร เป็นนักเตะที่ยิงประตูมากสุด และลงสนามมากสุดตลอดกาลของทีม โดยทำไปทั้งหมด 672 ประตู จากการลงเล่น 778 เกมในทุกรายการ

นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 10 สมัย, แชมป์โคปา เดล เรย์ 7 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 4 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย, สโมสรโลก 3 สมัย
#3000


นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อระดมเงินฝากจากประชาชนทั่วไปสำหรับนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนภาคเกษตร อันเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ และเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ถือสลากออมทรัพย์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนให้สามารถฝากเงินกับ ธ.ก.ส.ได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับการออมเงินที่ได้รับดอกเบี้ย ไม่เสียภาษีและยังมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลมากมาย โดยแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile

สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 มีอายุรับฝาก 3 ปี เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.05 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัลมูลค่า 10,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 99 รางวัล ๆ ละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 300 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 1,000 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 2,000 รางวัล ๆ ละ 1,000 บาท รางวัลที่ 5 มี 10,000 รางวัล ๆ ละ 500 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 100,000 รางวัล ๆ 50 บาท และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 2,000,000 รางวัล ๆ ละ 10 บาท รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 47,490,000 บาทต่อเดือน โดยจะออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2564 ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) ได้อีกด้วย


ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page "ธกส BAAC Thailand" และ "ธกส บริการด้วยใจ" Youtube Channel "BAAC Thailand" หรือทาง ธ.ก.ส. A-Mobile โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555