• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Ailie662

#2941
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#2942



บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย หรือ AMR คือผู้ประกอบการสัญชาติไทยรายแรกที่เบียดผู้ประกอบการต่างชาติ ในงานออกแบบ ติดตั้ง ระบบอาณัติสัญญาณ รถไฟฟ้าสายสีเขียว 2 สถานีแรก ช่วงสถานีตากสิน-วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปฝั่งธนบุรี ซึ่งบริษัทสามารถดำเนินการได้ นี่คือ ศักยภาพในการคว้าอีก 5 สถานี ในเส้นทางหมอชิต-คูคต , แบริ่ง-สมุทรปราการ

และในปี 2561 โอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่คือ การออกแบบรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่บริษัททำทั้งระบบตั้งแต่ระบบอาณัติสัญญาณ ไฟฟ้าสื่อสาร และการติดตั้งระบบประตูกับชานชลา 

และมูลค่างานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐระดับ 'แสนล้านบาท' คือจังหวะและโอกาสสร้างการเติบโตมหาศาล !!

นี่คือ 'จุดเด่น' ของ 'เอเอ็มอาร์ เอเซีย' ผู้ประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 150 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 6.90 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ และเข้าซื้อขาย (เทรด) 2 ส.ค. นี้ 

ปัจจุบัน AMR มีผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย 1. งานให้บริการวางระบบ ด้าน SI แบบครบวงจร ครอบคลุมงานวางระบบคมนาคมขนส่ง (Transportation Solution) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และความปลอดภัย และระบบโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ (Smart City) 

2. งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยมีความสามารถในการให้บริการแบบครบวงจร ได้แก่ งานซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข (CM) และงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (PM) เป็นต้น 

และ 3. การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไอทีโซลูชั่น ทั้งในรูปแบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) สำหรับลูกค้าที่ต้องการแพลตฟอร์มพื้นที่ทำงานดิจิทัลในการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Workspace และการรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงแอบพลิเคชั่นที่จะช่วยให้พนักงานในองค์กรทำงานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น 

'มารุต ศิริโก' กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย หรือ AMR แจกแจงสตอรี่สร้างการเติบโตให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek'] ว่า ด้วยธุรกิจของบริษัทมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก สะท้อนผ่านทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านโทรคมนาคม , ด้านพลังงาน , ด้านระบบไอทีและโซลูชั่นต่าง ๆ โดยมีทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การทำงานมากว่า 20 ปี และมีฝีมือเทียบเท่าบริษัทข้ามชาติ 

การขยับตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในครานี้ เขายอมรับว่า เมื่อต้องการ 'ปลดล็อก' การเติบโตของธุรกิจ เงินระดมทุนจำนวน 985.24 ล้านบาท เพื่อไปขยายธุรกิจและเพิ่มโอกาสการรับงานที่มีมูลค่าระดับมากกว่าพันล้านบาท และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรและคู่ค้า

สอดคล้องกับเป้าหมายของการเข้ามาระดมทุนครั้งนี้ คือ ลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และเมืองอัจฉริยะ จำนวน 837.46 ล้านบาท ระยะเวลาใช้เงินปี 2564-2566 ลงทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี จำนวน 49.26 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน จำนวน 98.52 ล้านบาท 

'การระดมทุนนอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินแล้ว ยังส่งเสริมความน่าเชื่อถือของบริษัท และเพิ่มความไว้วางใจให้กับลูกค้าและพันธมิตรต่างๆ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารับงานจากหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนได้ในอนาคต'

หากพิจารณาการเติบโตขององค์กรแห่งนี้จะพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561-2563) มีกำไรสุทธิเติบโตอยู่ที่ 140.99 ล้านบาท 27.39 ล้านบาท และ 247.55 ล้านบาท ขณะที่ รายได้อยู่ที่ 1,917.83 ล้านบาท 1,467.62 ล้านบาท และ 2,584.07 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด ไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 29.47 ล้านบาท และรายได้ 337.66 ล้านบาท 

เขา บอกต่อว่า สำหรับแผนธุรกิจ 3-5 ปี (2564-2568) บริษัทมีเป้าหมายรับงานโครงการขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขยายธุรกิจในส่วนของภาคบริการเพื่อสร้างพอร์ต 'รายได้ประจำ' (Revenue Income) อย่าง ระบบคมนาคมขนส่งสายรอง (Feeder Line) และ ด้านพลังงาน อย่าง การพัฒนาสถานีชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมทั้งเมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้ 

โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้พอร์ตรายได้ประจำในอีก 5 ปีข้างหน้า อยู่ที่สัดส่วน 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10% และขยับเพิ่มเป็น 20-30% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต 

'ที่ผ่านมา AMR ได้เข้าไปเป็นผู้ออกแบบติดตั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งมีแผนขยายจากจุดเล็ก ๆ ไปสู่ระดับประเทศ คาดว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้า คนไทยจะได้มีโอกาสเห็น EV Charging Station มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ออกแบบโดย AMR อีกด้วย'

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการดำเนินธุรกิจของ AMR มีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมากตามการขยายตัวด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ทั้งประเภทระบบเทคโนโลยีคมนาคมและการเดินรถไฟฟ้า พลังงานและระบบสื่อสาร โดยภาครัฐเตรียมเปิดประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ในมือแล้วประมาณ 1,451.20 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปี นับจากนี้


นอกจากนี้ในปี 2565 ภาครัฐมีแผนเตรียมเปิดประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง รวมไปถึงรถไฟในต่างจังหวัด โดย 20-30% ของโครงการเกี่ยวข้องกับการวางระบบ ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมากในช่วงหลาย 10 ปีข้างหน้าอีกมาก 

ท้ายสุด 'มารุต' บอกไว้ว่า ที่ผ่านมาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเป็นผู้ให้บริการงานออกแบบติดตั้งระบบวิศวกรรมไอทีโซลูชั่น ให้รัฐและเอกชนชั้นนำไม่ว่าเป็นระบบบริหารจัดการน้ำ และ กทม. และวางระบบเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และรถไฟรางคู่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นงานระดับเมกะโปรเจคของประเทศ

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952000
#2943



รายงานวิจัยล่าสุดโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกับเทสโก้ พบอาหารถูกทิ้งเป็นขยะอาหาร (Food Waste) กว่า 2.5 พันล้านตันต่อปี และประมาณ 40% ของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลก ไม่มีโอกาสไปถึง 'โต๊ะอาหาร' ด้วยซ้ำ

ขยะอาหาร หรือ Food Waste ถูกทิ้งเพิ่มขึ้นทุกปี กลายเป็นสาเหตุซ้ำเติมปัญหาภาวะโลกร้อน เนื่องจากขยะจากอาหารสามารถปล่อยก๊าซมีเทน (Methane) ที่มีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 20 เท่า

รายงานชื่อ 'Driven to Waste: The Global Impact of Food Loss and Waste on Farms' พบ 40% ของอาหารจบลงที่ 'ถังขยะ' มากกว่าโต๊ะอาหาร เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 33% #โดยปัญหาขยะอาหารไม่ได้มาจากอาหารเหลือจากครัวเรือนเท่านั้น แต่รายงานชี้ให้เห็นว่า ขยะอาหารมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กระบวนการผลิต ทั้งในฟาร์ม ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาด มาจนถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และโรงแรม ซึ่งรวมแล้วสร้างปริมาณขยะอาหารมากกว่า 1.2 ล้านตันในทุกปี

การผลิตอาหารทุกชนิดใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมหาศาล ทั้งที่ดิน น้ำ และพลังงาน เมื่อคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกแล้ว อาหารที่ถูกทิ้งทั้งหมด (ตั้งแต่ต้นทางการผลิตในฟาร์ม ไปจนถึงปลายทางการขนส่ง-จัดจำหน่าย) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 8% ของจำนวนก๊าซทั้งหมดในชั้นบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม รายงาน Driven to Waste ชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงขึ้นเป็น 10% เนื่องจากปริมาณขยะอาหารที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี

อาหารเหลือทิ้งเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมอาหารเพื่อใช้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ ที่มากเกินไป หรือไม่ได้คํานึงถึงพฤติกรรมผู้บริโภค การทิ้งอาหารที่จําหน่ายไม่หมดของธุรกิจการค้าในแต่ละวัน อาหารเน่าเสียหรือสูญหายระหว่างขนส่ง หรือแม้แต่ 'วัฒนธรรมการกินให้เหลือไว้ในจาน' เพื่อเป็นการแสดงออกมารยาททางสังคมในบางประเทศ

รายงานยังพบอีกว่า อาหารเน่าเสีย หรือถูกคัดทิ้งของทุกประเทศรวมกันมีปริมาณ 'มากพอ' เลี้ยงปากท้องประชากรทั่วโลกได้อีกจำนวนมาก โดยสำหรับประเทศไทยนั้น กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่า ไทยมีขยะอาหารคิดเป็น 64% ของปริมาณทั้งหมด แต่ยังขาดระบบการคัดแยกขยะทำให้ขยะอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังถูกกำจัดโดยวิธีการฝังกลบซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และลดต้นทุนต่อธุรกิจ แต่ก็ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรที่ยังมีค่าโดยเปล่าประโยชน์

การสูญเสียอาหาร ถือเป็นความเสียหายทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ และ 'ความเจ็บปวด' ของประชากรโลกที่ยังคงอดอยาก และต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อมีอาหารลงท้อง โชคดีว่าปัจจุบัน คนในสังคมเริ่มตื่นตัวมากขึ้น และปรับพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible consumption) หรือลด-เลิกการทิ้งขว้างอาหาร (No food waste) โดยร้านอาหารในหลายประเทศเริ่มคิด "ค่าปรับ" ลูกค้าที่ทานอาหารเหลือ หรือภาครัฐเริ่มมีการบังคับใช้กฎหมาย "ภาษีอาหารที่ทิ้งขว้าง" สำหรับบริษัทผลิตอาหาร หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อควบคุมการทิ้งผัก-ผลไม้ที่ยังไม่หมดอายุ หรือการบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมด ให้กับองค์กรการกุศล หรือมูลนิธิ เพื่อถูกต่อส่งให้เป็น "มื้ออาหารล้ำค่า" ให้กับผู้ยากไร้

ข้อมูลอ้างอิง WWFThailand,https:// updates.panda.org/driven-to-waste-report
#2944



สงครามต่อสู้กับโควิด-19 เปลี่ยนไป สืบเนื่องจากตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก จากคำกล่าวของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ส่งสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฉีดวัคซีนและกลับมาสวมหน้ากากโดยทั่วไป ท่ามกลางข้อมูลที่พบว่ามีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ(breakthrough cases) จำนวนมาก ในนั้นติดเชื้ออาการหนักและเสียชีวิตแล้วกว่า 6,500 ราย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงเอกสารภายในของซีดีซีระบุว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียและตอนนี้กลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก สามารถติดต่อได้ง่ายพอ ๆ กับ โรคอีสุกอีใส และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและง่ายกว่าไข้หวัด มันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้แม้กระทั่งจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว และอาจเป็นต้นตอของอาการป่วยหนักกว่าสายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้

เอกสารที่มีชื่อว่า "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อและประสิทธิภาพของวัคซีน (Improving communications around vaccine breakthrough and vaccine effectiveness)" ระบุว่าด้วยตัวกลายพันธุ์นี้ จำเป็นต้องใช้แนวทางใหม่เพื่อช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย ในนั้นรวมถึงส่งสารอย่างชัดเจนว่าบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีนมีโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากกว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 10 เท่า

"ยอมรับว่าสงครามเปลี่ยนไปแล้ว" เอกสารระบุ "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับความเสี่ยงรายบุคคลในหมู่คนฉีดวัคซีนแล้ว"

ในคำแนะนำด้านมาตรการป้องกันไว้ก่อนต่างๆนานานั้น รวมไปถึงการบังคับฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกอบอาชีพด้านสาธารณสุข เพื่อปกป้องกลุ่มคนอ่อนแอ และหวนกลับมาสวมหน้ากากป้องกันโดยทั่วไป

ซีดีซียอมรับว่าเอกสารฉบับนี้เป็นของจริง หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำเสนอรายงานข่าวนี้เป็นแห่งแรก

แม้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเป็นไปได้น้อยที่จะติดเชื้อ แต่ครั้งที่พวกเขาติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตาในลักษณะ breakthrough cases เวลานี้พวกเขาก็เหมือนๆกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ที่สามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆได้เช่นกัน ซึ่งต่างจากตัวกลายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้

กรณีนี้นับว่าน่ากังวลมาก เพราะผู้ที่ได้รับวีคซีนแล้วติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา คือกลุ่มที่เป็นตัวแปรสำคัญในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แล้วได้รับเชื้อจากคนกลุ่มนี้ ยิ่งเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง

เมื่อวันศุกร์(30ก.ค.) ซีดีซีเผยแพร่ข้อมูลจากผลการวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาการแพร่ระบาดในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ เป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการตัดสินใจของซีดีซีเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่แนะนำให้บุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วกลับมาสวมหน้ากากในบางสถานการณ์ จากการเปิดเผยของโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี

ซีดีซีรายงานว่าจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ(breakthrough cases)อาการหนักหรือเสียชีวิต 6,587 ราย ในขณะที่ซีดีซีหยุดรายงานเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้ออาการเล็กๆน้อยๆมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม แต่ในรายงานล่าสุด พวกเขาประมาณการว่าน่าจะมีผู้ติดเชื้อแบบแสดงอาการราวๆ 35,000 รายต่อสัปดาห์ในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามตัวเลขของซีดีซียังชี้ให้เห็นว่า วัคซีนนั้นยังมีความสามารถในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์เดลตา โดยที่นายจอห์น มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาจากนิวยอร์ก กล่าวว่า "โดยรวมแล้ว โควิดสายพันธุ์เดลตานั้นคือสายพันธุ์ที่สร้างความลำบากให้เรามากที่สุดเท่าที่เห็นมา แต่ฟ้าก็ยังไม่ถล่มเสียทีเดียว และวัคซีนนั้นก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้สถานการณ์มันแย่ไปมากกว่านี้"

เวลานี้มีประชากรวัยผู้ใหญ่สหรัฐฯเกือบ 1 ใน 3 ที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว แต่พื้นที่ต่างๆที่มีอัตราการฉีดวัคซีนระดับต่ำ พบเห็นเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่เกรงว่าอีกไม่นานจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจำเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ คาดหวังว่าวัคซีน ซึ่งเวลานี้เพิ่งอยู่ในขั้นได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน จะเริ่มได้รับอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบโดยสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งมันน่าจะช่วยโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

(ที่มา:รอยเตอร์/วอชิงตันโพสต์) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075092
#2945



มีข่าวที่น่ายินดีจากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 44 ที่จีน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 ที่ประกาศขึ้นทะเบียน กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งใหม่ของประเทศไทย หลังจากก่อนนี้มีห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร และกลุ่มป่าเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนในปี พ.ศ.2548

หลังจากนั้น ทีมทำงานที่จะเสนอชื่อผืนป่า แก่งกระจาน ก็เตรียมความพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของเขา ปั้นแต่งพื้นที่มาเป็นเวลา 10 ปี พอปี พ.ศ. 2558 ก็เสนอครั้งแรก ผลคือตกไปไม่ได้รับพิจารณา พอปี 2558 -2559 ก็เสนอ และก่อนนี้ในปี 2562 ก็เสนออีก แต่ก็ตกไปทุกครั้ง ไม่ได้รับการอนุมัติ ทุกครั้งก็จะมีข้อให้กลับมาแก้ไข และเตรียมความพร้อม ปรับปรุงตามข้อแนะนำจนมาถึงการประชุมครั้งที่ 44 ที่จีนเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นการประชุมทางไกล ผืนป่า "แก่งกระจาน" จึงได้รับการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของไทย นับว่าความพยายามของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่เฝ้าเพียรพยายามมาถึง 16 ปี จนกระทั่งได้ขึ้นทะเบียนดังกล่าวนั้นไม่เสียเปล่า


น้ำตกผาไทร อช.กุยบุรี

พื้นที่ของกลุ่มผืนป่า "แก่งกระจาน" ที่ขึ้นทะเบียน "มรดกโลก" ในครั้งนี้ เป็นพื้นที่ป่าทางด้านตะวันตก ที่เชื่อมต่อติดกับป่าของประเทศเมียนมา กลายเป็นป่าผืนใหญ่ของภูมิภาค ประกอบไปด้วยพื้นที่จากล่างสุดของอุทยานแห่งชาติกุยบุรี (พื้นที่ 969 ตร.กม.) ในเขตอำเภอกุยบุรี และอำเภอหัวหิน แล้วต่อเชื่อมต่อกับ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ครอบคลุมพื้นที่มาตั้งแต่ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ เข้ามา อ.แก่งกระจาน และ อ.หนองหญ้าปล้อง ของ จ.เพชรบุรี (พื้นที่ 2,478 ตร.กม.) กระทั่งเข้ามาเขต อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน (พื้นที่ 349.59 ตร.กม.) และส่วนต่อเชื่อมระหว่าง อ.บ้านคา และ อ.สวนผึ้งของราชบุรีก็มีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำภาชี (พื้นที่ 489.31 ตร.กม.) เมื่อดูในแผนที่แล้วจะเห็นว่า "มรดกโลก" แห่งใหม่กลุ่มป่า "แก่งกระจาน" นั้น ครอบคลุมพื้นที่เป็นแนวยาวทางตะวันตกขึ้นมานับร้อยกิโลเมตรทีเดียว จึงเป็นผืนป่าใหญ่ผืนหนึ่งของประเทศทีเดียว


ป่าที่เป็นผืนใหญ่ต่อเนื่องกันมันจะเป็นหลักประกันให้สัตว์ป่าได้อยู่กันอย่างมีความสุข อพยพโยกย้ายตามพฤติกรรม ได้อย่างมีอิสระเสรี สืบพันธุ์พงศ์เผ่าต่อไป ในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ถึงกับได้สมญานามว่าเป็นซาฟารีเมืองไทย มีทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ที่สัตว์ป่า ออกมาหากิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำเงินเข้าสู่จังหวัดและประเทศอย่างมาก เพราะโปรแกรมปิดท้ายก่อนที่นักท่องเที่ยวที่มาหัวหินจะกลับที่พัก คือการมาดูสัตว์ที่อุทยานกุยบุรีนี่เอง แต่ละวัน จะมีช้าง วัวแดง กระทิง ออกมาให้เห็นทุกวัน


กิจกรรมดูสัตว์ป่า ของ อช.กุยบุรี ที่ได้รับความนิยม

มาที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ที่นี่แทบไม่ต้องบรรยายมากเลยว่ามีคุณค่าอย่างไรในพื้นที่ ที่นี่มีจุดดูทะเลหมอกอันลือชื่อคือบนพะเนินทุ่งแคมป์ ซึ่งปี 2564 นี้น่าจะเปิดในช่วงปลายปีค่อนข้างแน่ และที่นี่เป็นที่ที่นักดูนกทั้งไทยและเทศ ต่างแวะเวียนกันมาดูนกทั้งปี ทั้งยังเป็นแหล่งดูผีเสื้อที่สำคัญอีกด้วย เรื่องราวของช้างป่าที่อยู่ร่วมกับคนที่บ้านห้วยสัตว์ใหญ่ นั่นก็เป็นความสมบูรณ์ของสัตว์ป่าใน "แก่งกระจาน" ไม่นับภาพข่าวที่เจอเสือดำ เสือดาว ในป่าแก่งกระจานหลายครั้งที่ผ่านมา และในบรรดาคนที่ชอบตั้งแคมป์พักแรม ดูเหมือนว่า "แก่งกระจาน" ได้รับความนิยมอย่างมากไม่เคยสร่างซา


น้ำพุร้อนโป่งกระทิง

ด้านเหนือของ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" จะต่อเชื่อมกับอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน ซึ่งมีบ่อน้ำพุร้อนโป่งกระทิงเป็นที่รู้จักกัน ส่วนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำภาชีนั้น ด้วยความที่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ได้เน้นกิจกรรมท่องเที่ยวแต่เป็นที่อบรม เรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษามานาน แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่ชอบความเงียบสงบไปตั้งแคมป์พักแรมอยู่บ้าง และพื้นที่ต่อเนื่องกันสองพื้นที่นี้ มีการพบสมเสร็จ ซึ่งเป็นสัตว์หายากในบ้านเรา ดำรงชีพอยู่ด้วยความสำราญใจ


ทะเลหมอกบนพะเนินทุ่งแคมป์ อช.แก่งกระจาน

อีกหน้าที่หนึ่งของป่าคือการเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ที่มาหล่อเลี้ยงทั้งผู้คนและสรรพสิ่ง ทุกผืนป่าทำหน้าที่เป็นป่าต้นน้ำได้เป็นอย่างดี เพียงแต่แม่น้ำที่เกิดจากป่าตะวันตกในย่านนี้ จะเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ที่เกิดจากป่าแล้วไหลลงทางตะวันออกสู่ทะเลอ่าวไทย แต่กระนั้นก็ทำหน้าที่สายชีวิตไม่บกพร่อง

กลุ่มป่า 'แก่งกระจาน' มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย
เอกชนชงรัฐเร่งสกัดโควิด บูรณะแหล่งท่องเที่ยว"อีอีซี"
'ดูดวง' สิงหาคม 2564 ตามหลักโหราศาสตร์จีน กับซินแสนัตโตะ
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีน้ำตกหลายแห่งมาก เพียงแต่ต้องเดินเท้าเข้าไปในป่าเป็นระยะทางค่อนข้างไกล อย่างน้ำตกผาหมาหอน น้ำตกห้วยดงมะไฟ น้ำตกด่านมะค่า น้ำตกผาสวรรค์ น้ำตกผาไทร น้ำตกแพรกตะคร้อ เป็นต้น


มาดูที่อุทยานฯ "แก่งกระจาน" ป่าที่นี่ให้กำเนิดแม่น้ำเพชรบุรี ที่ไหลลงเขื่อนแก่งกระจาน เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเพชรบุรี ป่าผืนนี้จึงเป็นดั่งสายเลือดของคนเพชรบุรีเลยเทียว ในขณะที่น้ำตกคลองปราณ และน้ำตกป่าละอู ก็ไปหล่อเลี้ยงคนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนทางตอนเหนือ น้ำตกแม่กระดังลา ก็ไหลลงเขื่อนลิ้นช้าง ลงมาเป็นแม่น้ำเพชรบุรีเช่นกัน


น้ำตกป่าละอู อช.แก่งกระจาน

ขึ้นไปที่อุทยานฯเฉลิมพระเกียรติไทยประจันอุทยานฯนี้ แม้จะไม่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำตก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นป่า ย่อมเป็นต้นน้ำอยู่ดี จึงมีลำห้วยไทยประจัน ไหลล่องลงมาเป็นลำห้วย เป็นแก่งน้ำต่างๆ ก่อนจะไหลลงปลายทางที่อ่างเก็บน้ำไทยประจัน ออกไปหล่อเลี้ยงคนในที่ราบลุ่มเขตจอมบึง หรือเขตฯลุ่มแม่น้ำภาชี ก็เป็นการรักษาป่าต้นน้ำของลุ่มแม่น้ำภาชี แม่น้ำสาขาของแควน้อยที่กำเนิดจากป่า แล้วไหลผ่านพื้นที่ของสวนผึ้ง จอมบึง แล้วลงแควน้อยที่ อ.เมือง กาญจนบุรีนั่นเอง


จุดชมวิวบางกะม่า อช.เฉลิมพระเกียรติไทยประจัน


แม่น้ำเพชรบุรีก่อนลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน

จะเห็นว่าทุกผืนป่าที่ดำรงคงอยู่ ล้วนแล้วเป็นต้นน้ำลำธาร เป็นหลักประกันในเรื่องน้ำ ว่าตราบใดที่เรามีป่า เราจะมีน้ำไว้ใช้ในชีวิต สัตว์ป่าพลอยจะได้ที่อยู่อาศัยอันมั่นคง

การได้ "มรดกโลก" จึงเป็นหลักประกันในสิ่งเหล่านี้ ขอแสดงความยินดีกับมรดกโลกทางธรรมชาติใหม่ของไทยอีกครั้ง แล้วเราคนไทยมาช่วยกันรักษาป่า "แก่งกระจาน" ผืนนี้ให้ยืนยาวต่อไป...
#2946



ถือเป็นอีกหนึ่งรายการที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดีสำหรับรายการ "Next People คนไม่หมดไฟ" ของ เว็บไซต์ MThai.com (เอ็มไทยดอทคอม) ในเครือโมโน เน็กซ์

ล่าสุดไปฟังแนวคิดจาก "คุณยายบัวฮอง จงปัตนา" แม่ค้าผักย่านบางโพวัย 72 ปี ที่ต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่อโรคมะเร็ง อัดคลิปขายของลงโซเชียลจนได้กลายเป็นดาว TIKTOK ที่มีคนติดตามกว่า 2.5 แสนคน และมีคนกดหัวใจส่งให้กว่า 2 ล้านคน จนสามารถสร้างรายได้ ให้กับคุณยายมากมายในช่วงสภาวะเช่นนี้

โดย คุณยายบัวฮองเผยว่า "เริ่มต้นเล่น TIKTOK จากคนขายผักด้วยกันชวนให้เล่นนานแล้ว เค้าบอกว่าเล่นแล้วมีความสุขนะ ยายก็เล่นไปไม่ได้คิดอะไร จนดัง ตอนนี้น้ำพริกยายขายไปถึงเมืองนอกเลยนะ ยายอ่านหนังสือไม่ออกด้วย ต้องให้ Siri อ่านให้ เวลาลงคลิปยายก็ลงเองหมดเลย มีคนถามว่าใครตัดต่อให้ ยายบอกเลยว่าไม่มี ยายทำคนเดียว ถามว่าแก่แล้วมาทำอะไรแบบนี้อายไหม? ยายไม่อาย เราทำของเรา เรามีความสุขเราก็ทำ เจอต้นไม้ที่ไหนยายก็เต้น ใครจะมองก็ช่างเขา ไม่สนใจ ชีวิตเราใครเขาจะมาช่วยเรานอกจากตัวเราเอง


ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ยายเป็นมะเร็งในมดลูก ไปตรวจเจอหมอเขาก็ตัดออกก็รักษามาเรื่อยๆแต่ทีนี้มันลามอีก บางคนก็บอกว่าทำคีโมแล้วจะหัวล้านนะ 3 เดือนตายนะ ยายบอกยายไม่ตายหรอก ยายไม่กลัว ยายสู้ถึงที่สุด คนเรามีลมหายใจอยู่ก็ต้องสู้ อย่าท้อ ไม่ต้องไปขอใครเดี๋ยวเกิดชาติหน้าลำบาก ยายอยากจะบอกคนที่ท้อหรือมีปัญหาอะไร เป็นโรค อะไรก็ตาม ถ้ายังมีลมหายใจอยู่อยากให้สู้ต่อไป"

สามารถ ติดตามรับชมย้อนหลังผ่านทุกช่องทางของ Mthai, youtube channel : mono29 และ เว็บไซต์ seeme.me
#2947


ผ่านงานแสดงมาแล้วหลายคาแรกเตอร์ และโชว์ฝีมือปังเข้าถึงทุกบทบาทโดนใจคนดูสุดๆ สำหรับนางเอกสาว ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ล่าสุดสวมคาแรกเตอร์สุดโบ๊ะบ๊ะรับบทเน็ตไอดอลตกอับเพราะเหล่าแฟนคลับจับโป๊ะได้ ในซีรีส์สุดปัง "46 วัน ฉันจะพังงานวิวาห์" จาก "จีเอ็มเอ็มทีวี" ที่งานนี้ต้องมาลุยภารกิจรักสุดแสบแบบบ้าระห่ำ พร้อมแหกทุกกฎกับภารกิจทำลายงานแต่งให้สำเร็จให้ได้ภายใน 46 วัน เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่าเล่นเรื่องนี้สนุกมากๆ และชอบสุดๆ อีกด้วย

ใบเฟิร์น เผยว่า "รู้สึกสนุกมากๆ ที่ได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้เพราะค่อนข้างเป็นสีสันมากๆ สำหรับใบเฟิร์นเลย โดยเฉพาะบท 'หญิงหญิง' ซึ่งเป็นตัวแสดงที่แบบรวดเร็ว ตรงไปตรงมามากๆ ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็คือโวยวายเลย เป็นคนตรงๆ และเป็นคนที่รักเพื่อนมาก ก็จะมีความคล้ายตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยทำความเข้าใจตัวแสดงได้ไม่ยากค่ะ และที่สนุกอีกอย่างก็คือ คาแรคเตอร์นี้ค่อนข้างมีสีสัน สนุกโบ๊ะบ๊ะ แถมได้ทำหลายบทบาทด้วย ทั้งมีไปทำภารกิจโน่นนี่ตลอดเวลา บางทีก็แต่งเป็นคนแก่บ้าง แต่งเป็นนางโชว์ แต่งเป็นผู้ชาย หรือเป็นนักศึกษาเนิร์ดๆ ซึ่งเราเองก็ชอบคอมเมดี้อยู่แล้วด้วยก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่สนุกมากๆ และต้องขอขอบคุณ 'พี่กู่ ผู้กำกับที่ให้เราได้มาทำอะไรแปลกใหม่ ทั้งปลอมตัว ใส่โน่นใส่นี่ แต่งตัวหรือทำอะไรที่แฟนคลับยังไม่เคยเห็นมาก่อน และอยากให้เรื่องนี้มีหลายๆ อย่างในความคอมเมดี้พวกนี้ ให้เห็นหลายๆ บุคลิกตลกๆ ความเล่นใหญ่ของเรา"


"จริงๆ เสน่ห์ของคอมเมดี้ก็คือการอิมโพรไวส์ แม้เราจะไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้ แต่เราโชคดีที่ได้มาเล่นคู่กับน้องมายด์-ลภัสลัล ซึ่งเป็นคนที่เก่งคอมเมดี้มาก และการอิมโพรไวส์ของมายด์คือใช้ได้แทบทั้งหมด แถมเคมีของเราทั้งคู่ยังเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่เวิร์คช้อปด้วยกันเลยค่ะ อาจจะด้วยความที่เป็นผู้หญิงแบบเฮฮาทั้งคู่ เล่นไปแบบจัดเต็มไม่เคยห่วงสวย และมายด์ก็ยังมีเคมีเพื่อน ที่เข้ากันได้ดีมากๆ มีความเป็นเพื่อนที่เข้ากันไปจนถึงชีวิตจริงที่สนิทกันเหมือนเป็นพี่น้อง ปรึกษาคุยเล่นกันได้ทุกเรื่องค่ะ ส่วนนนกุลเขาเป็นคนที่ตั้งใจ มีวินัยในการทำงานมาก เป็นคนเรียบร้อย ซึ่งจะฉีกไปจากคนอื่นๆ เช่น พี่เจนนี่ ปาหนัน, พี่ท็อป-ดารณีนุช, ออฟ-จุมพล ฯลฯที่เวลาเข้าซีนด้วยกันก็จะมีพูดประโยคใหม่ขึ้นมาแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว ทุกคนเก่งเรื่องการอิมโพรไวส์มาก แถมแต่ละซีน แต่ละเทคก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เราต้องมีสมาธิมากๆ ต้องคุมสติตัวเองให้อยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะหลุดหัวเราะออกมา"


"เฟิร์นเป็นแบบนั้นหลายครั้งมาก และทำเทคหลายรอบมากด้วยค่ะ สำหรับเรื่องนี้ก็อยากให้ทุกคนดูแล้วคลายเครียด ใบเฟิร์นเองก็รอดูตัวเองทุกอีพีเหมือนกัน ดูแล้วก็ตลก ดูแล้วก็สนุก ทำให้นึกถึงวันนั้นที่ถ่ายทำด้วยกัน และบรรยากาศในกองก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานมากๆ ยังไงก็ขอฝากซีรีส์  '46 วัน ฉันจะพังงานวิวาห์' ด้วยนะคะทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 เนื้อเรื่องจะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และใบเฟิร์นก็ได้เป็นหลายอย่างมากในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย หวังว่าซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้แฟนๆ นั่งหัวเราะ มีความสุขและสนุกไปด้วยกันนะคะ"
#2949

  

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ชำนาญด้านโครงการและแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนและ ท่าอากาศยานได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ -Drsamart Ratchapolsitte โดยมีเนื้อหาดังนี้... แม้ผมจะสนับสนุนผู้รับเหมาไทย แต่เมื่อ รฟม.เปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงินงานโยธา 78,720 ล้านบาท โดยใช้วิธี "การประกวดราคานานาชาติ" เพราะเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ผู้รับเหมาต่างชาติ ผมจึงต้องตามดูว่ามีการปฏิบัติต่อผู้รับเหมาต่างชาติเท่าเทียมกับผู้รับเหมาไทยหรือไม่? มีการกำหนดเงื่อนไขที่ขัดขวางการแข่งขันอย่างเป็นธรรมหรือไม่? ที่สำคัญ ผู้รับเหมาต่างชาติจะผ่านด่านสุดโหดได้หรือไม่? ติดตามได้จากบทความนี้

การประกวดราคานานาชาติมีเงื่อนไขอย่างไร?

การประกวดราคานานาชาติ (International Competitive Bidding) กรณีงานก่อสร้างที่มีวงเงินตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 และแนวทางปฏิบัติของกระทรวงการคลัง ที่ กค 0405.3/ว93 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ระบุไว้ดังนี้

1. เป็นงานก่อสร้างที่มีรายละเอียดซับซ้อน
2. มีเทคนิคเฉพาะ
3. จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
4. ต้องใช้บุคลากรในสาขาวิชาชีพการก่อสร้างชั้นสูงหรือช่างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะ หรือมีความชำนาญเป็นพิเศษ เช่น ทางยกระดับ อุโมงค์ใต้ดิน ท่าเรือขนส่ง ท่าอากาศยาน เป็นต้น

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เห็นว่าการประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) หรือที่เรียกกันว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เข้าเงื่อนไขดังกล่าว จึงตัดสินใจใช้การประกวดราคานานาชาติ

รฟม.อ้างว่าได้ปฏิบัติตาม พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และระเบียบการทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาดูกันว่าข้อกำหนดของผู้ว่าจ้างหรือทีโออาร์ตรงกับเจตนารมณ์ของ พรบ.จัดซื้อฯ และระเบียบ ก.คลังฯ ดังกล่าวหรือไม่?

ผู้เข้าประมูลต้องมีผลงานอะไร?

ทีโออาร์กำหนดชัดว่าผู้เข้าประมูลจะต้องมีผลงานกับ "รัฐบาลไทย" ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดังนี้

1. ก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และ
2. ก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหรือลอยฟ้าในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และ
3. ออกแบบอุโมงค์ใต้ดินหรือสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหรือลอยฟ้าในสัญญาเดียวที่มีค่าก่อสร้างไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท

เมื่อทีโออาร์กำหนดผลงานไว้อย่างนี้ กล่าวคือต้องมีผลงานกับรัฐบาลไทยเท่านั้น ผลงานในต่างประเทศนำมาใช้ไม่ได้ ถามว่าผู้รับเหมาต่างชาติจะผ่านด่านทีโออาร์สุดโหดนี้ได้หรือ? สุดท้ายคงเหลือผู้รับเหมาไทยขนาดใหญ่เพียง 4-5 รายเท่านั้นที่สามารถผ่านด่านทีโออาร์นี้ได้ และคงได้งานครบทุกราย เนื่องจาก รฟม.แบ่งการประมูลงานโยธาออกเป็น 6 สัญญา
ทีโออาร์เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พรบ. จัดซื้อฯ และระเบียบ ก.คลังฯ หรือไม่?

พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 8(2) บัญญัติไว้ว่า "ต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการทุกรายโดยเท่าเทียมกัน"
ระเบียบการทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 45 ระบุชัดไว้ว่า "ต้องไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม"
อ่านแล้ว พอจะบอกได้ใช่มั้ยครับว่าทีโออาร์ของ รฟม.ตรงตามเจตนารมณ์ของ พรบ.จัดซื้อฯ และระเบียบ ก.คลังฯ หรือไม่?

รฟม.ได้ตระหนักถึงเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคมในการประกวดราคานานาชาติหรือไม่?

น่าเสียดายที่ รฟม.ไม่อ้างถึงหนังสือกระทรวงคมนาคม ที่ คค 0208/2840 ลงวันที่ 7 เมษายน 2560 ถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง มีใจความตอนหนึ่งว่า "งานก่อสร้างที่เป็นเทคนิคเฉพาะหรือต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ที่เป็นการดำเนินการในรูปแบบ Design and Build หรือ Turnkey หรือการซื้อหรือการจ้างที่เป็นเทคนิคเฉพาะ มีความเป็นไปได้ที่ผู้รับจ้างไทยที่มีคุณสมบัติจะมีจำนวนไม่มากนัก อาจไม่ทำให้เกิดการแข่งขัน ดังนั้น การประกวดราคานานาชาติจะทำให้มีการแข่งขันมากขึ้น และช่วยลดการสมยอมราคา ส่งผลดีต่อความโปร่งใสในระบบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ รวมทั้งเกิดการถ่ายทอดและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ จากต่างประเทศโดยตรง มีผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศไทยในระยะยาว"

อ่านแล้วทำให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกระทรวงคมนาคมในการจัดให้มีการประกวดราคานานาชาติ ดังนี้

1. ให้มีการแข่งขันมากขึ้น

2. ลดการสมยอมราคา หรือ "ฮั้ว"

3. ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี

รฟม.ซึ่งสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ตระหนักถึงเจตนารมณ์ของกระทรวงเจ้าสังกัดในการจัดให้มีการประกวดราคานานาชาติขึ้นหรือไม่? ถ้าได้ตระหนัก แล้วทำไมจึงเขียนทีโออาร์ไว้อย่างนั้น?
สรุป

งานก่อสร้างที่ผู้รับเหมาไทยสามารถทำได้ ผมเห็นว่าควรใช้ผู้รับเหมาไทย ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้รับเหมาต่างชาติ เพื่อสนับสนุนผู้รับเหมาไทย แต่งานก่อสร้างที่จำเป็นต้องใช้ผู้รับเหมาต่างชาติ โดยใช้การประกวดราคานานาชาตินั้น เราจะต้องให้ความเป็นธรรมต่อทุกรายด้วยการปฏิบัติต่อผู้เข้าประมูลทุกรายโดยเท่าเทียมกัน

เป็นที่รู้กันในวงการประมูลว่าหากโครงการใดที่ผู้รับเหมาต่างชาติสามารถเข้าประมูลได้ เขาจะไม่ยอม "ฮั้ว" แต่จะสู้ด้วยฝีมือและราคาที่ต่ำกว่า เนื่องจากเขามีประสบการณ์สูง มีการใช้เทคโนโลยีที่
สามารถทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็ว ประหยัดค่าก่อสร้างได้ ทำให้เขาสามารถเสนอราคาได้ต่ำกว่า
ด้วยเหตุนี้ งานก่อสร้างที่จำเป็นต้องใช้ผู้รับเหมาต่างชาติ เราจะไปกีดกันเขาทำไม? เพราะเขาช่วยประหยัดค่าก่อสร้าง และช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เราได้ ไม่ใช่หรือ?
...................
ข้อสงสัยดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง
#2950



ถือเป็นการสร้างสีสันครั้งสำคัญให้กับวงการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันเลยก็ว่าได้ กับการเปิดตัว "โกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์" ของ 'WeTV' ในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ของการเปิดให้บริการวิดีโอสตรีมมิงแอปพลิเคชันในประเทศต่างๆ อาทิ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงฝั่งตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาใต้อีกด้วย

โดย WeTV ได้คว้าตัว 4 เมกะสตาร์จีนที่มีฐานแฟนคลับมากมายทั่วโลกมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์อย่าง ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba) เจ้ากระต่ายน้อยแสนอบอุ่น เซียวจ้าน (Xiao Zhan) รวมถึงขุ่นแม่ หยางมี่ (Yang Mi) และลูกแกะน้อยรอยยิ้มละลายอย่าง หยางหยาง (Yang Yang) บอกได้เลยว่าการรวมตัวกันของ 4 คนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะได้เห็นกันบ่อยๆ เพราะนี่คือ 4 เมกะสตาร์จีนที่นอกจากจะมีผลงานบันเทิงที่มัดใจแฟนด้อมทั่วเอเชียมากมายยังเป็นเซเลบริตี้ที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับอินเตอร์เนชันแนลต่างๆ มากมายรวมมูลค่าแบรนด์แล้วทะลุหลายพันล้านบาท วันนี้ WeTV มัดรวมความปังของทั้ง 4 คนมาให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนรอติดตามผลงานในฐานะ "โกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ WeTV" แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิงที่สุดความบันเทิงคุณภาพแห่งเอเชีย



ตี๋ลี่เร่อปา ซุปตาร์หน้าหมวยอินเตอร์ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก!



"ตี๋ลี่เร่อปา (Dilraba)" หรือ "ดิลราบา ดิลมูรัต" นักแสดงสาวชาวจีนเชื้อสายอุยกูร์ วัย 29 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ในวงการ เธอกวาดไปแล้วกว่า 30 รางวัลเลยนะ! สำหรับผลงานที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก คงจะหนีไม่พ้น "สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่" (Eternal Love) ที่ออกอากาศเมื่อปี 2560 ถือเป็นซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ ทำลายสถิติยอดวิวทั้งทางช่องโทรทัศน์และออนไลน์ด้วยการเป็นซีรีส์ที่ยอดวิวทะลุ 1 หมื่นล้าน และ 2 หมื่นล้านเร็วที่สุดในจีน แต่ความปังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะซีรีส์ภาคต่ออย่าง "สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย" (Eternal Love of Dream) ก็ได้กลายเป็นซีรีส์ที่มียอดวิวสูงสุดประจำปี 2563 บนแอปพลิเคชัน WeTV



เซียวจ้าน จากหนุ่มดีไซน์ สู่ไอดอล และเมกะสตาร์จีนที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการบันเทิงเอเชีย

"เซียวจ้าน (Xiao Zhan)" มีชื่อเล่นว่า จ้านจ้าน (Zhan Zhan) อายุ 30 ปี หนึ่งในเมกะสตาร์จีนที่มีฉายาว่า 'กระต่ายน้อย' หรือเหล่าแฟนคลับมักจะเรียกว่า "จ้านเกอ หรือ พี่จ้าน" ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร ก็ขึ้นติดเทรนด์ในโลกโซเชียลเสมอ





สำหรับปีทองของเซียวจ้านนั้นก็คือปี 2562 กับผลงานที่ทำให้เขาโด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในเมกะสตาร์ของจีนในเวลาอันรวดเร็ว จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก คือกระแสซีรีส์ "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) ที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทุกครั้งที่ออกอากาศ และที่สำคัญคือ แฟนคลับชาวไทยนั้นมีความปังเกินต้าน ส่งแฮชแท็กภาษาไทย #ปรมาจารย์ลัทธิมารep50 ติดอันดับหนึ่งทั้งเทรนด์ประเทศไทย รวมถึงเทรนด์โลก แถมมียอดการรีทวีตมากกว่า 1 ล้านครั้ง



ทุกคอนเทนต์ของเซียวจ้านบน WeTV นั้นมักจะได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ทุกครั้ง สำหรับปรากฏการณ์ความปังล่าสุดของเซียวจ้านเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือซีรีส์แนวแฟนตาซีสร้างจากอนิเมะชื่อดังของจีน "ตำนานจอมยุทธ์ภูตถังซาน" (Douluo Continent) ติดอันดับ 5 ซีรีส์พากย์ไทยที่มียอดชมสูงในครึ่งปีแรก (Q1-Q2) บน WeTV อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำหรับแฟนๆ ที่อยากติดตามชมผลงานที่กำลังรอออนแอร์ของเขาเรื่อง "The Oath of Love" ในบทคุณหมอกู้เว่ย แพทย์หนุ่มแสนสุขุม และ "The Longest Promise" รวมถึงผลงานยอดฮิตก่อนๆ เช่น "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" (The Untamed) หรือ "กระบี่เทพสังหาร" (Jade Dynasty)



เมกะสตาร์ระดับตำนานอย่างขุ่นแม่หยางมี่ ตัวแม่แห่งวงการบันเทิง และวงการธุรกิจอย่างแท้จริง

หยางมี่ (Yang Mi) นักแสดงระดับตำนานแห่งวงการบันเทิงจีน ที่ถือว่าเป็นตัวแม่ทั้งในโลกแห่งการแสดง รวมถึงโลกแห่งธุรกิจ สำหรับใครที่อยากชมผลงานของเธอ สามารถรับชมได้ทางแอปฯ WeTV เช่นเรื่อง "มหัศจรรย์กระบี่เจ้าพิภพ" (Swords of Legends) และผลงานที่รอออนแอร์ 2 เรื่องสองสไตล์อย่างซีรีส์แนวเทพเซียนที่สร้างจากนิยายชื่อดังไข่มุกเคียงบัลลังก์ อย่างเรื่อง Novoland: Pearl Eclipse และผลงานแนวโรแมนติกอย่าง She & Her Perfect Husband ที่ประกบคู่กับสวีข่าย นักแสดงหนุ่มขวัญใจสาวไทยที่กำลังมาแรงในขณะนี้



หยาง หยาง ที่สุดแห่งใบหน้าชวนฝัน เจ้าของฉายาลูกแกะน้อยหน้ามนยิ้มละลายใจแฟนๆ ทั่วโลก

"หยาง หยาง" (Yang Yang) พระเอกใบหน้าหล่อดุจเทพบุตร ผู้ที่ได้รับฉายาลูกแกะน้อย หรือหนุ่มหน้าฟ้าประทานยิ้มละลายใจเขาคือนักแสดงที่มาเพื่อละลายใจแฟนๆ ทั่วโลกอย่างแท้จริง ทางด้านแฟนคลับชาวไทยเองก็ต้านความหล่อทะลุพิกัดของเขาไม่ไหวเช่นกัน เพราะเมื่อปี 2562 ตอนเปิดตัวแอปพลิเคชัน WeTV ที่ประเทศไทยนั้น WeTV ยังได้ถือโอกาสจัดแฟนมีตติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิก WeTV VIP เพื่อโปรโมตซีรีส์ เรื่อง "เทพยุทธ์เซียนกลอรี่" (The King's Avatar) และซีรีส์ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์อยู่ตอนนี้ คือซีรีส์ที่กำลังออนแอร์เรื่อง "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" (You are My Glory) การโคจรมาพบกันของคู่เคมีฟ้าประธานระหว่างหยาง หยางและตี๋รี่เร่อปา เริ่มออกอากาศไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา สร้างปรากฎการณ์ทำยอดวิวสูงถึง 100 ล้านวิวภายใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออกอากาศที่ประเทศจีน



การรวมตัวของโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ ของ WeTV นี่ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ และเพื่อเป็นการเอาใจแฟนคลับแบบสุดติ่ง WeTV ก็ได้เตรียมฟีเจอร์พิเศษกับการเก็บสะสม "VIP Digital Gift Card" ของแบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คนโดย VIP Digital Gift Card นี้แฟนๆ สามารถซื้อเพื่อสะสม และสนับสนุนแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ และยังมาพร้อมกับแพ็คเกจราคาพิเศษ VIP 1 เดือน ราคา 59 บาท (จากราคาปกติ 89 บาท) VIP 3 เดือน ราคา 179 บาท (จากราคาปกติ 249 บาท) และ VIP 12 เดือนราคา 599 บาท (จากราคาปกติ 899 บาท) และยังสามารถซื้อเพื่อส่ง VIP Digital Gift Card เป็นของขวัญให้กับเพื่อนๆ เพื่อแบ่งปันความบันเทิงของคอนเทนต์คุณภาพจาก WeTV ได้อีกด้วย นอกจากการซื้อ VIP Digital Gift Card เพื่อรับชมคอนเทนต์ VIP ยังเป็นการสะสมคะแนนจากการซื้อ VIP Digital Gift Card และสะสมคะแนนจากภารกิจพิเศษที่ทาง WeTV ได้เตรียมไว้เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากแบรนด์แอมบาสเดอร์แต่ละคน อาทิ รูปพร้อมลายเซ็น กล่องของขวัญสุดพิเศษ รวมถึงบัตรเข้าชมแฟนมีตติ้งของแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่คุณชื่นชอบ เป็นต้น สำหรับแฟนคลับที่อยากสนับสนุนโกลบอล แบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้ง 4 คน สามารถเข้าไปซื้อ VIP Digital Gift Card ได้ที่ https://bit.ly/likesWeTV ผ่านทางแอปพลิเคชัน WeTV
#2951
บ้านถั่วลิสง The Peanut House  เรื่องถั่ว... เราถนัด
สืบต่อตำนานความอร่อยแล้วก็ส่งต่อภูมิปัญญาในการผลิตถั่วลิสงจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก


 โรงงานถั่วลิสง "ซินกวงน่าน" เป็นโรงงานทำถั่วลิสงเพียงที่เดียวในจังหวัดน่าน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2521 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ได้พัฒนาตัวเองสู่โรงงานแปรรูปถั่วลิสงครบวงจร ตั้งแต่เลือกเมล็ดพันธ์ลงแปลงปลูกโดยเครือข่ายเกษตรกรของเรา เก็บเกี่ยวและก็ส่งถั่วลิสงเข้าสู่ขั้นตอนการแปรรูปที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน จนเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงในรูปแบบต่างๆที่พร้อมส่งต่อซินกวงน่านถึงมือคุณ


ประวัติของพวกเราและก็แกลลอรี่ถั่วลิสง Our History & Peanut Gallery
ชมประวัติความเป็นมาของโรงงานถั่วลิสงดั้งเดิมเพียงแห่งเดียวของจังหวัดน่าน แผนภาพกรรมวิธีการผลิตวัตถุดิบรวมทั้งขั้นตอนแปรรูปสินค้าถั่วลิสง นอกจากนี้ชวนทำความรู้จักกับ "ต้นถั่วลิสง" จำลองขนาด 2.5 เมตรที่ออกแบบและก็ผลิตขึ้นเพื่อให้ได้เห็นลำต้น ดอก ใบ และก็เม็ดถั่วลิสงคล้ายจริงที่สุดที่นี่ที่เดียวในประเทศไทย และคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากถั่วลิสง - ธัญพืชที่ให้โปรตีนแทนเนื้อสัตว์และไขมันที่ร่างกายต้องการแต่ว่าไม่สามารถสร้างเองได้





 สินค้าถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปจังหวัดน่าน Peanuts and many moreด้านในร้านบ้านถั่วลิสง นอกเหนือจากที่มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสงแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปของจังหวัดน่านที่มีคุณภาพมากมายหลายหลากให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากจากจังหวัดน่านสำหรับคนที่รักแล้วก็คนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมัลเบอรี่ ลูกเดือย กาแฟ ข้าว ถั่ว งา รวมทั้งธัญพืชในลักษณะต่างๆ ตลอดจนสมุนไพรที่ถูกเอามาแปรรูปเป็นเครื่องสำอางและยาด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับนวัตกรรมสมัยใหม่ 





 กาแฟน่านและเบเกอรี่จากถั่วลิสง Nan Coffee and Peanut Bakery
กาแฟที่เสิร์ฟในร้านบ้านถั่วลิสงเป็นกาแฟอาราบิก้าผสมโรบัสต้าในสัดส่วนที่ลงตัว หอมอร่อย คั่วเข้ม โดยเลือกใช้เมล็ดกาแฟเดอม้ง ซึ่งปลูกและก็ผลิตโดยชุมชนบ้านมณีพฤกษ์ ต.งอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นกาแฟที่ผ่านการคัดสรรสายพันธ์ที่ดีที่เหมาะสมกับการปลูกที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1400-1600 เมตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้พี่น้องชาวบ้านมณีพฤกษ์มีรายได้ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคง รวมทั้งช่วยรักษาแล้วก็ฟื้นฟูป่าน่านให้อุดมสมบูรณ์สืบไป  นอกเหนือจากนั้นยังมี "พีนัทซอฟท์เค้ก" และ "พีนัทเบคชีสเค้ก" เบเกอรี่โฮมเมดที่มีส่วนผสมของเนยถั่วลิสงรวมทั้งน้ำนมถั่วลิสงที่แสนอร่อย หวานน้อย ครีมเบานุ่ม ไม่เลี่ยน  แล้วก็หอมกลิ่นเนยถั่วลิสง ซึ่งหาทานได้ที่บ้านถั่วลิสงเท่านั้น
 

น้ำนมถั่วลิสง Peanut Milk
ไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาดบ้านถั่วลิสงชวนชิม "น้ำนมถั่วลิสง" Peanut Milk ที่ทำจากถั่วลิสง 100% ไม่มีครีมเทียม แล้วก็หัวนมผง และไม่ใส่สารแต่งสีแต่งกลิ่น เป็นน้ำนมจากถั่วลิสงตามธรรมชาติ ต้มสดทุกรุ่งเช้า หอม อร่อย ทานง่าย มีเสริฟทั้งแบบร้อน เย็น ปั่น ให้ทุกท่านได้ทานตรงนี้ที่เดียวในน่าน น้ำนมถั่วลิสงให้โปรตีนสูง ไขมันต่ำ เหมาะสำหรับทั้งเด็กรวมทั้งผู้ใหญ่ ผู้รักสุขภาพ ผู้ที่แพ้นมจากสัตว์  


บ้านถั่วลิสงเปิดรับกรุ๊ปเยี่ยมชมศึกษางานขั้นตอนการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับกลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน นักศึกษา เด็กนักเรียน หรือกลุ่มท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์เพื่อเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับการแปรรูปถั่วลิสง (รับเป็นคณะ 20 คนขึ้นไป รวมทั้งติดต่อล่วงหน้าเท่านั้น)


#2952



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมด ที่ได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ปยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ปมีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่

"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์กล่าว
#2953



"สกาย ไอซีที" จับมือ AppMan เชื่อมโยงเทคโนโลยี Face Recognition กับ Optical Character Recognition ต่อยอดระบบโครงสร้างพื้นฐาน e-KYC ครบวงจรและปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับความต้องการแห่งอนาคต หลังภาครัฐ-เอกชนมุ่งสู่ดิจิทัล ต้องการระบบความปลอดภัยยืนยันตัวตนผ่านออนไลน์ 

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY กล่าวว่า เทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับการเปิดให้บริการบนช่องทางออนไลน์ บริษัทในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย จึงร่วมกับบริษัท แอพแมน จำกัด (AppMan) ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาดเรื่องความแม่นยำในการอ่านอักขระโดยเฉพาะภาษาไทย เชื่อมโยงเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการทำสร้างระบบ e-KYC Solution ครบวงจร พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคต

"เรามีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า หรือ Face Recognition ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากพันธมิตรชั้นนำด้าน AI ของโลกอย่าง SenseTime ขณะเดียวกัน AppMan ก็ถือเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการอ่านอักขระด้วยแสง หรือ Optical Character Recognition เมื่อเราเชื่อมโยงเทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน จะช่วยให้เราสามารถสร้าง e-KYC Solution ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ เทคโนโลยี e-KYC ของทั้ง 2 บริษัทจะช่วยพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งานผ่านการสแกนบัตรประชาชน สแกนเอกสารทางราชการ ตลอดจนสแกนใบหน้าบนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือตัวตน ป้องกันความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เรียกใช้ข้อมูลได้ง่ายจากฐานข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานเมื่อเทียบกับการต้องยืนยันตัวตนแบบต่อหน้า (Face to Face) ขณะเดียวกัน ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ของบริษัทยังมีจุดแตกต่างจากเทคโนโลยี e-KYC ทั่วไปที่มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ค่อนข้างสูง การผนึกกำลังระหว่าง 2 บริษัทจะส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนต่อ Transaction ต่ำลง เพื่อให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ มีความแม่นยำสูง อีกทั้งมีความปลอดภัยมาตรฐาน Banking Grade

ด้านนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด กล่าวว่า เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่มีความเปราะบางสูง บริษัทฯ จึงสร้างความเชื่อมั่นปกป้องข้อมูลความปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบ (Audit) ทุกขั้นตอนมาตรฐานสากลระดับ CSA- Star Level 2 และ ISO/IEC27001 ก่อนนำเสนอสู่ตลาด พร้อมให้บริการบน Cloud อีกทั้งในระดับโลกนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับ e-KYC เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในหลากหลายกลุ่มธุรกิจระยะหนึ่งแล้ว เช่น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ e-KYC เข้ามายืนยันตัวตน ป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน กลุ่มธุรกิจการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีสถาบันการศึกษาดิจิทัล หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้ e-KYC เข้ามาช่วยยืนยันตัวตนผู้เข้าเรียนและผู้เข้าสอบ

"ในไทยเอง e-KYC เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น ในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ มีการปรับตัวให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ Online Video Consultation ต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding และ e-KYC เข้ามาเกี่ยวข้อง ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 บริษัทขยายโอกาสในการบริการกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รองรับทั้งการเติบโตในไทยและระดับโลก" นายธนภูมิ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทั้ง 2 บริษัทจะมุ่งเจาะตลาด มีทั้งกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบเอกสารทางราชการเพื่อความปลอดภัย กลุ่มภาคเอกชนในหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจการศึกษา กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งอาหาร กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

ขณะที่บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีกระบวนการทำงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Working Process (IWP) ดิจิทัลโซลูชันหลากหลายรูปแบบด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี OCR, เอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) ครอบคลุมทุกธุรกิจ เสริมศักยภาพและขยายอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ทุกองค์กรตามมาตรฐานสากล
#2954

 

บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2564 รายได้จากการขาย133,555 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดย มีปัจจัยหลักมาจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณขายที่ ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีผลกระทบจากปัญหาเรื่องการ

โดยมีกำไรสำหรับงวด เท่ากับ 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน ผลจากส่วนต่าง ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่าง ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ส่งผลทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2564  มีกำไรสำหรับงวด 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA เท่ากับ 55,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ของปี 2564ในอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 10,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่าย เงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2564 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 16 สิงหาคม 2564
#2955
ลงทองเรียกจิต เป็นการเรียกจิตให้อีกฝ่ายคิดถึง

ด้วยการเสกแผ่นทองคำเปลวแท้  100 %  ด้วยคาถาเรียกจิต  เพื่อเรียกจิตบุคคลที่ต้องการมาไว้ในแผ่นทอง  จากนั้นนำแผ่นทองที่ผ่านการเสกแล้ว  ไปติดตรงตำแหน่งกึ่งกลางหน้าผาก  โดยใช้สีผึ้งเรียกจิตทาก่อน  แล้วท่องคาถาเรียกจิตจนบุคคลที่ต้องการ  คิดถึงเรามากๆ 

ค่าครู 99  บาท
สนใจติดต่อ
โทร 0846623662
lide id : teerapat999

ลาซาด้า  คลิก
https://pdp.lazada.co.th/products/i2641064456.html?spm=a1zawg.20038917.content_wrap.6.7dfb4edfDYXNoK
#2956



ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์หนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญ คือ โรคในช่องปากส่งผลให้ผู้ป่วยสูงวัยที่มีภาวะโรคดังกล่าวมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี นักวิจัยมหิดล จึงพัฒนา ชุดตรวขคัดกรองโรคในปากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจาก วช.

ศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิง วรานันท์ บัวจีบ หัวหน้าโครงการวิจัยนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคในปาก จึงได้เริ่มการศึกษาโรคดังกล่าวในประชากรสูงวัย เพื่อนำข้อมูลที่สำคัญมาวิเคราะห์เตรียมความพร้อมให้ผู้สูงวัยมีบั้นปลายชีวิตที่เป็นสุข

ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิง วรานันท์ บัวจีบ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จำรัส พร้อมมาศ ดร.เบญจพร เลิศอนันตวงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ ดร.พัชรี เจียรนัยกูร คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)


ในแผนงานทุนท้าทายไทย เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ในการคิดค้นนวัตกรรม ชุดตรวจคัดกรองโรคในปาก ของผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว เพื่อพัฒนาชุดตรวจให้มีประสิทธิภาพ รู้ผลได้เร็ว เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งช่องปากในระยะแรก มักไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวด ทำให้มักจะมาพบทันตแพทย์เมื่อโรคลุกลามมาก การป้องกัน และเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งช่องปากจึงมีความสำคัญ และจำเป็น จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่ามะเร็งช่องปากมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ได้แก่การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การเคี้ยวหมาก รวมทั้งการติดเชื้อไวรัส HPV

ทีมผู้วิจัยตระหนักถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อ HPV ในช่องปาก ที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งของเยื่อเมือกช่องปาก จึงพยายามพัฒนาให้มีวิธีการคัดกรองไวรัส HPV ในช่องปากเบื้องต้น ที่ทำได้รวดเร็ว เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์และการตรวจสอบหารอยโรคที่เสี่ยงสูงต่อการกลายเป็นมะเร็งทั้งนี้ในผู้สูงอายุมักพบรอยโรคที่เสี่ยงสูงต่อการกลายเป็นมะเร็งของเยื่อเมือกในช่องปากที่สำคัญ ได้แก่ รอยโรคลิวโคเพลเคียและรอยโรคไลเคน แพลนัส การมีไวรัส HPV ในรอยโรคดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็งช่องปาก

นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคในปาก ได้ถูกนำมาตรวจคัดกรอง HPV ในรอยโรคลิวโคเพลเคียและรอยโรคไลเคน แพลนัส โดยการใช้แปรงขนนิ่มขนาดเล็กขูดเซลล์ที่รอยโรคดังกล่าวไปตรวจหาไวรัส จัดว่าเป็นวิธีที่สะดวก ทำได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดแผลหรือความเจ็บปวด และยังช่วยในการเฝ้าระวังและติดตามโรค รวมถึงให้การรักษาที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ


โดยขั้นตอนของการตรวจ หลังจากการทำปฏิกิริยาที่ใช้เพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ เพื่อเพิ่มปริมาณไวรัสที่จะตรวจแล้วจะใช้วิธีตรวจที่พัฒนาขึ้นนี้ทดแทนการรันเจลที่ใช้เวลานานกว่า เพื่อตรวจสอบผลการคัดกรองมะเร็งจากเชื้อไวรัสด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้า โดยการผสมสีที่เมื่อแตกตัวแล้วส่งสัญญานไฟฟ้าได้ สีดังกล่าวจะมีการเตรียมให้จำเพาะต่อดีเอ็นเอของไวรัสที่เกี่ยวข้องกับการคัดกรองมะเร็ง ดังนั้นหากพบดีเอ็นเอของเชื้อไวรัส สีดังกล่าวจะเข้าจับ และเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ซึ่งปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับปริมาณหรือจำนวนของเชื้อไวรัส


การทดสอบขั้นตอนนี้ทำได้ง่ายด้วยการหยดดีเอ็นเอที่ติดสีดังกล่าวเพียงหยดเดียวลงบน strip test ที่ทางโครงการวิจัยได้พัฒนาขึ้น แล้วใช้เครื่องอ่านผลปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าแบบพกพาขนาดเล็กที่มีการใช้อยู่แล้ว โดยเชื่อมต่อสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ทราบผลการวัดในเวลารวดเร็ว


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. สนับสนุนงานวิจัยด้านผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้อายุให้ได้รับการบริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยการนำองค์ความรู้ต่างๆ ขับเคลื่อนผลงานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปสู่การขยายผลต่อกลุ่มเป้าหมายและผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโรคในปาก เป็นชุดตรวจที่สะดวก ทำได้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดแผลและสามารถลดระยะเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างดี
#2957



บอร์ด "วันทูวัน คอนแทคส์" ส่งบริษัทย่อย "อินโน ฮับ" เข้าลงทุนใน "อินไซท์ มีเดีย กรุ๊ป" (IMG) จำนวน 2,964,000 หุ้น คิดเป็น 76% มูลค่า 15 ล้านบาท สยายปีกสู่ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการผลิตสื่อโฆษณา "คณาวุฒิ วรรทนธีรัช" ระบุเป็นการต่อยอดธุรกิจ ตอบโจทย์ Lifestyle ผู้บริโภคยุค New Normal

นายคณาวุฒิ วรรทนธีรัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัท อินโน ฮับ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% เข้าลงทุนในบริษัท อินไซท์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (IMG) ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจด้านการให้บริการเกี่ยวกับการผลิตสื่อโฆษณาในประเทศไทย จำนวน 2,964,000 หุ้น คิดเป็น 76% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่าการลงทุน 15,000,000 บาท

โดย "อินโน ฮับ" จะดำเนินการเข้าซื้อหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นปัจจุบัน 3 ราย ได้แก่ นายสุภสิทธิ์ รักกสิกร นายเมธวิน อังคทะวานิช และนายทศพล สุรวาศรี จำนวนรวม 1,964,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 67.72% ของหุ้นทั้งหมดใน IMG โดยมีมูลค่าการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 5,000,000 บาท (ธุรกรรมการซื้อหุ้นเดิม) และภายใน 4 เดือนหลังจากการเข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นเดิมเสร็จจะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ IMG จำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 25.64% ของหุ้นทั้งหมดภายหลังจากการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการจองซื้อหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 10,000,000 บาท (ธุรกรรมการซื้อหุ้นเพิ่มทุน)

"การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสื่อและโฆษณาในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้บริษัทฯ สอดรับ Lifestyle ผู้บริโภคยุค New Normal ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต" นายคณาวุฒิ กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ OTO ดำเนินธุรกิจให้บริการบริหารจัดการงานลูกค้าสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ และให้บริการออกแบบพัฒนาและติดตั้งระบบศูนย์บริการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จให้แก่องค์กรภาครัฐและเอกชน และมีบริการให้เช่าอุปกรณ์ Contact Center และบริการให้เช่าซอฟต์แวร์ ทั้งซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และซอฟต์แวร์ระบบ Contact Center ที่ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กรเพื่อให้บริการลูกค้า
#2958



อเมริกันชนที่วัคซีนต้านโควิด-19 ครบแล้ว ควรกลับไปสวมหน้ากากอีกครั้งยามอยู่ในสถานที่สาธารณะในร่ม ตามภูมิภาคต่างๆที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะตัวกลายพันธฺุ์เดลตากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผยว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาบังคับลูกจ้างรัฐฉีดวัคซีน เชื่อเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับหลีกเลี่ยงล็อกดาวน์อีกรอบ

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) ยังแนะนำให้นักเรียนทุกคนและครูสอนตามโรงเรียนอนุบาลจนถึงเกรด 12 สวมหน้ากากโดยไม่พิจารณาว่าฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่ ขณะที่ซีดีซีเชื่อว่าเด็กๆน่าจะกลับคืนสู่ชั้นเรียนในห้องเรียนและเต็มเวลา ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ภายใต้ยุทธศาสตร์การป้องกันอย่างเหมาะสม

การกลับลำคำแนะนำจากที่เคยแถลงเมื่อเดือนพฤษภาคมของทางซีดีซีในครั้งนี้ กระตุ้นประชาชนชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องควานหาหน้ากากปกปิดใบหน้าตนเอง

สหรัฐฯเป็นชาติลำดับต้นๆที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงที่สุดในโลก คิดเป็น 1 เคสในทุกๆ 9 เคสที่ทั่วโลกรายงานในแต่ละวัน เวลานี้ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อรายใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ 57,126 ราย แต่ยังเป็นแค่ 1 ใน 4 ของช่วงพีคสุดของการระบาด

"ตามพื้นที่ต่างๆที่มีการแพร่ระบาดสูง ซีดีซีแนะนำคนฉีดวัคซีนแล้วสวมหน้ากากยามอยู่ในสถานที่สาธารณะในร่ม เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาและปกป้องคนอื่นๆ" ซีดีซีระบุ พร้อมเผยว่าในบรรดาเคาน์ตีต่างๆของสหรัฐฯ มีราว 63% ที่มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อในระดับสูง ซึ่งจำเป็นต้องสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาด

ในเดือนพฤษภาคม ซีดีซีเคยออกคำแนะนำว่าบุคคลที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากยามอยู่กลางแจ้ง และสามารถหลีกเลี่ยงสวมหน้ากากยามอยู่ในร่มเกือบทุกสถานที่ โดยภายใต้คำแนะนำครั้งนั้น ซีดีซีบอกว่ามันเป็นการเปิดทางให้วิถีชีวิตเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ



นายแพทย์เดวิด ดัวดี นักระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปปินส์ ระบุว่าคำแนะนำล่าสุดของซีดีซี มีแรงจูงใจจากลักษณะการแพร่ระบาดที่เปลี่ยนแปลงไป "เรากำลังเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุก 10 วันหรือมากกว่านั้น"

คำแนะนำใหม่ของซีดีซีไม่ได้ผลผูกพันและอเมริกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในรัฐต่างๆที่มีความโน้มเอียงฝักใฝ่รีพับลิกัน อาจเลือกไม่ปฏิบัติตาม ในขณะที่เวลานี้มีรัฐต่างๆอย่างน้อย 8 แห่ง ห้ามสถาบันการศึกษาบังคับสวมหน้ากาก

เมื่อวันจันทร์(26ก.พ.) ทำเนียบขาวยืนยัน ยังไม่ยกเลิกมาตรการห้ามคนต่างชาติเดินทางเข้าสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลกับการระบาดรุนแรงของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียและนครนิวยอร์ก รวมทั้งกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกสั่งให้ลูกจ้างรัฐต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจหาเชื้อเป็นประจำ

หน้ากากกลายเป็นประเด็นทางการเมืองในสหรัฐฯ ครั้งอยู่ภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งขัดขืนบังคับสวมหน้ากาก ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อ้าแขนรับมาตรการสวมหน้ากากและออกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากตามศูนย์กลางด้านการขนส่งต่างๆ ไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง

ไบเดน ระบุในวันอังคาร(27ก.พ.) ว่าสวมหน้ากากและเพิ่มจำนวนผู้ฉีดวัคซีนในพื้นที่ต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากตัวกลายพันธุ์เดลตา คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับหลีกเลี่ยงมาตรการล็อกดาวน์แบบเดียวที่ประเทศแห่งนี้ต้องประสบเมื่อปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน ไบเดน บอกับผู้สื่อข่าวด้วยว่ารัฐบาลของเขากำลังพิจารณาบังคับลูกจ้างรัฐของรัฐบาลกลางวัคซีน ตามอย่างรัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก "ตอนนี้มันอยู่ภายใต้การพิจารณา" ประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์(26ก.ค.) เจน ซากี เลขานุการด้านสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว เปิดเผยว่ารัฐบาลยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะถึงขั้นต้องออกกฎหมายบังคับลูกจ้างรัฐของรัฐบาลกลางฉีดวัคซีนหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯคือนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

(ที่มา:รอยเตอร์)
#2959



ปัญหาสภาวะโลกรวนทำให้หลายประเทศในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกามีความพยายามที่จะกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มข้น รวมถึงประเทศไทยที่ออกมาขานรับการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำเช่นกัน โดยเฉพาะในภาคพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึงร้อยละ 30

แผนพลังงานแห่งชาติฉบับใหม่จึงมุ่งเป้าสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ด้วยนโยบาย 4D1E ประกอบด้วย

- DIGITALIZATION ยกระดับโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าให้เป็นระบบอัจฉริยะรองรับไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทนและพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน

- DECARBONIZATION ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล

- DECENTRALIZATION ส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน สร้างความสมดุลของพื้นที่ไฟฟ้าในทุกภูมิภาค

- DE-REGULATION สนับสนุนการเปิดพื้นที่เฉพาะให้สามารถพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านพลังงานได้โดยผ่อนปรนกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค (ERC Sandbox) และส่งเสริมสตาร์ทอัพด้านพลังงาน

- ELECTRIFICATION ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

เทรนด์แบตเตอรี่มาแรง หนุนไทยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

รศ.ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการองค์การซีเกรฝ่ายไทย กล่าวถึงทิศทางพลังงานโลกภายในงาน TNC – CIGRE WEBINAR 2021 ระบุว่า หลายประเทศทั่วโลกได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น แต่ความผันผวนของการผลิตไฟฟ้าที่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ทำให้ต้องนำเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบของแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) เข้าช่วยเสริมเสถียรภาพการบริหารจัดการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งราคาแบตเตอรี่ที่มีแนวโน้มลดลงจะมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตให้เพิ่มมากขึ้นด้วย

Mr. Wilhelm van Butselaar ผู้แทนจาก Wärtsilä Singapore กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยี BESS ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายและมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากนำมาประยุกต์ร่วมกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานฟอสซิลจะสามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยของระบบได้มากกว่าร้อยละ 25 หรือหากนำไปใช้ร่วมกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะช่วยลดความผันผวนจากข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อมและเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบให้มีความมั่นคง ถือเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตไฟฟ้าเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต

ชู 'โซลาร์ลอยน้ำไฮบริดและแบตเตอรี่' จุดเด่นโมเดลผลิตไฟฟ้ารับหมุนเวียน

ด้าน กฟผ. ก็ไม่ตกเทรนด์มุ่งพัฒนา BESS เชื่อมต่อกับระบบส่งไฟฟ้า (Grid Scale) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อช่วยเสริมความมั่นคง รองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดย BESS จะกักเก็บพลังงานในช่วงที่ระบบมีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อย และจ่ายพลังงานให้กับระบบในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาความถี่ของระบบไฟฟ้าด้วย โดย กฟผ. ได้เริ่มนำร่อง BESS ในพื้นที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสูง

นอกจากนี้ กฟผ. ยังขานรับเทรนด์พลังงานโลกเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ชูจุดเด่นของการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานจากพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน กฟผ. หรือ Hydro-Floating Solar Hybrid ซึ่งถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยนำร่องแห่งแรก ณ เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดของ กฟผ. ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ยาวนานขึ้น โดยในช่วงกลางวันจะผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ และช่วงกลางคืนผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ควบคู่กับแบตเตอรี่ที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการผลิตไฟฟ้าในตอนกลางวัน อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมของเขื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ สายส่งไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่ำลงไม่เกิน 1.50 สตางค์ต่อหน่วย

ส่วนในภาคการขนส่ง กฟผ. ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การติดตั้งสถานีชาร์จอีวี EleX by EGAT จำนวน 14 แห่ง และเตรียมขยายเพิ่มอีก 30 แห่งในอนาคต การพัฒนาแอพพลิเคชัน EleXA สำหรับค้นหาสถานีชาร์จอีวี ออกแบบและติดตั้ง EGAT Wallbox สำหรับชาร์จอีวีภายในบ้านหรือสถานที่ประกอบการ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์ม BackEN สำหรับบริหารจัดการสถานีชาร์จอีวีแบบครบวงจร


การพัฒนาการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความมั่นคงเชื่อถือได้ และเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำเท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์คือ ความร่วมมือจากประชาชนและทุกภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
#2960



รายงานข่าวจากบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ 19 แห่ง (ธ.พ.ไทย) ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2564 ขยับขึ้นจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 7.84 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อระบบธ.พ.ไทยน่าจะปิดสิ้นไตรมาส 2/2564 ที่ระดับประมาณ 4.4% YoY เทียบกับ 4.6% YoY ในไตรมาสที่ 1/2564

โดยแม้จะเริ่มชะลอตัวลง แต่ก็ยังไม่มากนัก เพราะได้รับแรงประคองทิศทางกลับมาบางส่วนจากการขยายตัวต่อเนื่องของสินเชื่อใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ (1) สินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเสริมสภาพคล่องและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 และ (2) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ยังคงมีกำลังซื้อ กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบราคาประมาณ 1-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม หากขาดแรงส่งของสองกลุ่มสินเชื่อดังกล่าวที่มาจากลูกค้าที่ยังมีขีดความสามารถในการกู้เงินและสามารถบริหารจัดการผลกระทบจากโควิดได้นั้น คาดว่าจะเห็นตัวเลขอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ชะลอตัวอย่างชัดเจนขึ้น นำโดยสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค

เงินฝากเติบโตในอัตราชะลอลงเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อน  

สำหรับภาพรวมเงินรับฝากของระบบธ.พ.ไทย ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2564 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.09 แสนล้านบาท นับเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเป็นการปรับตัวลงในเกือบทุกธนาคาร ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลของการนำเงินฝากไปลงทุนในตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ประกอบกับมีการทยอยเบิกใช้สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด 19 ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและผู้ฝากเงินรายย่อย ซึ่งทำให้ภาพรวมเงินฝาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 ชะลอการขยายตัวลงมาที่ 4.0% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากอัตราการขยายตัวที่ 5.0% YoY ในไตรมาสที่ 1/2564


นอกจากนี้หากพิจารณาเงินฝากในกลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อย จะพบว่า เงินฝากกลุ่มรายย่อยยังเติบโตในอัตราใกล้เคียงกับภาพรวมเงินฝากทั้งระบบ

อย่างไรก็ดี ภาพเงินฝากรายย่อยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) เงินฝากรายย่อยในกลุ่มที่วงเงินต่อบัญชีสูงกว่า 1 ล้านบาท (สัดส่วน 65% ของเงินฝากรายย่อยโดยรวม) ซึ่งประคองการเติบโตได้สูงกว่าเงินฝากรายย่อยในภาพรวม และ 2) เงินฝากรายย่อยในกลุ่มที่วงเงินต่อบัญชีไม่เกิน 1 ล้านบาท (สัดส่วน 35% ของเงินฝากรายย่อยโดยรวม) ที่มีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวงเงินต่อบัญชีไม่เกิน 50,000 บาท และกลุ่มวงเงินต่อบัญชีเกินกว่า 50,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาท  ซึ่งอาจสะท้อนภาพการนำเงินฝากบางส่วนมาใช้เพื่อประคองสถานการณ์ในช่วงโควิด-19


ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจะทำให้ความต้องการสินเชื่อจากกลุ่มลูกค้าที่ยังพอมีรายได้หรือศักยภาพนั้น เป็นไปอย่างระมัดระวัง ทำให้การเติบโตของสินเชื่อปิดสิ้นปี 2564 ในอัตราการเติบโตใกล้เคียงระดับกลางปีที่ประมาณ 4.5% ซึ่งชะลอลงจากที่ขยายตัว 5.8% ในปี 2563

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ยอดคงค้างสินเชื่อของระบบธ.พ.ไทยในครึ่งหลังของปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ต่อเนื่อง เพียงแต่แรงหนุนสำคัญยังมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนของการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องกับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และการเร่งอนุมัติสินเชื่อผ่านโครงการสินเชื่อฟื้นฟู

ขณะที่การช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ น่าจะส่งผลทำให้การชำระคืนหนี้ช้าลง และลดแรงกดดันต่อยอดคงค้างสินเชื่อในภาพรวม อย่างไรก็ดี การปล่อยสินเชื่อใหม่ในส่วนอื่นๆ น่าจะเริ่มชะลอลง เนื่องจากสถานการณ์โควิดในประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งทำให้ทั้งฝั่งลูกค้าชะลอความต้องการสินเชื่อเพื่อลงทุนออกไป ขณะที่ฝั่งสถาบันการเงินยังคงต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตจากการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง