• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jenny937

#2881
ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์  ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย    ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์ 'ข้าวปลอดสาร' ดีต่อสุขภาพ    กลุ่มข้าวปลอดสารสุรินทร์   ปลูกข้าวปลอดสาร กันมั้ย   ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 
การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( ข้าวออร์แกนิคไทยมีราคาแพง
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  การทำนาข้าวออร์แกนิค
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์ เส้นทางผลิตข้าวออร์แกนิคสุรินทร์  

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  สถานการณ์ข้าวอินทรีย์ไทย

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique เกษตรอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 
 
#2882


เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ประกาศแผนรุกธุรกิจหลังประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน พร้อมก้าวสู่กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร เชื่อมต่อโลกการเงินปัจจุบันสู่โลกดิจิทัลหรือ Digital Financial Service มั่นใจรายได้และกำไรปีนี้แตะ 3 หลักในตัวเลขที่สูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อมั่นรายได้จะเติบโตก้าวกระโดดในปี 2565 พร้อมเดินหน้าธุรกิจ ICO ต่อเนื่อง เร่งขอไลน์เซนส์เพิ่มอีก4ใบ

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) เปิดเผยว่า ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเอ็กซ์สปริง ทั้งการเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" และการได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จนสามารถเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน รวมถึงการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ใน Digital Financial Service โดยปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน

"การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้เอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะนำไปพัฒนาธุรกิจใน 3 ด้าน อาทิ 1. ธุรกิจดิจิทัล: มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 2. ธุรกิจปัจจุบัน ในการขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี 3. ชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน"

สำหรับผลประกอบการของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ถือว่าน่าพอใจ โดยมีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 791% ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวก และทำให้เชื่อมั่นว่าแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่งในช่วงต่อจากนี้ จะทยอยส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดได้ในปี 2565

นายระเฑียร กล่าวต่อว่า 3 จุดแข็งของเอ็กซ์สปริง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ พันธมิตร – เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ โดยมีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจให้เติบโต ในด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital) นอกจากนี้เอ็กซ์สปริงจะพัฒนาต่อยอดในอนาคต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วยโดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตทำธุรกิจเพิ่มเติมอีก 4 ไลน์เซนส์โดยคาดว่าจะได้ในปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างแพลตฟอร์มมีความสมบูรณ์มากขึ้น

ส่วนบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด "XSpring AMC" บริษัทย่อยของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ร่วมมือกับแสนสิริ "ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์" ที่ประกอบด้วยลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย และสัญญาหลักประกันซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) เพื่อนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว โดยได้เริ่มดำเนินการแล้วในไตรมาส2ที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจ Digital Finance ผ่านเอ็กซ์สปริง ดิจิทัล ผู้ ให้บริการระบบได้เสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ออก ICO 2 ตัวในปีนี้ คือ "โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ" (SiriHub Investment Token) ซึ่งเป็น Real Estate-backed ICO ตัวแรกของไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะเปิดขายในเดือนหน้า และ "Ready to use Utility Token" ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์และ EV Charging Ecosystem ของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งด้านการให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจร รวมถึงการเปิดรับคริปโทในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าส่วนกลางของแสนสิริทุกโครงการ ครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

"เอ็กซ์สปริง ยังมีแผนการเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset broker and dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital asset fund manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูง เป็นต้น กลุ่มธุรกิจเอ็กซ์สปริง ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจ และขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจการเงิน ขับเคลื่อนธุรกิจเต็มที่อย่างไม่หยุดยั้ง สร้างโอกาสการลงทุนที่หลากหลายและเหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนและความพึงพอใจให้กับนักลงทุนที่สนใจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่รวมทั้งกลุ่ม Wealth อันจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ผู้นำบริการทางการเงินครบวงจรทั้งโลกการเงินปัจจุบันและโลกการเงินดิจิทัลได้ในที่สุด"
#2883


บมจ.แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB หนึ่งในบริษัทผู้ในห้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยควบคู่กับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม และ บมจ.มาสเตอร์ แอด หรือ maco ผู้ประกอบการธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งนอกบ้านที่เป็นสื่อออฟไลน์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เข้าลงทุนร่วมใน Zipmex บริษัทผู้ประกอบการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

Zipmex แพลตฟอร์มด้านการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือสำหรับการนำโทเค็นยูทิลิตี้สูงสุดในประเทศไทยอย่าง ZMT มาผนึกกำลังรวมเข้ากับระบบนิเวศการโฆษณาในหลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนครั้งใหญ่ของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากขึ้น ซึ่งจะประกาศรายชื่อในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้จะช่วยให้ Zipmex เข้าถึงลูกค้าหลายล้านรายทั่วประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ Plan B และ MACO ได้ตัดสินใจร่วมมือกันลงทุนในแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่สอดคล้องกับกฎระเบียบมากที่สุดในภูมิภาค แพลน บี เป็นผู้ให้บริการโฆษณาสื่อโฆษณานอกบ้านด้วยแพลตฟอร์มนวัตกรรมที่หลากหลาย ประกอบกับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกมในประเทศไทย และ บริษัท มาสเตอร์แอด จำกัด (มหาชน) ("MACO") มีพื้นที่สำหรับการโฆษณากว่า 2,000 แห่งที่ครอบคลุมมากที่สุด การลงทุนจากบริษัทสื่อโฆษณาชั้นนำทั้งสองแสดงถึงความเชื่อมั่น ความไว้วางใจในสินทรัพย์ดิจิทัล และแนวโน้มการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีต่อสังคมในอนาคต

นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Zipmex ประเทศไทย กล่าวว่ามีความเชื่อมั่นว่าปี 2564 เป็นปีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในปีที่แล้ว Zipmex ประสบความสำเร็จในการระดมทุนมากกว่า 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำโดย Jump Capital บริษัทการลงทุนสัญชาติอเมริกันที่มีบริษัทพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งรวมถึง TradingView ซอฟต์แวร์สร้างแผนภูมิบนคลาวด์ และซอฟต์แวร์โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับนักลงทุนมือใหม่ และนักลงทุนระดับสูง

ขณะที่ปริมาณการซื้อขาย Zipmex ครึ่งปีแรกมีมูลค่ากว่า 62 พันล้านบาท โดยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจของไทย และคาดว่าจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งสัดส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตกว่า 2,540% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และได้มีการวางแผนขยายการเติบโตอีก 310% สำหรับการซื้อขายในช่วงที่เหลือของปี 2564

"Zipmex ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมผ่านคริปโทฯ เช่นเดียวกับการใช้คริปโทฯ ในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้เรายังคงมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมช่องว่างระหว่างการเงิน และไลฟ์สไตล์ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ Plan B และ MACO ได้มอบความไว้วางใจที่สำคัญเช่นนี้ให้กับเรา"

ด้านนายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ("Plan B") กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นว่า Zipmex เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีทีมงานที่มีความสามารถในอุตสาหกรรมนี้ พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัว เราพร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตของ Zipmex ผ่านช่องทางสื่อโฆษณาของเรา การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของเราในธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม ซึ่งรวมถึงธุรกิจสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกม เรามั่นใจว่าการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้จะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Plan B "

เกี่ยวกับ Zipmex (ซิปเม็กซ์)

"ซิปเม็กซ์" เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศไทย รวมถึงประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย โดยมุ่งเน้นมุ่งเน้นการให้บริการนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
#2884


การพัฒนาในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตและเกิดความเจริญในหลายด้าน แต่การพัฒนาที่ผ่านมานั้นก็ได้สร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ทั่วโลกจึงตื่นตัวในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในปี ค.ศ. 2000 ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ได้ร่วมรับรองเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ตั้งเป้าบรรลุการสร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี ค.ศ. 2015 อย่างไรก็ตาม ผลการพัฒนายังมิได้บรรลุเป้าหมาย ยูเอ็นจึงได้ริเริ่มกระบวนการหารือใหม่ โดยวางกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในปี ค.ศ. 2030

เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เช่น การขจัดความยากจน การขจัดความหิวโหย  การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ความเท่าเทียมทางเพศ  การมีน้ำสะอาดและสุขอนามัยที่ดี พลังงานสะอาด การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การรับมือกับสภาพภูมิอากาศ

หลายองค์กรยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ สภาพัฒน์ฯได้ยึดเป้าหมาย SDGs ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กำหนดความยั่งยืนเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565) และส่งเสริมให้สถาบันการเงินตระหนักถึงความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงานความยั่งยืน ขณะที่สมาคมธนาคารไทย ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานโครงการ Sustainable Banking และต่อมาได้มีการจัดตั้งฝ่ายงานด้านนี้ขึ้นในธนาคารพาณิชย์

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ก็มีบทบาท "ฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่" ผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจใหม่ที่คำนึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลหรือ ESG ให้มากขึ้น ซึ่ง "บนเส้นทางวิถีใหม่แห่งความยั่งยืน" จะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว มีการผลักดันจากระดับบนสู่ล่าง (Tone from the top) เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมให้กับพนักงานทุกระดับ เกิดพลังร่วมในการขับเคลื่อน

หลายองค์กรที่เข้ามาลงทุนในอีอีซีต่างก็ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ส่งเสริมจริยธรรมการทำงานที่ดี พัฒนานวัตกรรมหรือกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่วินาทีนี้ต้องตระหนักถึงการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายมากขึ้น (Meaningful Engagement) อาทิ มลพิษทางอากาศไม่เกินค่ามาตรฐาน การรักษาคุณภาพน้ำ การไม่มีสิ่งปนเปื้อนของสารโลหะหนักชายทะเล เป็นต้น

หลังโควิด-19 คลี่คลาย ภาคอุตสาหกรรมของไทยจะก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก และทำงานแทนคน ลดการติดต่อหรือการสัมผัสกัน ธุรกิจจะเข้าสู่ระบบอีคอมเมิร์ซมากขึ้น รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทานที่จะถูกตัดทอนให้สั้นลง

กระแสการย้ายฐานการผลิตของบริษัทจากต่างชาติที่มีมาก่อนโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กำหนดทิศทางการลงทุนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หลายบริษัทจึงอยู่ระหว่างตัดสินใจหา "ฐานที่มั่น" การลงทุนใหม่ หนีภัยเทรดวอร์มายังประเทศหนึ่งในอาเซียน ระหว่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย

"อีอีซี บนเส้นทางวิถีใหม่แห่งความยั่งยืน" ยังต้องเผชิญความท้าทายอีกมาก ทั้งปัจจัยระยะสั้นที่เป็นอุปสรรคสำคัญ คือ การระบาดโควิด-19 ที่รุนแรง กระทบต่อกำลังการผลิต ตู้สินค้าไม่เพียงพอ ค่าระวางเรือขาขึ้น การขาดแคลนแรงงาน รวมไปถึงการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ที่เกิดขึ้นในบางอุตสาหกรรม ปัจจัยระยะกลางที่กำลังมุ่งสู่ทิศทางอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว อาทิ สังคมสูงอายุ การดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
#2885


สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์ (16ส.ค.)ปรับตัวร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ ถือเป็นการปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 3 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของความต้องการใช้น้ำมันในจีน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ลดลง 1.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.51 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทั้งนี้ จีนเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ขยายตัวเพียง 8.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.5% และต่ำกว่าระดับ 12.1% ของเดือนมิ.ย.

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ

นอกจากนี้ การกลั่นน้ำมันดิบของจีนในเดือนก.ค.ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบรายวันนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 ขณะที่โรงกลั่นอิสระพากันลดการผลิตน้ำมัน อันเนื่องจากกำไรที่ลดต่ำลง

สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ออกรายงานเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะฉุดความต้องการใช้น้ำมันลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ไออีเอ ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2564 ลงสู่ระดับ 5.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ไออีเอได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2565 สู่ระดับ 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 3 ล้านบาร์เรล/วัน
#2886


วันนี้ (16 สิ.ค.) สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ขอเชิญทุกท่านเตรียมตัวพบกับงานสัมมนารูปแบบVirtual Conference ในงาน Thailand Management Day 2021 , TMA Club : Addressing the Uncertaintyงานที่จะช่วยให้ท่านพบทางออกในการจัดการกับความไม่แน่นอนในยุค Covid-19 ระลอก 3 แต่ละอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวอย่างไรที่จะพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ นับเป็นความท้าทายสำหรับองค์กร และผู้ประกอบการ ที่จะต้องเติบโตต่อไปในยุค New Normal งานสัมมนาดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 เวลา 08.30-17.00 น.

ในงานสัมมนาจะมีวิทยากรชั้นนำ รวมทั้งผู้บริหารของภาครัฐเอกชน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมเผยเคล็ดลับ พร้อมถ่ายทอดมุมมอง เทคนิค และให้คำแนะนำในสิ่งที่ควรทำนับจากนี้ จาก 6 กลุ่มได้แก่ Corporate Performance / Marketing / People Development / Technology Innovation / Digital Transformation /Operation Excellence มาร่วมกันระดมสมองเพื่อนำเสนอโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอดเสนอแนวทางการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และองค์กร ซึ่งจะต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน มีความผันผวนสูงและคาดเดาไม่ได้หลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ครอบคลุม แนวคิดการวางแผนกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติการทำการตลาดรูปแบบใหม่ที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิม ทำความรู้จัก และวิธีการปรับใช้ IR4 เพื่อพัฒนางาน Operation ให้รองรับการปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที การสร้าง Customer Experience ที่ต้องปรับตัวทั้ง front end &back end ที่นำไปสู่ Digital Service Innovation หลักการเฟ้นหา Innovation และวิธีการผสมผสานความรู้ภายในเข้ากับภายนอกองค์กร เพื่อสร้างนวัตกรรมแบบเปิด (open innovation) ที่ทันสมัย รวมทั้ง แนวทางการสร้าง และสรรหาบุคลากรที่มีทักษะอนาคตเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในยุคแห่งความไม่แน่นอน

งาน Thailand Management Day 2021, TMA Club : Addressing the Uncertainty นี้ เหมาะกับผู้บริหารองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการตลาด ดิจิตัล สตาร์ทอัพ และผู้สนใจทั่วไปโดยบัตรเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ราคา1,200 บาท/ ท่าน และสมาชิก TMA ในราคาพิเศษ 900 บาท/ท่าน (จำกัดจำนวนที่นั่ง) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณหัสทยา / คุณกมลวรรณ โทรศัพท์ 02-319-7677 ต่อ 146 , 264 หรือ 086-0987310
#2887


ค่าเงินริงกิตร่วงลงมาอยู่ที่ 4.2410 ริงกิต/ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ค.2563 ขณะที่ดัชนี FTSE Bursa Malaysia KLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ร่วงลง 0.6% หลังเริ่มเปิดการซื้อขายได้ไม่กี่นาที

สื่อหลายสำนักรายงานว่า นายยัสซินเตรียมลาออกจากตำแหน่งในวันนี้ หลังสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภา

ด้านสำนักข่าวมาเลเซียกินิของมาเลเซีย รายงานโดยอ้างนักการเมืองรายหนึ่งว่า นายยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตรียมลาออกจากตำแหน่งในวันนี้ แม้ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งลั่นเดินหน้าต่อสู้ในสภาหลังถูกบีบให้ลงจากตำแหน่ง

รายงานข่าวระบุว่า นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ได้แจ้งให้สมาชิกพรรคทราบเรื่องการตัดสินใจลาออกแล้ว โดยเขาจะเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีรอบพิเศษในวันนี้ ก่อนที่จะยื่นลาออกต่อกษัตริย์อัล-สุลต่าน อับดุลลาห์ หลังประชุมเสร็จแล้ว

นายยัสซินซึ่งก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเดือนมี.ค.ปีที่แล้วได้ครองที่นั่งเสียงข้างน้อยในรัฐสภา โดยนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายยัสซินพยายามหลีกเลี่ยงการโหวตเสียงในรัฐสภาเพราะเกรงว่าพรรคฝ่ายค้านจะใช้สิทธิในการโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

นายยัสซินเผชิญกับแรงกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากกษัตริย์อัล-สุลต่าน อับดุลลาห์ ได้แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลเพิกถอนกฎหมายว่าด้วยการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภาตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ
#2888


เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในฐานะประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลพิเศษให้แก่นักกีฬาและผู้ฝึกสอน สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่สำนักงานใหญ่ ธอส. โดยมี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. และคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารฯ พร้อมด้วยทีมเทควันโดไทย

นำโดย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย, "น้องเทนนิส" เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ 2020 รุ่น 49 กก.หญิง, "จูเนียร์" รามณรงค์ เสวกวิหารี จอมเตะรุ่น 58 กก.ชาย, "โค้ชเช" เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอน และ "โค้ชชิต" นายวิชิต สิทธิกัณฑ์ ผู้ฝึกสอน ร่วมในพิธี

สำหรับพิธีมอบรางวัลพิเศษให้แก่ทีมเทควันโดไทยในครั้งนี้ คณะผู้บริหารของ ธอส. ได้มอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 3 ล้านบาท ให้กับ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ รวมทั้งมอบเงินรางวัลพิเศษ 5 แสนบาท ให้กับ รามณรงค์ เสวกวิหารี และ 3 มอบเงินรางวัลพิเศษ อีก 5 แสนบาท ให้กับ โค้ชเช ยอง ซอก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4 ล้านบาท

นายยุทธนา หยิมการุณ กล่าวว่า "น้องเทนนิส" สามารถคว้าเหรียญทองเหรียญประวัติศาสตร์เหรียญแรกของกีฬาเทควันโด จากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ธอส. ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬาเทควันโดฯ มาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 16 ปี โดยให้การสนับสนุนปีละ 17 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 260 ล้านบาท รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมาคมฯ พัฒนาวงการเทควันโดให้โดดเด่น สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ในเวทีการแข่งขันระดับโลกมากกว่า 160 รายการ รวมถึงการคว้าเหรียญทอง "โตเกียวเกมส์" มาได้สำเร็จ ทำให้คนไทยมีความสุขท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ และยืนยันว่าเราพร้อมสนับสนุนสมาคมฯ ในการพัฒนาวงการเทควันโดต่อไป

"น้องเทนนิส" กล่าวว่า ขอขอบคุณ ธอส. ที่ได้สนับสนุนสมาคมฯ และนักกีฬาเทควันโดไทย มาอย่างยาวนาน จนประสบความสำเร็จคว้าเหรียญทองที่รอคอยร่วมกัน เงินรางวัลที่ได้รับตั้งใจจะมอบให้กับคุณพ่อสิริชัย เอาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว โดยปีที่แล้วซื้อบ้านให้พ่อ จึงยังต้องผ่อนบ้านอยู่ ส่วนหนึ่งจะเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาในอนาคต ที่สำคัญจะเก็บเป็นเงินออมไว้ด้วยเพราะเชื่อว่าหากเรามีเงินเก็บไว้ นอกจากจะเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินแล้ว เงินออมยังมีผลตอบแทนด้วย ส่วนจะเอาไปลงทุนทำอะไรในอนาคตนั้นก็ต้องปรึกษากับพ่อก่อน

"หนูตั้งใจว่าจะเก็บเป็นเงินออมทรัพย์กับ ธอส. เพราะถือว่าเป็นวิธีการเก็บเงินที่ดีที่สุด โดยหนูตั้งใจว่าอยากจะซื้อสลาก ธอส. สัก 1 ล้านบาท อีกด้วย" น้องเทนนิส กล่าว

ขณะที่ "โค้ชเช" และ "จูเนียร์" ได้ซื้อสลากออมทรัพย์กับ ธอส. คนละ 1 แสนบาท อีกด้วย

ส่วน "บิ๊กเอ" ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ กล่าวว่า เป้าหมายต่อไปคือโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเราต้องเดินหน้าเตรียมแผนงานกันทันทีเพราะเหลือเวลาไม่มาก ขณะที่ "น้องเทนนิส" ยืนยันมีความพร้อมเต็มที่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือจะพยายามคว้าเหรียญทองมาให้ได้อีกสมัย.
#2889


นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ได้เตรียมพร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ตามนโยบายของภาครัฐ หรือ Restart Thailand โดยจะเร่งรัดดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณในปี 2564 ตามแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่วางไว้ ในส่วนของโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและขยายระบบส่งไฟฟ้าครอบคลุมทั้งประเทศ จำนวน 17 โครงการ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2564-2573 คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมทั้งสิน 242,567 ล้านบาท


โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ปี2564-2568 จะมีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 136,405 ล้านบาท และระยะที่สอง ปี2569-2573 มีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 106,162 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนสายส่งระดับแรงดัน 115,230 และ 500 กิโลโวลต์ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า เสริมความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้า การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า Smart Grid การปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพ และสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. อีก 2 โครงการ กับ 1 แผนงาน ที่อยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติโครงการ ได้แก่ 

1.โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 (SEZ1) วงเงินลงทุน 2,150 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2568 เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้แก่บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.เมือง จ.มุกดามาร ในระยะยาว และรองรับการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน



2.โครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปยังบริเวณอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (SPSS) วงเงินลงทุน 11,230 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการส่งกำลังไฟฟ้าบริเวณเกาะสมุย และบริเวณข้างเคียง (เกาะพะงันและเกาะเต่า) และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย จะชะลอตัวในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี แต่มีแนวโน้มจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นหลังผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งระบบไฟฟ้าในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ กฟผ.จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนงาน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่อไป

โดยทั้ง 2 โครงการนี้ ได้นำเสนอต่อปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2563


และ 3.โครงการแผนลงทุนระยะยาว-แผนใหม่ แผนงานปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (HSIT)วงเงินลงทุน 1,600 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อช่วยรักษาและเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในการจ่ายไฟฟ้าของ สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของอุปกรณ์ภายใน สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ โดยปัจจุบันโครงการนี้ ได้รับการอนุมัติแผนการลงทุนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แล้ว

"ช่วงไตรมาส1ปีนี้ กฟผ.มีการเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน ไตรมาส 2 ก็คาดจะเบิกจ่ายได้ตามแผน ส่วนไตรมาส 3-4 ก็จะพยายามทำให้ได้ตามเป้า"


นายบุญญนิตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ.ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการอีก 2 โครงการ คือ 1.โครงการขยายระบบไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ระยะที่ 4 (BSB4) วงเงินลงทุน 5,800 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2571 เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเขตเมืองหลวง ซึ่งเป็นศูนย์การของส่วนราชการ ธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยว และรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

และ 2.โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 3 วงเงินลงทุน 23,380 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2570 เพื่อปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และเพื่อลดปัญหาความสูญเสียที่เกิดจากไฟฟ้าดับเรื่องจากอุปกรณ์ขำรุด
#2890


'โควิด-19' เชื้อไฟชั้นดีให้ 'พืชสมุนไพร' ของไทย 'บูม' ในตลาดโลก !! วลีเด็ดของ 'จุลภาส (ทอม) เครือโสภณ' ผู้ก่อตั้ง บริษัท (Founder) บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด หรือ GTH บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' เช่นนั้น ซึ่งสอดคล้องกลับเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการผลักดันพืชสมุนไพรของไทย เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก !

เมื่อโอกาสธุรกิจกำลังเข้ามาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้พืชสมุนไพร่ไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดโลก...

ประกอบกับเมืองไทยกระทรวงสาธารณสุขประกาศ 'ปลดล็อก' ให้ใช้ประโยชน์บางส่วนของพืชเศรษฐกิจ 'กัญชง' ในเชิงการค้าได้ โดย อย. ได้เปิดให้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่การปลูก โรงงานสกัดสาร CBD ผลิตและจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

สอดรับแผนการให้ บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป รวมทั้งธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช หรือ Plant-Based Food ของ 'แดน ปฐมวาณิชย์' เข้ามาถือหุ้นสัดส่วน 49% และมีโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มได้ถึง 51% แต่ยังไม่ใช่ระยะใกล้นี้ เพื่อร่วมกันขยายตลาดผลิตภัณฑ์จากพืชเศรษฐกิจไทยสู่ตลาดโลก หลัง NRF เข้ามาถือหุ้นทีมผู้บริหารเดิมของ GTH ยังทำงานต่อไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ด้วยการลงทุนในธุรกิจกัญชง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และธุรกิจแฟรนไชส์ Hemp House

โดย GTH ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยการนำเข้าเมล็ดกัญชงสายพันธ์ที่มีคุณภาพ พัฒนาการปลูกและสกัดกัญชง ตลอดจนการพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมรสชาติกัญชงภายใต้แบรนด์ของ GTH เช่น Kinchakan, TOM , และช่อผกา

อีกทั้งบริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ กับแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ อาทิ Dentiste Smooth E , เซียงเพียวอิ๊ว เพื่อต่อยอดและพัฒนาธุรกิจกัญชงในประเทศไทย

ดังนั้น เป้าหมายในปี 2564 จึงต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาด 'ต่างประเทศ' โดยคาดว่าปลายปีนี้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 60% จาก 30% หรือเพิ่มขึ้น 'เท่าตัว' โดยปี 2563 สัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% และเป้าหมายรายได้ปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาท !! 

'ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเรากำลังเน้นตลาดขยายต่างประเทศ ตั้งเป้าปลายปีสัดส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีก่อนที่สัดส่วนรายได้อยู่ในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากตลาดต่างประเทศเวลาส่งออกที่จะเป็นวอลุ่มที่ใหญ่มาก โดยวอลุ่มที่ใหญ่จะเป็นสารสกัดจากกัญชง สารสกัดใบกระท่อม' 


นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัว 'ธุรกิจแฟรนไชส์' ร้านจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง ภายใต้แบรนด์ 'Hemp House' ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศให้นำกัญชงใช้ในเชิงพาณิชย์ได้และ และองค์การอาหารและยา (อย.) ยังเปิดให้เอกชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตปลูกกัญชงในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อธุรกิจได้ รวมถึงใช้กัญชงในส่วนผสมของเครื่องดื่ม ,อาหาร, อาหารเสริม และเครื่องสำอาง

โดย ล่าสุดเมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา NRF และ GTH ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปลูกกัญชงกว่า 400 ไร่ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อผลิตกัญชงสายพันธุ์ไทยให้มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ 



สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อ 1.พัฒนาและวิจัยการปลูก การสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ 2.เพื่อร่วมมือในการทดลอง วิจัย ปลูกและสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงสายพันธุ์คุณภาพที่บริษัทนำเข้าเมล็ดพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เบื้องต้น 400 ไร่ โดยบริษัท จะเป็นผู้รับผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากมหาวิทยาลัย 

3.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชงโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ได้มาซึ่งกัญชงสายพันธุ์ไทยที่มีค่าสาร CBD สูงและค่าสาร THC ต่ำตามที่กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตจากสายพันธุ์กัญชงไทยที่มีการพัฒนาคุณภาพ 4.เพื่อร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การนำผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีส่วนผสมของกัญชงหรือสารสกัดกัญชงที่มาจากการพัฒน่ร่วมกันให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

5.เพื่อร่วมมือในการ พัฒนาและสกัดโปรตีนจากพืชกัญชง รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้โปรตีนสูงจากโปรตีนของพืชกัญชง และ 6.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาและจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาในเรื่องโปรตีนจากพืชสนับสนุนและจัดสรรบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตรดังกล่าว


โดยสกัดกัญชงเป็นแคนนาบิไดออล (cannabidiol) หรือ CBD เทอร์พีน (Terpenes) และน้ำมันกัญชง (Hemp Oil) ซึ่งเป็นสารไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท สามารถใช้รักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ โดยหลังจากสกัดกัญชงแล้วบริษัทตั้งเป้านำมาผลิตเป็น ซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศมากกว่า 36 ประเทศทั่วโลก ทั้งโซนยุโรป สหรัฐฯ ภายในเดือนธ.ค.2564 

สำหรับ 'จุดเด่น' ที่ทำให้ NRF และ GTH แตกต่างจากคู่แข่งทางธุรกิจรายอื่นคือ บริษัทมีพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีที่มีโรงสกัดขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในวงการด้านการปลูกและสกัดกัญชง หรือ สาร CBD และ Terpenes ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

'ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจกัญชงในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่าหลังจากเริ่มปลูกและสามารถเก็บเกี่ยว เพื่อนำมาสกัดสารสำคัญต่างๆจะทำให้ตลาดสามารถขยายไปได้มากทั้งในประเทศและต่างประเทศ'

พร้อมผลักดันกัญชงและผลิตภัณฑ์จากกัญชงให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในเร็วๆ นี้ บริษัทยังได้วางแผนนำสมุนไพรไทยชนิดอื่นๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว และกระท่อม มาให้เกษตรกรปลูกเพิ่มเติมโดยช่วยควบคุมคุณภาพของการปลูกกัญชงและการทำเกษตรพันธสัญญา และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมจัดจำหน่ายไปทั่วโลก

สอดคล้องกับประกาศแล้ว พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ปลดพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ ส่งผลให้บริษัทศึกษาส่งออกผลิตภัณฑ์สารสกัดจากใบกระท่อมไปในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากใบกระท่อมวางจำหน่ายในเดือนธ.ค.นี้ เบื้องต้นจะเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลัง 

ท้ายสุด 'จุลภาส' ทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสการเติบโตของธุรกิจสุขภาพที่มาจากพืชสมุนไพร ประกอบกับที่ผ่านมาได้เดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศมาแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและน่าสนใจลงทุน จึงได้ร่วมกับพันธมิตรคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชงออกมาใช้ในด้านของการรักษาสุขภาพ และเพิ่มความผ่อนคลาย รวมถึงส่งเสริมให้การนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น
#2891


โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชนที่มีฐานะยากจน "ปทุมธานีโมเดล" เป็นโครงการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่เคยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณริมคลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในอดีตคลองรังสิตเป็นคลองสายหลักในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี มีการขุดคลองนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2433 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้คลองรังสิตนี้ ทำหน้าที่ระบายน้ำจากแม่น้ำนครนายกกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆเพื่อเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของทุ่งรังสิต การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาริมคลองนี้มีชุมชนเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เป็นรูปแบบบ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนที่บุกรุก โดยพบว่าชุมชนบุกรุกมีการก่อตั้งบ้านเรือนรุกล้ำเข้าไปในคลองต่างๆจำนวนมาก ทำให้ปัญหาเรื่องการระบายน้ำ การแก้ไขปัญหาการระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนในการรักษาความสะอาด รวมทั้งการรื้อถอนบ้านเรือนประชาชนที่รุกล้ำลำคลอง

ในปีพ.ศ.2559รัฐบาลได้มี นโยบายแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกที่สาธารณะริมคลอง สร้างโอกาสให้มีที่พักอย่างอาศัยที่มั่นคง ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่สาธารณะริมคลองหนึ่ง ใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้รับการจัดสรรพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงในด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการปทุมธานีโมเดล

นาย ธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการปทุมธานีโมเดล ว่า " ปทุมธานีโมเดล มุ่งแก้ไขพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่อยู่บริเวณริมคลองในเขตปทุมธานี ในบริเวณ คลอง 1 ซึ่งมีชุมชนที่บุกรุก 16 ชุมชน 1000 กว่าครัวเรือน กระทรวงการพัฒนาชุมชน ร่วมกับผู้ว่าจังหวัดปทุมธานี ร่วมมือกัน จัดทำโครงการ "ปทุมธานีโมเดล" แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน โครงการปทุมธานีโมเดล มีการแก้ปัญหา 3รูปแบบ



รูปแบบที่ 1เป็นการร่วมมือของ 3 หน่วยงานคือ จังหวัดปทุมธานี กรมธนารักษ์ และ พ.อ.ช. กรมธนารักษ์จัดหาที่ราชพัสดุ ประมาณ 30 ไร่ ใกล้กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัย โดยวางแผนจัดสร้างเป็นที่พักแบบอาคารชุด 6 อาคาร โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้ว 4 อาคาร และเริ่มมีเข้าผู้พักอาศัยแล้ว

รูปแบบที่ 2 ชุมชนรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ รวมกันซื้อที่ดินเองในการปลูกสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัย ได้ซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่เศษ ประชาชนประมาณ 100 กว่าครัวเรือน รื้อบ้านที่อยู่ริมคลอง มาอยู่ในที่ดินแห่งใหม่ โครงการก็เริ่มมาตั้งแต่ 2559 เหมือนกับโครงการรูปแบบที่ 1 และดำเนินการสร้างพักเสร็จปลายปี 2560 ประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยได้ประมาณ 3 ปี แล้ว โครงการรูปแบบที่ 2 นี้ สำเร็จไปแล้วทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์

รูปแบบที่ 3 คืออยู่บริเวณเดียวกับรูปแบบที่ 1 ในพื้นที่ 30 ไร่ ของราชพัสดุ โดยเป็นชุมชนที่บุกรุกเดิมในพื้นที่ เปลี่ยนจากการบุกรุกมาสู่การสร้างที่พักอาศัยในบริเวณเดิมที่บุกรุกของจำนวน 34 ครัวเรือน

การคืบหน้าของโครงการทั้ง 3 รูปแบบ มีประชาชนที่เข้ามาพักอาศัยแล้ว 300 ครัวเรือน จากเป้าหมาย 1084ครัวเรือน เป็นพื้นที่รวม 16 กิโลเมตร ตั้งกระจายอยู่ตามเส้นทางตั้งแต่ ชุมชนริมคลอง 1 ถึงวัดคุณหญิงส้มจีน อีก 700 กว่าครัวเรือนจะเป็นระยะต่อไป ที่จะต้องพูดคุยกับชุมชน และหาที่ดินรองรับ ให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อเข้าสู่โครงการระยะต่อไป


จากความสำเร็จของโครงการที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร และปทุมธานีโมเดลระยะที่ 1 ได้สร้างความสั่นคงในที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน นับเป็นความสำเร็จที่ ทำให้เกิดความเข้าใจและการตอบรับที่ดีจากชุมชน ในโครงการปทุมธานีโมเดล ระยะ ที่ 2

บ้านที่อยู่อาศัย นับเป็นปัจจัย 1 ใน 4 ในการดำเนินชีวิต เริ่มจากการมีบ้านที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี และมีชุมชนที่เข็มแข็ง จะทำให้การเดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาน ทำได้อย่างเต็มที่และมรประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาต่างๆก็ดีขึ้น เช่นปัญหาการป้องกันแพร่กระจายของโควิด – 19 ในชุมชนที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะทำได้ดีกว่าชุมชนเดิม ที่เป็นชุมชนแออัด เพราะในชุมชนมีพื้นที่ส่วนกลางของสหกรณ์ที่สามารถนำมาปรับให้เป็นพื้นที่พักคอยรอการส่งต่อ และในบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น มีห้องพักที่สามารถให้ผู้ป่วยในระบบ Homeisolate ผู้ป่วยสามารถแยกกักตัวได้ การมีผู้นำชุมชนแบบเป็นทางการจากชุมชนใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความแข็งแรงของชุมชน สามารถดูแลสมาชิกในชุมชนได้ดีขึ้นเป็นระบบมากขึ้น การจัดทำโครงการบ้านมั่นคงในรูปแบบสหกรณ์เป็นกลไกลในการบริหารโครงการกรรมการสหกรณ์ก็สามารถเป็นกลไกลที่ช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนได้ การดำเนินโครงการต้องมีอุปสรรคบ้างจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยปัญหาเหล่านี้ทาง พ.อ.ช เน้นเรื่องการพูดคุย สร้างความเข้าใจให้กับคนในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่ เข้าใจและให้ความร่วมมือทำให้โครงการดำเนินต่อไปได้อย่างดี การพัฒนาที่อยู่อาศัยอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ ชาติ 20 ปี เป็นนโยบายที่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดำเนินการ โดยมีจุดมุ่งหมายว่าประชาชนทุกคนต้องมีบ้านที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีชุมชนที่เข็มแข็ง ทุกคนภายในปี 2579 พ.อ.ช.มุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายตามแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม มีสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างชุมชนที่ดี สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนทั่วประเทศ

นอกจากที่อยู่อาศัยที่มั่นคงอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว การมีอาชีพที่มั่นคงถือเป็นความสำคัญ ประชาชนมีรายได้เลี้ยงตนเอง สร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจให้ตนเองและชุมชน ตัวอย่างเช่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ ต.จอเบาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส

อรุณี ยะโย ประธานวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ กล่าวถึงการรวมกลุ่มว่า "วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เกิดจากการรวมกลุ่มของแม่บ้าน ที่มองเห็นถึงโอกาสในการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแปรรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เมื่อเกิดการรวมกลุ่มแม่บ้าน ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหลายหน่วยงาน เช่น พช.เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนด้านเทคนิคการผลิต การให้ความรู้ สนับสนุนอุปกรณ์ ทำให้กลุ่มเข็มแข็งมากขึ้น การดำเนินของกลุ่มจะรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรเช่นลูกหยีและผลผลิตตามฤดูกาลเช่น ส้มแขก ทุเรียน แต่ผลผลิตหลักคือลูกหยี เพราะสามารถเก็บไปได้นาน การแปรรูปลูกหยีมีหลากหลายรสชาติ สามารถจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ และยังต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน ทำให้กลุ่มและชุมชน มีรายได้จากการท่องเที่ยวและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้"

วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประสานกับการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทางกลุ่ม ให้มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกหยีกวน ลูกหยีทรงเครื่อง หรือส้มแขกแช่อิ่ม โดยที่ผ่านมาทาง วิสาหกิจชุมชนแปรรูปทางการเกษตรบ้านนากอก็ได้รับการสนับสนุน จากหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ และมอบอุปกรณ์และพัฒนาระบบการผลิตให้มาตราฐาน

น.อ.วิชชา พรหมคีรี รอง ผอ.รมน.จังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า " กอ.รมน.มีบทบาทในการประสานงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และดูแลความสงบเรียบร้อย ช่วยเหลือประชาชน มีการส่งเสริมในการประกอบอาชีพต่าง วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เป็นชุมชนที่มีความเข็มแข็ง ทั้งด้านการท่องเที่ยว และมีความสามารถ มีความคิดริเริ่มในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในท้องถิ่นให้เป็นสินค้า สามารถจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับกลุ่มและชุมชน และได้รับการส่งเสริมจากหลากหลายหน่วยงานในจังหวัดทำให้ชุมชนมีความเข็มแข็งมากขึ้น "

ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่นคงและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสมาชิกได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทางกลุ่มมีแนวคิดสร้างเครือข่ายชุมชนสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน โดยมีการหารือแนวทางในการร่วมกันบริหารจัดการและสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการขึ้นทะเบียน GMP เพื่อที่ช่วยยกระดับมาตรฐาน และสร้างความมั่นใจ

การสร้างโอกาสให้กับประชาชนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะคนทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่อย่างเท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสทางอาชีพที่เหมาะสมให้ผู้มีความบกพร่องทางร่างกายทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีอาชีพ สามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง พร้อมเปิดโอกาสให้เขาได้ทำประโยชน์แก่สังคม

โครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพและสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการ มูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เป็นมูลนิธิที่ทำงานอยู่กับคนที่มีความผิดปกติหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งอยู่ในชุมชนบัวใหญ่มาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยงานหลักของมูลนิธิ นั่นคือการช่วยเหลือและสนับสนุนคนพิการให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและความครัวได้ ผลจากข้อนี้ก็จะช่วยให้คนพิการเกิดการยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้น เกิดเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองและมีสุขภาพจิตที่ดี ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้เห็นความสำเร็จพร้อมๆ กับปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน จึงเกิดแนวคิดสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพ และสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการเพื่อให้พวกเค้าเกิดเป็นองค์ความรู้สำหรับการต่อยอด และนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาร่วมกับคนพิการต่อไปในอนาคต

นางพัชราภรณ์ ชนภัณฑารักษ์ กล่าวถึงความเป็นมาของมูลนิธิว่า "จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปัญหาของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการเข้าถึงสิทธิ์ แต่เป็นปัญหาเรื่องการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสม ทางมูลนิธิได้นำงานวิจัยมาทอดบทเรียนได้ต้นแบบ 4 ต้นแบบ นำต้นแบบมาขยายผลสู่เยาวชน 40 คน เยาวชนกลุ่มนี้ได้เข้ารับการฝึกอบรมด้านอาชีพ และกลับมาเป็นแกนนำ ต่อจากนั้นทางมูลนิธิได้ขอทุนสนับสนุน จาก กศศ เพื่อใช้ในการพัฒนาและยกระดับ กลุ่มคนพิการ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนผู้มีบกพร่องทางร่างกาย ให้เข้าถึงสิทธิ์ต่างๆของทางภาครัฐและได้รับอุปกรณ์ ส่งเสริมให้มีอาชีพ มีรายได้ และสามารถพึ่งพิงตัวเองได้ครับ ทั้งนี้มูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ได้จัดโครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพของเครือข่ายกลุ่มคนพิการขึ้น เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านภูมิปัญญางานหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่ใช้สมองและงานฝีมือ ให้พวกเขามีอาชีพและสร้างรายได้ตามศักยภาพของตนเอง และวางแผนขยายช่องทางการตลาดผ่านระบบออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากการฝึกอบรมการขายแบบออนไลน์ให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ผลปรากฏว่ามียอดการสั่งจองสินค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้พิการมีรายได้มากขึ้น"

นอกจากการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมแล้ว ยังมีการส่งเสริมอาชีพการทำการเกษตรให้กับคนพิการบางกลุ่มที่ไม่มีความถนัดในงานหัตกรรม การส่งเสริม การประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประกอบด้วยการเลี้ยงไก่ การปลูกผักอินทรีย์ โดยเน้นปลูกผักใช้น้ำน้อย สามารถดูแลได้ง่าย เพื่อให้รายได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และมูลนิธิยังคอยติดตามช่วยเหลือแนะนำ รวมทั้งรับซื้อผลผลิตของกลุ่มผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายด้วย โครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพและสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการของมูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างพลังให้กลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สร้างความภาคภูมิใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
#2892
ศูนย์ข้อมูล ผู้ค้าขายบนโลกออนไลน์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ชื้อและผู้ขายผู้ประกอบการผู้ค้าผู้ขายร่วมลงประวัติเครดิต เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของท่านได้ที่ CreditSellerThailand.com
เซ็คเครดิต
#2893


นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า "จุดประสงค์ของการเปิดตัวโฆษณารณรงค์ดังกล่าว เนื่องมาจากทุกวันนี้ในประเทศไทยมีช้างราวๆ 2,800 ตัวที่ถูกใช้ในกิจกรรมเพื่อความบันเทิง แต่เบื้องหลังที่นักท่องอาจไม่เคยรู้ คือ การพรากลูกช้างจากแม่ เพื่อนำมาฝึกตั้งแต่ยังเด็ก โดยช้างจะถูกบังคับ กักขัง ถูกขอสับซ้ำๆ ทั้งล่ามโช่ ทำร้าย ใช้งานหนัก เพื่อให้หวาดกลัวมนุษย์และเชื่องพอที่จะแสดงกิจกรรมที่ผิดธรรมชาติ การที่นักท่องเที่ยวร่วมชื่นชมการแสดงของช้างแสนรู้เป็นการสนับสนุนให้ช้างต้องถูกทรมานทางอ้อมโดยที่เราไม่รู้ตัว"

"องค์กรฯ มีเป้าหมายที่อยากเห็นช้างเลี้ยงรุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และไม่มีการผสมพันธุ์เชิงพาณิชย์อีก อยากเห็นช้างที่เป็นสัตว์ป่า ได้รับการปกป้องในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของพวกเขา ถ้าคุณรักช้าง ทุกคนต้องช่วยกันปกป้องพวกเขาให้ได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ แต่หากอยากเที่ยวอยากชมช้างจริงๆ แนะนำให้ศึกษาช้างในแหล่งธรรมชาติอย่างอุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือปางช้างที่เป็นมิตรต่อช้างซึ่งมีมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสูง""

โฆษณารณรงค์ชุดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเสียงสะท้อนสำหรับช้างเท่านั้น แต่ต้องการสร้างความตระหนักให้กับคนดูเห็นว่า เบื้องหลังของการแสดงช้างที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู จริงๆ แล้วคือช้างเหล่านี้ต้องผ่านการฝึกอย่างหนักและทารุณเพื่อยุติสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเพื่อให้ช้างเชื่องและหวาดกลัวพอที่จะออกแสดงโชว์ได้ และถ้าหากเรายังไม่หยุดสนับสนุนกิจกรรมมีเบื้องหลังโหดร้าย วงจรแห่งความทารุณนี้ก็จะสร้างความบอบช้ำไม่รู้จบ เพียงเพื่อแลกกับความบันเทิงชั่วคราวของนักท่องเที่ยว



นายฉัตรณรงค์ เมืองวงษ์ ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ป่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เปิดเผยว่า "ช้างเป็นสัตว์ป่า สมควรได้อยู่ในป่า ผลสำรวจของเราพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวในไทยเริ่มรับไม่ได้กับกิจกรรมที่เป็นการทำร้ายสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งทำให้เห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่สามารถเป็นที่พึ่งของช้างนี้ได้ เห็นได้จากข่าวเกี่ยวกับช้างตกงาน ถูกปล่อยกลับบ้าน และอดอยากมากมาย"

"เมื่อวิกฤติจากโควิด-19 บรรเทาลงแล้ว เรามองว่านี่เป็นโอกาสดีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะหันมาปรับปรุงสวัสดิภาพช้างให้ดีขึ้น ให้สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวที่มุ่งไปสู่การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐเองก็ควรจริงจังกับเรื่องนี้มากขึ้นเช่นกัน ผ่านการออกกฎหมายและนโยบายที่ปกป้องสัตว์ป่าอย่างเป็นระบบ ถ้าทำได้จริง จะกลายเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมโลกและนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย"

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา องค์กรพิทักษ์สัตวแห่งโลก พร้อมภาคีเครือข่าย นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญ ได้ร่วมผลักดันร่างพระราชบัญญัติปกป้องและคุ้มครองช้างไทย พ.ศ.... ซึ่งเป็นร่างกฎหมายฉบับแรกที่จะปกป้องช้างจากการทารุณกรรมช้างในทุกรูปแบบ ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญอย่างการยุติผสมพันธุ์ช้างเชิงพาณิชย์ ยกระดับการจัดสวัสดิภาพช้าง ยุติการใช้กระบวนการฝึกช้างที่โหดร้ายทารุณ และไม่บังคับช้างให้แสดงพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติ เป็นต้น
#2894


นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บ้านปูยังคงบริหารธุรกิจให้เดินหน้าเพื่อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสีย ภารกิจเคียงข้างคนไทยในยามวิกฤตินี้ก็เดินหน้าควบคู่ไปอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของคุณชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการของบ้านปู ซึ่งร่วมก่อตั้งกองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทยสู้ภัย COVID-19 หวยออนไลน์ขึ้น เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือและขวัญกำลังใจให้กับทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบุคลากรด่านหน้า นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิกฤติที่หนักหน่วงที่สุดและมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง บ้านปูได้จัดสรรเงินช่วยเหลือไปกว่า 120 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มโรงพยาบาล

โดย 2 ส่วนหลักมาจากที่เราสนับสนุนงบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อสร้างหอผู้ป่วยวิกฤติระบบการหายใจบ้านปู 2 แก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา และงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพและพื้นที่ใกล้เคียง 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลสมุทรปราการ โรงพยาบาลสมุทรสาคร และสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา


นอกจากนี้ยังสนับสนุนโครงการนำร่อง Telemedicine ให้แก่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์กลุ่มเครื่องพยุงอาการและช่วยชีวิต ได้แก่ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ เครื่องเฝ้าระวังและติดตามสัญญาณชีพ เครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูง เครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เช่น โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลสระบุรี และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เพื่อช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์รักษาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว และมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤติสาธารณสุขที่เกิดขึ้น



สำหรับการช่วยเหลือภาคประชาชน บ้านปูได้ขยายความช่วยเหลือสู่ชุมชนผ่านองค์กรที่เป็นสื่อกลาง เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทั่วถึง อาทิ การสนับสนุนเงินจำนวน 1.5 ล้านบาท แก่โครงการ "ต้องรอด" ของกลุ่ม Up for Thai เพื่อจัดซื้อวัตถุดิบทำอาหารสำหรับโรงครัวชุมชนต่างๆ ในการผลิตอาหารและแจกจ่ายไปยังชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

และล่าสุด บ้านปูได้สนับสนุนกล่องเราดูแลกัน หรือ Covid Care Box ซึ่งบรรจุเวชภัณฑ์และสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน พร้อมชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (Rapid Antigen Test) ผ่านเครือข่าย 'เราดูแลกัน' (We Care Network) มูลค่า 5 ล้านบาทอีกทั้งยังสนับสนุนงบประมาณรวม 7 ล้านบาทเพื่อร่วมสร้างเมรุเผาศพรวมถึงสนับสนุนกิจกรรมการฌาปนกิจให้แก่วัดอีก 20 แห่งในพื้นที่สีแดงเข้มอีกด้วย

การช่วยเหลือของบ้านปูในครั้งนี้เป็นหนึ่งในภารกิจภายใต้ "กองทุนมิตรผล-บ้านปู รวมใจช่วยไทย สู้ภัย COVID-19" มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของบ้านปู 250 ล้านบาท ที่ดำเนินการช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ทั่วประเทศ

รวมถึงช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน กองทุนมิตรผล-บ้านปูฯ ได้มอบความช่วยเหลือให้กับ 336 หน่วยงาน ใน 38 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 430 ล้านบาท 
#2895


ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่เพียงแต่ได้สุดยอดนักเตะเบอร์ 1 ของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี แบบไม่เสียค่าตัว แต่ชื่อเสียงของเจ้าตัวก็ส่งผลดีให้ยักษ์ใหญ่แห่ง ลีก เอิง ได้แฟนคลับเพิ่มขึ้นแบบอักโขทาง โซเชียล มีเดีย

เพียงแค่วันแรกที่ชูเสื้อเปิดตัว เสื้อหมายเลข 30 ของ เมสซี ในชุดของ เปแอสเช ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนขาดตลาดภายใน 30 นาที แม้จะไม่ใช่เบอร์ 10 อันเป็นเอกลักษณ์ แต่แฟนๆ ก็อยากครอบครองเสื้อซูเปอร์สตาร์คนนี้ล้นหลาม

ไม่เพียงแค่เสื้อแข่ง มีการเปิดเผยด้วยว่ายอดติดตามทางอินสตาแกรมของ เปแอสเช เดิมทีเคยมีผู้ติดตามอยู่ 19.8 ล้านยูเซอร์ แต่พอแข้งวัย 34 ปี ย้ายสู่ ปาร์ค เดอ แปรงส์ ตัวเลขก็พุ่งขึ้นอีก 20.2 ล้านยูเซอร์ ทำให้ตอนนี้ IG ของทีม มียอดติดตามเกิน 40 ล้านยูเซอร์ไปเรียบร้อย
#2896
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) ข้าวอินทรีย์  เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวออร์แกนิค(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวสุขภาพที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวorganic  ข้าวกล้องออแกนิค คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวหอมมะลิออแกนิคส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

ทำไมต้องเป็นข้าวอินทรีย์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    กลุ่มข้าวอินทรีย์สุรินทร์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์ #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคสำหรับทารก

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 
 
#2897


ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเดิมที่ประเมินว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ของดีเวลลอปเปอร์มากขึ้นในครึ่งปีหลัง 2564 แม้แต่ "ศุภาลัย" ก็ได้มีการปรับแผนการเปิดตัวจากไตรมาส 3 ขยับไปไตรมาส 4 หรือ ปี 2565 หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

ฉะนั้น คาดว่า ปี 2564 การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ลดลงกว่าปี 2563 แต่ไม่ได้หมายความว่ายอดขายจะไม่ดี เพราะแม้ยอดเปิดตัวโครงการครึ่งปีแรกลดลง แต่พบว่าโครงการแนวราบยังไปได้ทำให้ยอดขายยังดีอยู่

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปัญหาหลักนอกเหนือจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบว่า "เทรนด์การปล่อยสินเชื่อของธนาคาร" ยังมีสัญญาณที่ไม่ดีนัก บางธนาคารเริ่มเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการทำตลาดอสังหาฯ ไม่นับรวมกับการที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อโครงการยากขึ้น! ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทำให้การเปิดตัวโครงการลดลง

ขณะเดียวกัน ต้องรอดูว่า "งานก่อสร้าง" จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน? เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปิดแคมป์ก่อสร้าง 30 วันก่อนหน้านี้ ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก แรงงานกระจายตัวออกต่างจังหวัด แม้จะอนุญาตเปิดแคมป์แต่แรงงานยังไม่กลับมา 100% ต้องใช้เวลา! ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวช่วงครึ่งปีหลัง แต่ "ศุภาลัย" โชคดี!! ที่การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมอยู่ช่วงกลางปี การปิดแคมป์ 1 เดือน จึงสามารถกลับมาได้ทันเวลา เมื่อเทียบกับดีเวลลอเปอร์ที่มีกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ปลายปี มีโอกาสที่ต้องขยับไปโอนข้ามปี

ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทยังคงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นแนวราบ 18 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ ผลักดันการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรได้ต่อเนื่องตามเป้าหมาย 28,000 ล้านบาท

โดยที่ "ศุภาลัย" ได้เตรียมความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอกตลอดเวลา


สำหรับสถานการณ์การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ นั้น ขึ้นอยู่สถานการณ์การติดเชื้อ และมาตรการ "ล็อกดาวน์" มีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และกำลังซื้อลูกค้าที่ชะลอตัว

ในฐานะดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบ "เวอร์ชวล" รับชมโครงการเสมือนจริง และออนไลน์บุ๊กกิ้ง เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย รวมถึง "Supalai Private Tours" เป็นการสื่อสารและชมโครงการได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อลดการสัมผัสให้เหมาะสมกับวิกฤติโควิด!

นอกจากนี้ มุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ทั้งทรู เฮลท์ จาก ทรู ดิจิทัล สามารถพบหมอออนไลน์ หรือบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ในการผลิตซีรีส์ แนะนำโครงการ ร่วมกับ "บ้านและสวน" แชร์ไอเดียใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าที่จะนำไปตกแต่งสวนสวยงามให้ที่อยู่อาศัย

สำหรับ ผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขาย 13,005 ล้านบาท เติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 50% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท การเติบโตในครึ่งปีแรกมาจากการขายโครงการแนวราบเป็นหลัก มีมูลค่า 10,080 ล้านบาท เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีก 2,925 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่

ในครึ่งปีแรกบริษัทเปิดตัว 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท เป็น "แนวราบ" ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2564 ยึดแผนเดิมที่จำนวน 31 โครงการ มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท! ซึ่ง 22 โครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง ทยอยเปิดช่วงไตรมาส 3 เป็นแนวราบทั้งหมด 7 โครงการ และไตรมาส 4 เปิดตัวแนวราบอีก 11 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ
#2898


นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยเครือแอล.พี.เอ็น. กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ว่า จากการสำรวจของ "ลุมพินี วิสดอม" หากรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ภายในไตรมาส 3 นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ได้ใน ไตรมาส 3-4 ส่งผลการปิดโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีนี้ อยู่ที่ 52,000-60,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 265,000-300,000 ล้านบาท อยู่ในภาวะ "หดตัว" 5% ถึง "ขยายตัว" 8% เมื่อเทียบกับปี 2563

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ในปีนี้ คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่อยู่ที่ 45,000-52,000 ยูนิต มูลค่า 225,000-265,000 ล้านบาท หดตัว 5-20% เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ต่อจากปี 2563

"ถ้ารัฐบาลคุมสถานการณ์แพร่ระบาดได้ในไตรมาส 3 สามารถเร่งนำเข้าและฉีดวัคซีนได้ตามแผนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ขณะที่ภาคการส่งออกและภาคการผลิตยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดำเนินการได้ตามแผน และอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมีโอกาสกลับมาฟื้นตัว"

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 23,551 ยูนิต ลดลง 18% คิดเป็นมูลค่า 130,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 จำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลง แต่มูลค่าสูงขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการ The Forestias ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในไตรมาส 2 ทำให้มูลค่าการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ โดยรวมในครึ่งปีแรก 2564 "สูง" เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยที่เปิดที่ลดลง

จากหน่วยเปิดตัวทั้งหมด 23,551 ยูนิต เป็นโครงการอาคารชุด 9,235 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4% มูลค่า 55,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เทียบช่วงเดียวกันของก่อน มีอัตราขายได้เฉลี่ย 29% สูงกว่าปีที่ผ่าน เนื่องจากการบังคับใช้มาตรการด้านสินเชื่อ (แอลทีวี) จึงเกิดแรงกดดันต่อการตัดสินใจซื้อ บวกกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถานบันการเงินที่เพิ่มมากขึ้น


ขณะที่การเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 แต่ยังคงมีจำนวนยูนิตและมูลค่าที่มากกว่าอาคารชุด คิดเป็นสัดส่วน 61% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมด โดยมีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 14,316 ยูนิต มูลค่า 74,435 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก หดตัว 28% และ 18% ตามลำดับเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 2563 แม้การเปิดตัวจะหดตัวลงแต่บ้านพักอาศัย มีอัตราขายได้เฉลี่ย 13% ใกล้เคียงปีก่อน

โดยโครงการบ้านพักอาศัยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ "ทาวน์เฮ้าส์" ได้รับความสนใจต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น คำนึงถึงระยะห่างทางสังคมมากขึ้น และมองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ ทาวน์เฮ้าส์ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์ใหม่ 8,568 ยูนิต มูลค่า 25,267 ล้านบาท หดตัว 35% และ 33% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันปี 2563 มีอัตราขายได้เฉลี่ย14 %

"บ้านเดี่ยว" เปิดตัวใหม่ครึ่งปีแรก 2,984 ยูนิต มูลค่า 33,499 ล้านบาท หดตัว 31% และ 16% ตามลำดับ เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีอัตราขายได้เฉลี่ย 11% สูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 เนื่องด้วยเป็นสินค้าที่มีราคาขายค่อนข้างสูง และสถานการณ์เศรษฐกิจอาจไม่ได้มีผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าในระดับนี้มากนัก

สุดท้าย "บ้านแฝด" ได้รับความสนใจมากขึ้น อัตราขายได้เฉลี่ย 12% ด้วยรูปแบบบ้านที่ถูกพัฒนาให้ใกล้เคียงบ้านเดี่ยว ราคาขายเฉลี่ย 5-8 ล้านบาท จึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยครึ่งปีแรกเปิดตัวใหม่ 2,764 ยูนิต มูลค่า 15,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และ 26% เทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ในครึ่งแรกของปี 2564 คอนโดมิเนียม ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (Affordable Price) มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% จากยูนิตที่ขายได้ของคอนโดมิเนียม ขณะที่ บ้านพักอาศัย อย่าง ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด ระดับราคาขายทรงตัว
#2899


เป็นอีกหนึ่งบุคคลในวงการบันเทิง ที่ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 สำหรับหนุ่ม "ฟลุค-จิระ" นักแสดงจากละคร "ขุมทรัพย์ลำโขง" ทางช่อง 8 ที่ล่าสุด ร่วมกับ โรงพยาบาล เวชการุณย์รัศมิ์ ทำโครงการ Home isolation ด้วยการรับบริจาค เงินหรือสิ่งของ เพื่อทำถุงยังชีพจำนวน 1,000 ใบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาเร็ว รักษาเร็ว โดยมีวิธีการคือ ตรวจและจ่ายยาเลย สำหรับคน rapid positive ไปรักษาตัวที่บ้าน เนื่องจากปัญหาเตียงที่โรงพยาบาล และ โรงพยาบาลสนาม หลายแห่งเริ่มไม่เพียงพอ ล่าสุดตอนนี้คนมาบริจาคเยอะ จนต้องปิดรับบริจาคแล้ว และ หนุ่มฟลุคแย้มอีกว่า ใครไม่ทันร่วมสมทบทุนรอบแรก รอบสองยังมีอีกแน่นอน รายละเอียดที่มาที่ไปของโครงการนี้เป็นอย่างไร มีบทสัมภาษณ์มาให้อ่านกัน

ล่าสุดทำ โครงการดี ๆ ร่วมกับ รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ โครงการ Home Isolation ช่วยเหลือผู้ป่วย

เป็นการร่วมบุญกันของตัวผมกับเพื่อนๆ เกิดจากที่ผมเคยไปช่วยโรงพยาบาลนี้แถวหนองจอก ชื่อโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ ซึ่งโรงพยาบาลนี้ช่วยเรื่อง ผ้าห่ม สำหรับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลสนามที่อยู่สนามกีฬาบางกอกอารีนา ข้างๆโรงพยาบาลครับ จนคราวนี้โรงพยาบาลมีอะไรที่ต้องการ ก็จะส่งเรื่องเข้ามา เผื่อเราอยากจะทำบุญ อย่างตอนนี้ มีเรื่องห้องแรงดันลบ ที่เคยช่วยเขาไป ซึ่งตอนนี้เขาก็ส่งเรื่องเข้ามา เพราะผู้ป่วยฉุกเฉินตอนนี้เริ่มไม่มีที่อยู่ ก็ต้องใช้บริเวณลานจอดรถเป็นแรงดันฉุกเฉิน ก็ต้องใช้เงิน ผมก็ระดมเงินจากเพื่อนฝูง โพสต์เฟสบุ๊คบ้าง ทีนี้พอผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ทำให้โรงพยาบาลมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ไปโรงพยาบาลสนามก็เต็ม จนเป็นที่มาของโครงการ Home Isolation ที่ผมกับเพื่อน รวบรวมเงินสร้างกันขึ้นมา ครับ

ได้ข่าวว่าไม่ได้ทำคนเดียวด้วยโครงการนี้

"ใช่ครับไม่ใช่เงินผมคนเดียว แต่เป็นเงินของผมและเพื่อน ส่งให้กันในกรุ๊ปเพื่อนๆนักแสดงช่อง 8 เพื่อนๆสมัยมัธยม ซึ่งพวกเขาก็รู้อยู่แล้ว เวลาผมส่งเรื่องราวแบบนี้ เขาจะรู้ได้ทันทีเลยว่า ผมเอาไปทำประโยชน์จริงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกสื่อ ก็ อย่างรอบนี้ ทางโรงพยาบาลก็มีอีกหนึ่งโครงการมานำเสนอผมก็คือ ผู้ป่วยพอมาตรวจ แล้วพบ เพียงแค่พบจาก Rapid Test ไม่ต้องถึง Swab นะ หากพบปุ๊ป ให้ยา ให้ถุงยังชีพกลับไปที่บ้านเลย โดยในถุงจะมียา เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ถุงขยะติดเชื้อ แมส เจลแอลกอฮอล์ และอุปกรณ์ยังชีพ ก็เลยทำโครงการเริ่มต้นที่ 1,000 ถุง ก็เลยเริ่มรวบรวมเงิน ปรากฏว่าได้มาไวมากเลย คนมาช่วยกัน เยอะมากจนเราต้องรีบปิด บอกว่าไม่ต้องสมทบแล้วนะ เดี๋ยวที่เหลือผมจ่ายเอง เพราะไม่งั้นเดี๋ยวผมไม่ได้จ่ายอะไรเลย แล้วจะกลายเป็นเกิน แล้วถ้าเกิน ผมก็ต้องไปหาที่ลงอีก ว่าจะซื้ออะไรต่ออีก ซึ่งมันผิดเจตนารมณ์ คนที่เขาสมทบ เขาอยากสมทบเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น เลยคือเงินห้ามเกิน แล้วถ้าเงินขาด เราจะเป็นคนสมทบเอง

ครั้งนี้ก็คือปิดรับบริจาคแล้ว จะมีครั้งต่อไปไหม

"มีแน่นอนครับ (ยิ้ม) ถ้าเปิดอีกรอบผมจะเปิดบัญชีใหม่ เพราะว่าดูแล้วมันไม่มีทางพอ เราให้ได้แค่ 1,000 ถุงเองนะ แล้วเขาติดกันทั้งประเทศเป็นเกือบสองหมื่นคนต่อวัน มันไม่มีทางพออยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่เราทำมันเป็นแค่จุดเล็กๆ พอช่วยคนได้บางกลุ่มเท่านั้นเอง ส่วนตัวผมที่มีครอบครัวแล้ว มีลูกเราแล้ว เราก็ไม่ได้ลุยทำบุญเหมือนเมื่อก่อน ที่แบบว่าขึ้นเขา ลงห้วย ไปช่วยคน ตอนนี้เรามีความเป็นห่วงตัวมากขึ้น อย่างที่บอก เรามีลูก แล้วยิ่งสถานการณ์โรคระบาดตอนนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง ผมก็อาจจะทำให้ลูกผมทั้งสองคนมาเสี่ยงด้วยอีก ผมก็เลยตัดสินใจว่า เราช่วยเป็นทางนี้ดีกว่า เรารวบรวมเงิน เราทำอยู่ห่างๆ ช่วยอยู่ห่างๆ แบบนี้ดีกว่า

ช่วงที่กักตัวอยู่บ้านนานๆเวลาเครียด ทำยังไง

"ทุกคนเวลาอยู่บ้านนานๆ มันเครียดอยู่แล้วแหละ วิถีชีวิตมันถูกทำลาย เมื่อก่อนออกจากบ้านทุกวัน การที่อยู่บ้าน ต้องไม่มีอะไรทำ ต้องว่างจริงๆถึงจะอยู่บ้าน แต่ตอนนี้มันเปลื่ยนไป ก็คือ ทุกวันที่เราตื่นมา เราต้องคิดว่า วันนี้เราจะทำอะไร สำหรับคนที่ไม่มีงาน ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำอะไร อย่างเรา เรายังคิดว่า วันนี้เราจะทำอะไร แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีงานทำเลย ตื่นมาแล้วไม่มีอะไรเลย ผมว่าเขาต้องเครียดมาก ส่วนวิธีการคลายเครียดของผมก็คือ ท่ามกลางความเครียดนั้น เราจะต้องพยายามหาความสุขให้เจอ อย่างความสุขที่เราหาเจอในบ้าน ของผมก็คือลูกๆ การที่ผมได้ใช้เวลากับลูก ผมมีความสุขมาก ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เราไม่มีละครถ่าย ยิ่งมีความสุขมากเลย เพราะว่าเราได้อยู่กับลูกทุกช่วงเวลา ตั้งแต่เขาตื่น เขากิน จนเขาหลับ"

แฟน ๆ เริ่มคิดถึงผลงานละครแล้ว

"ใช่ครับ ตอนนี้ก็มีแฟน ๆ ถามถึงละครก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ละครขุมทรัพย์ลำโขงออกอากาศ ใหม่อีกรอบพอดี ดีใจมากเลยครับ ผมดูแล้วเหมือนเป็นละครใหม่เลย มีการทำซีจีใหม่ มีการตัดต่อ หรือแม้กระทั่งทำให้กระชับขึ้นเพิ่มซีจีพญานาค แล้วอีกอย่างคือ มันมีฟีดแบคที่ดีกลับมา มีแฟนๆแท็กสตอรี่ในไอจีมาหาผม เราก็ดีใจ มีคนพูดถึง บรมชัย เขารู้อยู่แล้วแหละ ว่าบรมชัยเป็นยังไง เขาก็ยังมาชื่นชม มาพูดถึง และหลายๆคนก็คิดถึงด้วย เพราะเราก็ห่างละครมานาน เพราะโควิดอะเนอะ ก็ได้หายคิดถึงกันไป ที่สำคัญนึกถึงทีมงานนักแสดงที่ลำบากมาด้วยกัน กว่าจะได้ผลงานนี้ ผมว่ามันเป็นละครเรื่องหนึ่งที่ ถ่ายทำยากที่สุด ที่ผมทำมานะ มันเป็นบู๊ แล้วก็ยังมี ดราม่า ไหนจะมีการหักมุม เป็นคาแรคเตอร์ที่แปลกใหม่ด้วยสำหรับผม ไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อน ใครคิดถึง ตัวละครบรมชัย สามารถติดตามชม "ขุมทรัพย์ลำโขง" ออกอากาศทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 19.00 น. ทางช่อง 8 กดเลข 27 ครับ"
#2900


เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดรับลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขบัตรประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล) ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป หรือผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง (เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนและไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน เท่านั้น)

สำหรับการเปิดรับลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด "แอสตร้าเซนเนก้า" เนื่องจากทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม สำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป หรือผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขบัตรประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล) ดังนี้

โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคเบาหวาน
โรคไตเรื้อรัง 
โรคอ้วน
โรคมะเร็งทุกชนิด
โดยจะได้รับฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 ณ คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ (รับจำนวนจำกัด)

สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

เงื่อนไขลงทะเบียน

เป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขที่บัตรโรงพยาบาล/HN)
อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป
ต้องไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน
หลังจากได้ลงทะเบียน เลือกวันและเวลาเรียบร้อยแล้ว จะได้รับการยืนยันการจองฉีดวัคซีน ขอให้ท่านบันทึกหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียนได้ผ่านทาง Chula Care Application ภายใน 3 วัน หลังจากที่ท่านลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว

'ขั้นตอนการลงทะเบียนฉีดวัคซีน

สแกนคิวอาร์โค้ด เข้าเว็บไซต์ www.chulaprom.kcmh.or.th เพื่อลงทะเบียนและเลือกวันเวลาเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19
เปิดลงทะเบียนวันที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 15.00 น. (ทางโรงพยาบาลจะปิดลงทะเบียนเมื่อมีผู้จองฉีดวัคซีนครบตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรร)
ผู้ที่ผ่ามการลงทะเบียน สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีน ที่คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในระหว่างวันที่ 16-20 สิงหาคม 2564 (ตามวันเวลาที่ลงทะเบียนไว้ เท่านั้น)
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขอสงวนสิทธิ์งดให้บริการสำหรับผู้ที่วอล์กอิน หรือไม่ได้ลงทะเบียนนัดหมายผ่านะบบฯ

คำแนะนำการรับบริการฉีดวัคซีนที่คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์

กรุณามารับบริการฉีดวัคซีนตามวันและเวลาที่นัดหมายเท่านั้น เพื่อกระจายความหนาแน่นของประชาชนผู้มารับบริการ
ในวันที่มารับบริการ เตรียมบัตรประชาชน ปากกา โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ลงทะเบียนหมอพร้อม (หากมี) และสวมเสื้อที่สามารถฉีดวัคซีนได้ง่าย
ก่อนมารับบริการฉีดวัคซีน สามารถรับประทานอาหารและยาสำหรับโรคประจำตัวได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหยุดยาก่อนรับวัคซีน
หากท่านอยู่ระหว่างการกักตัว รอผลการตรวจเชื้อโรคโควิด-19 หรือมีอาการทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ เสมหะ หรือ น้ำมูก ในวันนัดฉีดวัคซีน ขอให้ท่านงดการมารับฉีดวัคซีน