• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#6076
ลูกอมพระแม่ธรณี

จัดสร้างจากดินใต้ฐานพระแม่ธรณี ผงมหาจักรพรรดิ และมวลสารอื่น ๆ ช่วยในเรื่องการขายบ้าน ขายที่ดิน
#6078
ข้อต่อท่ออ่อนสแตนเลส
ท่อรับการสั่น
ท่อรับการสะเทือน
ข้ออ่อนกันสะเทือน
#6079
ลูกอมพระแม่ธรณี

จัดสร้างจากดินใต้ฐานพระแม่ธรณี ผงมหาจักรพรรดิ และมวลสารอื่น ๆ ช่วยในเรื่องการขายบ้าน ขายที่ดิน
#6080


พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือการขับเคลื่อนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ร่วมกับหน่วยงานภายในและภายนอกที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบทางไกล teleconference โดยมี นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ร่วมให้ข้อมูลการจัดทำ 'Phuket Sandbox' เพื่อแลกเปลี่ยนและหาแนวทางที่เหมาะสมและเตรียมพร้อมในการเปิดกรุงเทพฯ รองรับการท่องเที่ยว เพื่อให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการควบคุมโรค โดยไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด -19 จากนักท่องเที่ยวมาสู่ประชาชน ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต้องไม่ได้รับเชื้อจากประชาชนด้วย เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ มีความแตกต่างจากภูเก็ตที่มีสภาพเป็นเกาะ แนวทางการทำ 'Bangkok Sandbox' อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไปบ้าง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างแสดงความพร้อมที่จะผลักดันให้สามารถเปิดกรุงเทพฯ ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมควบคุมโรค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย สมาคมสปาไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จากชุดข้อมูลของคณะกรรมการวิชาการประเมินความพร้อมในการเปิดพื้นที่ระบุว่ากรุงเทพฯ มีความพร้อม 51.64% พิจารณาจากความก้าวหน้าในการได้รับวัคซีนของคนกรุงเทพฯ ขณะนี้อยู่ที่ 44.09% ควรได้รับวัคซีนคนบ 2 เข็ม 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ควรถึง 80% ก่อน ประกอบกับยังต้องมีการหารือเพิ่มเติมถึงมาตรการและเงื่อนไขที่ชัดเจน จึงจะกำหนดเป้าหมายวันเปิดเมืองพร้อมวางไทม์ไลน์ให้ทุกฝ่ายได้เตรียมพร้อมที่สุดในการเปิดเมืองครั้งนี้ โดยจะมีการนัดประชุมหารือกันต่อไป
#6081
ลดกระหน่ำโควิด ขายบ้านเดี่ยว มณีรินทร์ 97วา 5.5ลบ. (บางคูวัด)ถนนเมน โทร 0837124115
#6082

ธนาคารไทยพาณิชย์ เตรียมเสนอผู้ถือหุ้นเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ ตั้งโฮลดิ้ง "เอสซีบี เอกซ์" พร้อมทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อนำ SCBX เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นแทน SCB

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคาร ครั้งที่ 11/2564 วันที่ 22 ก.ย.2564 คณะกรรมการธนาคารได้มีมติเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 พ.ย.2564 พิจารณาอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงินไทยพาณิชย์ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (แผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น) โดยธนาคารได้ดำเนินการให้มีการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด คือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB X Public Company Limited) (SCBX) ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อว่า บริษัท ไทยพาณิชย์ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (SCB Holdings Public Company Limited)

ทั้งนี้ อยู่ในระหว่างการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น SCBX เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company)

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่แผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นได้รับการอนุญาตเบื้องต้นจากตลท. และ SCBX ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่แล้ว SCBX จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารจากผู้ถือหุ้นของธนาคาร โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX และ 1 หุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX


ทั้งนี้ ในการทำคำเสนอซื้อดังกล่าว SCBX จะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หากจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายมีจำนวนน้อยกว่า 90% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของธนาคาร และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของธนาคารเสร็จสิ้น หลักทรัพย์ของ SCBX จะเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลท. แทนหลักทรัพย์ของธนาคาร ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในวันเดียวกัน

ทั้งนี้ธนาคารจะดำเนินการให้ SCBX ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับธนาคาร (คือ SCB) ในการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียน นอกจากนี้ ยังพิจารณาอนุมัติการโอนย้ายบริษัทย่อยในกลุ่มของธนาคารให้แก่ SCBX หรือบริษัทย่อยของ SCBX โดยธนาคารประมาณการว่ามูลค่ารวมของการโอนย้ายบริษัทย่อยจะอยู่ที่ประมาณ 19,504 ล้านบาท ซึ่งการโอนย้ายบริษัทดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของธนาคาร 

ขณะเดียวกัน จะโอนทรัพย์สิน หนี้สิน และสิทธิเรียกร้องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ให้แก่บริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ของ SCBX ซึ่งจะถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าวเกือบทั้งสิ้น 99.99% (Card X) เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน โดยในส่วนของสิทธิเรียกร้องที่เป็นคดีความ และสิทธิเรียกร้องที่ค้างชำระที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันนั้น ธนาคารจะโอนให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทย่อยของ Card X


นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นตามแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น จะเสนอให้มีการพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสุทธิประจำปี และกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะล่าสุดของธนาคารจำนวนประมาณ 70,000 ล้านบาท ให้แก่ SCBX และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ในขณะนั้นของธนาคาร ซึ่งรวมถึงการกำหนดจำนวนเงินปันผลที่จะจ่าย การกำหนดวันกำหนด รายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ภายใต้ข้อบังคับของธนาคารและกฎหมายที่ได้กำหนดไว้ 

ทั้งนี้ คาดว่าเงินปันผลส่วนใหญ่ที่ธนาคารจะจ่ายให้กับ SCBX ดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับการรับโอนบริษัทย่อยและธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และเป็นเงินลงทุนสำหรับ SCBX ในการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคตเป็นหลัก รวมทั้งเพื่อเป็นเงินปันผลที่ SCBX จะพิจารณาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในขณะนั้นของ SCBX ภายหลังจากการแลกหุ้นระหว่างธนาคารและ SCBX เสร็จสิ้น
#6083

ศึกกอล์ฟ ซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการกอล์ฟโลก หลังผนึกกำลังเซ็นสัญญา 10 ปีกับเอเชียนทัวร์ เริ่มตั้งแต่ปี 2022 พร้อมเพิ่มเงินรางวัลชิงชัย

เอเชียนทัวร์ ร่วมกับ สหพันธ์กอล์ฟซาอุดิอารเบีย และกอล์ฟซาอุดิ แถลงข่าวการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรครั้งประวัติศาสตร์ในวงการกอล์ฟโลก จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่ "ซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล พรีเซนเต็ดบาย ซอฟต์แบงก์ อินเวสต์เมนต์ แอดไวเซอร์" โดยเซ็นสัญญายาว 10 ปี เริ่มปีหน้า ชิงเงินรางวัลรวม 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 166 ล้านบาท แข่งขันระหว่างวันที่ 3-6 กุมภาพันธ์ 2022 ที่สนามกรีนส์กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ในเมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันไปทั่วโลก โดยมีไอเอ็มจี บริษัทชั้นนำด้านกีฬา แฟชั่นและสื่อ ดูแลการจัดการแข่งขัน

โดยก่อนหน้านี้การแข่งขันกอล์ฟรายการ ซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล เป็นรายการในโปรแกรมการแข่งขันของยูโรเปียนทัวร์ เริ่มจัดในปี 2019 ชิงเงินรางวัลรวมปีละ 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความสนใจจากนักกอล์ฟฝีมือระดับแถวหน้าของโลกร่วมชิงชัยคับคั่ง เป็นรองแค่ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์เท่านั้น การเซ็นสัญญากับเอเชียนทัวร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการแข่งขันรายการที่มีชื่อเสียงในตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญทั่วโลก

มาเจด อัล-ซอรูร์ ประธานบริหารกอล์ฟซาอุและสหพันธ์กอล์ฟซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า "วันนื้ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการพัฒนาการแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่ของเรา และสานต่อวิสัยทัศน์ของเราในการส่งเสริมและยกระดับรายการกอล์ฟระดับโลก ทั้งในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (จีซีซี) และเวทีระดับนานาชาติ ภูมิภาคเอเชียมีบทบาทสำคัญในเวทีกอล์ฟโลก โดยเฉพาะในฐานะผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจระดับโลก การร่วมมือกับเอเชียนทัวร์ในครั้งนี้ จะช่วยปลดล็อกและเพิ่มโอกาสมากมายสำหรับนักกอล์ฟ ผู้สนับสนุน และแฟนกีฬากอล์ฟ ที่สำคัญที่สุดคือเรามีความกระตือรือร้นที่จะจัดการแข่งขันที่มีความครอบคลุมทุกด้านมากขึ้น ก้าวข้ามขอบเขตของกีฬาครอบคลุมทุกพรหมแดนและวัฒนธรรม โดยส่งเสริมความร่วมมือกับทัวร์ใหญ่ๆ และนี่คือก้าวแรกที่จะนำไปสู่จุดหมายนั้น"

ด้านโช มิน ตัน กรรมาธิการและประธานบริหารของเอเชียนทัวร์ เผยว่า "นี่คือการพัฒนาที่สำคัญของเอเชียนทัวร์ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายสำหรับสมาชิกในทัวร์ของเรา ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การแข่งขันกอล์ฟรายการ ซาอุดิ อินเตอร์เนชันแนล พรีเซนเต็ดบาย ซอฟต์แบงก์ อินเวสต์เมนต์ แอดไวเซอร์ส เป็นรายการระดับโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่การแข่งขันรายการนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียนทัวร์ และนำไปสู่การขยายฐานของเราไปยังพรหมแดนใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น"

นอกจากนี้ ทางเอเชียนทัวร์กำลังวางแผนกำหนดโปรแกรมการแข่งขันรวมฤดูกาล 2020/2021 หลังเผชิญผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจะประกาศกำหนดการแข่งขันใหม่ในเร็วๆนี้
#6084

"เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์" CEO แม็คกรุ๊ป เปิดกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจปีบัญชี 2564/2565 ประกาศนำแม็คยีนส์เป็นบริษัทค้าปลีกประเภทสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของไทย พร้อมสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น คาดรายได้เติบโตจากปีก่อน ฐานะการเงินแกร่ง ปันผลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาบริหารประมาณ 4 เดือนในบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC แถลงแผนธุรกิจงวดปีบัญชี 2565 ผ่านระบบออนไลน์ ว่า "แม็คกรุ๊ป" วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ 5 ประเด็นหลัก และจะเน้นโฟกัสธุรกิจในประเทศไทยเป็นหลักในขณะนี้ ดังนี้

1. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการเงิน การพัฒนาศักยภาพทางการผลิตสินค้าและบริการ  2. ขยายฐานการรับรู้แบรนด์และชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ และขยายกลุ่มลูกค้า 3. พัฒนาแพลตฟอร์มค้าปลีกช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ และการเชื่อมต่อกันอย่างมีศักยภาพ 4. การปรับเปลี่ยนการดำเนินงานในองค์กร และ 5. เพิ่มศักยภาพของเทคโนโลยีและกระบวนการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ บริษัทบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากกลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะเจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย, สัดส่วนการขายสินค้า การบริหารช่องทางจัดจำหน่ายได้เหมาะสม ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ระดับสูง 59.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 57.8% และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นจาก 12.7% ในช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ระดับ 13.7% รักษาอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ระดับใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อนที่ราว 43%



"แม้ว่าในรอบปีบัญชี 2564 จะต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า และโควิด-19 ระลอก 4 ที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ส่งผลให้ยอดขาย 2 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 ได้รับผลกระทบ แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดลดลงและการฉีดวัคซีนมีเพิ่มขึ้น จนรัฐบาลเตรียมประกาศเปิดเมือง มั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะโตตามเป้าหมาย" นายเจมส์กล่าว

ที่ผ่านมาบริษัทมีเงินสดในมือกว่า 1,864 ล้านบาท จะสนับสนุนให้บริษัทแสวงหาโอกาสในการเติบโตได้เพิ่มขึ้น และก็อาจจะรวมทุนหากมีโอกาส รวมถึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง โดยปีล่าสุดจ่ายในอัตรา 98.1% ของกำไรสุทธิสูงกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ โดยงวดครึ่งปีหลังปีบัญชี 2564 จะจ่ายผู้ถือหุ้นอีกหุ้นละ 0.20 บาท

นายเจมส์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทจะใช้กลยุทธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์เพื่อสนับสนุนการเติบโต โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งในส่วนของออนไลน์ นอกจาก mcshop.com ยังมีช่องทางมาร์เกตเพลซและพันธมิตรออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada และ JD CENTRAL เป็นต้น การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตร เช่น ปั๊ม ปตท.ที่เราจะเปิดเอาต์เลตในปั๊ม ปตท.อีก เช่น ปตท.วังน้อย วันที่ 1 ตุลาคมนี้ จากเดิมมี 55 แห่งใน ปตท. และมีร้านออฟไลน์ 279 แห่ง ร้านชอปอินชอป 143 แห่ง อื่นๆ 45 แห่ง รวม 522 แห่ง

การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าทางออนไลน์ (Online Engagement) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เรามีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิก MC CLUB กว่า 1.6 ล้านคน ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ของ MC CLUB ที่สามารถใช้งานได้สะดวกสบายผ่าน LINE OA สำหรับช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท เช่น Facebook Page Mc Jeans มีผู้ติดตามประมาณ 1 ล้านคน ในอนาคตคาดหวังว่ายอดขายจากช่องทางออนไลน์จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 15% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท จากปีก่อนอยู่ที่ 389 ล้านบาท คิดเป็น 12%

"การบริหารจัดการธุรกิจในยามวิกฤต เรายังคงเดินหน้าสร้างความสามารถในการทำกำไร การดำเนินการลดต้นทุนอย่างจริงจังในทุกๆ ส่วนงาน และมุ่งเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่ยังคงรักษารายได้ และความสามารถในการทำกำไรของช่องทางออฟไลน์ รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานที่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญในอันดับแรกของ Mc โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดให้พนักงานได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง" นายเจมส์กล่าว

ในปีบัญชี 2564/2565 บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุน 80 ล้านบาท ดำเนินการขยายทั้งธุรกิจออนไลน์และธุรกิจออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของธุรกิจออนไลน์ใกล้เคียง15% ตามเป้าที่วางไว้ รวมทั้งมีแผนเปิดสาขาใหม่ รวม 22 สาขา ประกอบด้วย Mc Outlet 15 แห่ง SHOP 4 แห่งและเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า 3 เคาน์เตอร์ ขณะที่ในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้าบริษัทวางแผนจะใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาทในการสร้างศูนย์กระจายสินค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

ล่าสุดก่อนมาร่วมงานที่แม็ค นายเจมส์บริหารงานที่ไมเนอร์ไลฟ์สไตล์มานาน 6 ปี ในตำแหน่งซีอีโอ
#6085

สสว. ปลื้ม "สุดยอดSME จังหวัด" ภาคเหนือ-อีสาน บน Lazada สร้างรายได้ เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่การตลาดชีวิตวิถีใหม่ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคไทยเข้าถึงสินค้าคุณภาพหลากหลายด้วยรูปแบบออนไลน์

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ปีนี้ สสว. โดยโครงการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย กิจกรรมพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) ปี 2021 ซึ่งมีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาเป็นหน่วยร่วมดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างต้นแบบธุรกิจที่มีศักยภาพให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับจังหวัด และเพื่อสนับสนุนธุรกิจต้นแบบให้สามารถถ่ายทอดการจัดการองค์ความรู้ธุรกิจสู่ SME ในภูมิภาค ซึ่งได้ปรับรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีเป้าหมายให้สามารถส่งเสริมรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงวิกฤตินี้ ซึ่งได้ร่วมกันผลักดันให้ผู้ประกอบการเปิดร้านค้าออนไลน์จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Lazada ภายใต้แคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด"
นั้น ประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ เพราะนอกจากจะสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อก้าวเข้าสู่การตลาดชีวิตวิถีใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยรูปแบบออนไลน์

"สสว. และหน่วยร่วมดำเนินการได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะให้กิจกรรมในโครงการสามารถสร้างประโยชน์แก่ผู้ประกอบการได้สูงสุดภายใต้ข้อจำกัดจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SME Provincial Champions ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้า โดยได้รับความร่วมมือจากแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพอย่าง Lazada สร้างรายได้ในช่วงวิกฤตินี้ นับว่าน่าพอใจอย่างยิ่งเพราะเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการในช่องทางการตลาดที่สอดคล้องกับสถานการณ์ และเตรียมพร้อมสู่อนาคตไปพร้อมกันด้วย" ผอ.สสว. กล่าว

ด้าน ดร.ฉัตรรัตน์ โหตระไวศยะ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา หัวหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย กิจกรรมพัฒนาสู่สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด (SME Provincial Champions) พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 37 จังหวัด ปี 2564 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินการกล่าวว่า ถึงแม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมในบางส่วน แต่ด้วยใจหลักสำคัญของการดำเนินโครงการ คือ การพัฒนาธุรกิจ SME เพื่อช่วยเหลือและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบของการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ในการดำเนินกิจกรรมการตลาด ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ร่วมมือกับ Lazada ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเปิดร้านค้าออนไลน์ รวมถึงให้ความรู้ด้าน e – Commerce เพื่อตอบโจทย์การเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างรายได้แล้ว ผู้ประกอบการยังได้รับการพัฒนาศักยภาพให้สอดคล้องกับรูปแบบการขายที่ทันสมัยอีกด้วย

ขณะที่ นายวีระพงศ์ โก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีระดับโลก กล่าวว่า การร่วมมือกับ สสว. จัดทำแคมเปญพิเศษ "ช้อปของดี SME ไทย ไฟต์โควิด" ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยยกระดับเอสเอ็มอีไทยสู่การเป็นผู้ประกอบการดิจิทัล แต่ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคไทยได้เข้าถึงสินค้าคุณภาพหลากรายการในราคาพิเศษถึงแม้ว่าจะต้องเก็บตัวอยู่บ้านในช่วงนี้ก็ตาม Lazada พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะนำศักยภาพแพลตฟอร์มและเครือข่ายโลจิสติกส์มาใช้ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและผู้บริโภคในการก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้และเติบโตไปด้วยกัน
#6086



นิยามของการดูแลผิวหน้าของคุณผู้ชายเพื่อ แก้ปัญหาผิวที่ร่วงโรยและเสื่อมสภาพ พร้อมช่วยปรับสมดุลผิวทั้งภายในและภายนอกด้วยเซรั่มบำรุงผิว สำหรับผู้ชาย พร้อมเผยผิวหน้าที่ดูเรียบเนียน แลดูกระจ่างใสพร้อมความมั่นใจมาอย่างเต็มขั้น โดยสถานการณ์ในช่วงนี้ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องซ่อนผิวหน้าของตนเองเอาไว้ภายใต้หน้ากาก รวมถึงต้องเจอกับมลภาวะต่าง ๆ ความเครียด และอาหารที่รับประทาน เป็นเหตุให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพ อ่อนแอ และดูไม่มีชีวิตชีวา แต่ปัญหาเหล่านี้เราสามารถแก้ไขด้วย Biotherm Force Supreme Youth Architect Serum เซรั่มผู้ชาย ที่สามารถเสริมความแข็งแรงให้ผิว ด้วยการบำรุงขั้นสูงสุด ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยพร้อมให้ผิวหน้าของคุณผู้ชายทุกคนดูเรียบเนียน และแลดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น 


คุณสมบัติที่โดดเด่นของ เซรั่ม Biotherm Force Supreme Youth Architect Serum คือความสามารถในการดูแลผิวหน้าของคุณผู้ชาย ที่พร้อมฟื้นบำรุง แก้ปัญหาต่าง ๆ บนผิวหน้าที่คุณผู้ชายมักจะต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่า เป็นเซรั่มผู้ชาย เพื่อผิวของคุณผู้ชายโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ว่าผิวหน้าที่ร่วงโรย และดูไม่สดชื่นนั้นจะเกิดจากปัจจัยภายในอย่างอาหารที่กิน ความเครียดสะสม หรือเกิดจากปัจจัยภายนอกอย่างมลภาวะ ฝุ่นควันต่าง ๆ ก็สามารถจัดการได้ ด้วยการปรับสมดุลของเซลล์ผิวตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก จึงสามารถแก้ปัญหาผิวเสื่อมโทรมได้อย่างตรงจุด คืนความสดใสและดูมีชีวิตชีวาให้แก่ผิว ซึ่งหากใช้เป็นประจำจะรู้สึกเลยว่ารูขุมขนแลดูกระชับขึ้น ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้น รวมถึงผิวหน้ายังแลดูเรียบเนียนละเอียดมากขึ้นอีกด้วย พร้อมให้ผิวใหม่ของคุณผู้ชายแลดูกระจ่างใสความมั่นใจมาเต็มทันที 


โดยคุณสมบัติที่โดดเด่นของเซรั่มบำรุงผิว Biotherm Force Supreme Youth Architect Serum เซรั่มสีน้ำเงินขวดนี้ได้อัดเต็มไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการฟื้นบำรุงผิวอย่าง Blue Algae Extract สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำเงิน ซึ่งทำหน้าที่ฟื้นคืนสภาพผิวที่เคยโทรมจากปัจจัยภายนอก โดยทำงานร่วมกันกับ PRO-XYLANE™  ที่มีคุณสมบัติในการชะลอความร่วงโรยของผิว ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว และทำให้ผิวที่เคยเสื่อมโทรมกลับมามีแลดูสุขภาพดีได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมี Japanese Cedar Bud Extract หน่ออ่อนต้นไม้อายุแก่กว่าพันปี ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโน และแร่ธาตุที่จำเป็น จึงสามารถกระตุ้นให้เกิดการผลัดผิว พร้อมเปลี่ยนผิวได้เคยร่วงโรยให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งนึง โดย Cedar Bud Extract จะฟื้นบำรุงตั้งแต่โครงสร้างของผิวชั้นใน พร้อมเสริมความแข็งแรงให้ผิวหน้าชั้นนอกได้อีกด้วย และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือ Life Plankton™ แพลงตอนที่มีต้นกำเนิดจากแหล่งธรรมชาติ และเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะสำหรับไบโอเธิร์ม ส่วนสำคัญที่ช่วยปลอบประโลม พร้อมลดการระคายเคือง และกระตุ้นการทำงานของผิว เพื่อให้ผิวหน้าของคุณผู้ชายดูแข็งแรงมากยิ่งขึ้น 


ผลลัพธ์หลังใช้งานจากผู้ทดลองใช้ 42 คนที่ใช้ พบว่าเซรั่ม Biotherm ขวดนี้ไปเพียงแค่ 4 สัปดาห์พบว่าช่วยในการฟื้นบำรุงผิวหน้าให้ดูกระชับขึ้น ริ้วรอยต่าง ๆ ก็แลดูลดเลือนลง นอกจากนี้เมื่อใช้เครื่องมือในการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ พบว่าช่วยในการลดเลือนริ้วรอยได้มากถึง 38% ช่วยให้ผิวแลดูกระชับได้ถึง 15%  รวมถึงช่วยให้ผิวแลดูแน่นขึ้น 9.8% ซึ่งหากคุณผู้ชายคนใดต้องการที่จะทดสอบประสิทธิของผลิตภัณฑ์สามารถใช้ Biotherm Force Supreme Youth Architect Serum เพื่อพิสูจน์ความเปลี่ยนแปลงของผิวได้เลยค่ะ 


นอกจากนี้ ด้วยเนื้อสัมผัสของเซรั่มบำรุงผิวขวดนี้เราพบว่า เนื้อสัมผัสนั้นแสนบางเบา รวมถึงสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ในทันทีโดยไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะเอาไว้ โดยขั้นตอนการใช้งานนั้นก็แสนง่ายดายเป็นอย่างมาก เพราะเพียงลูบไล้เซรั่มให้ทั่วบริเวณผิวหน้าทั้งใบหน้าและลำคอ ทั้งเช้าและเย็นเป็นประจำ คุณก็จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกับผิวด้วยตาของคุณเอง 


สำหรับท่านใดที่สนใจบำรุงผิวหน้าด้วยเซรั่มบำรุงผิว Biotherm Force Supreme Youth Architect Serum สามารถสั่งซื้อได้ในปริมาณ 50 ml มูลค่า 3,500 บาทเท่านั้น หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือส่องผลิตภัณฑ์ของ Biotherm ชิ้นอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ผ่านทางเว็บไซต์  https://www.biotherm.co.th/ หรือช่องทางใด ๆ ก็ตามที่เป็นร้านค้าของ  Biotherm แล้วมาพิสูจน์ความแข็งแรงของผิวไปด้วยกันค่ะ 
 
#6087

"จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์" หุ้นที่ร้อนแรงสุดแห่งปี 2564 จากการประกาศแผนลงทุนตั้งเหมืองขุด Bitcoin ดันราคาหุ้นขยับพรวดจากราคาไม่ถึง 2 บาทเมื่อต้นปี กลายเป็น 55.50 บาทในปัจจุบัน คาดอนาคตหากทำได้ตามเป้าทะยานต่อ ขณะผลงานเก่ายังคาใจนักลงทุน โบรกฯ มองราคาพุ่งสูงไร้ปัจจัยพื้นฐานหนุน ราคาหุ้นควรอยู่ที่ 12-13 บาทต่อหุ้น

นับวันการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ยิ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ แต่หากพิจารณาในแง่ผลตอบแทนที่เย้ายวนใจ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เครื่องมือการลงทุนแบบใหม่นี้ จะได้รับความสนใจซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมาย โดยเฉพาะ Cryptocurrency ที่ปัจจุบันถือเป็นเครื่องมือยอดนิยมในการแสวงหาความเป็นอิสระทางการเงิน ชนิดที่เชื่อว่า "รวยเร็ว รวยไว"

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลปัจจุบันมีมูลค่าทั่วโลก มีมูลค่าตามมาร์เก็ตแคป (Market cap.) ประมาณ 2.34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสำคัญมาจาก การเติบโตของบิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันประมาณ 136.68 พันล้านเหรียญ ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัล สามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์ทองคำและน้ำมัน โดยยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีกในอนาคต และมูลค่าการซื้อขายของเหรียญต่าง ๆ จะเริ่มมีการกระจายมากขึ้นจากการเติบโตของเหรียญสกุลอื่น ๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดหุ้นไทย กับ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในห่วงเวลานี้ คือ การที่หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หันมาเบนเข็มธุรกิจมุ่งหน้าสู่การทำฟาร์มเหมืองดิจิทัล จนทำให้ราคาหุ้นในระยะเวลาเพียง 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2,231% นั่นคือ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) (JTS)

ต้องยอมรับว่าจากต้นปี2564 ซึ่งราคาหุ้น JTS อยู่ที่ระดับ 1.77 บาทต่อหุ้น (4ม.ค.) แต่จากนั้นราคาเริ่มไต่ระดับเพดานบินอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำจุดสูงสุดที่ระดับ 67.00 บาทต่อหุ้น (20ก.ค.) และที่ระดับ 62.00 บาทต่อหุ้น (27ส.ค.) จึงเริ่มอ่อนตัวลงมาต่อเนื่องจนถึงระดับ 55.50 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน (17ก.ย.) นำไปสู่คำถามว่าราคาหุ้น JTS ยังสามารถไต่ระดับเพดานบินขึ้นไปได้อีกมากน้อยเพียงใด หรือกำลังเข้าสู่ทิศทางขาลงแล้ว

บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS เดิมทีดำเนินธุรกิจหลักคือการจัดหา ออกแบบติดตั้ง และทดสอบระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (Total ICT Solution) เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ของ "กลุ่มโพธารามิก" ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ใน JTS ด้วยสัดส่วน 32.80% โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2549 ในราคา IPO ในราคา 3.20 บาทต่อหุ้น

ที่ผ่านมา ในแง่ผลประกอบการในช่วงปี2560 -2562 พบว่าเติบโตไม่มากสูงสุด 142.58 ล้านบาท (ปี2561) โดยมีกำไรสุทธิ 15.15 ล้านบาท แต่พอเข้าสู่ปี 2563 ทิศทางธุรกิจของบริษัทเริ่มดูดีขึ้น เมื่อมีการลงนามในสัญญา 'Strategic Collaboration Agreement' กับ KT Corporation จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินธุรกิจ Hyperscale Data Center และ Cloud Service ซึ่ง JTS เคยชี้แจง ว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเปิดตลาดคลาวด์โซลูชันอย่างครบวงจรในประเทศไทย เพื่อต่อยอดการให้บริการอื่นๆ ซึ่งรวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และการให้บริการวงจรเช่าระหว่างประเทศ (IPLC)

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือดังกล่าวพบว่า ในภาพรวมยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น เพราะบริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ฯ ว่า ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนใน Hyperscale Data Center, Cloud & AI และ ICT & Security Solution ร่วมกับพันธมิตรจากเกาหลีใต้ หรือกล่าวคือยังไม่มีการลงทุนอย่างจริงจังเกิดขึ้น แต่ทำไมราคาหุ้น JTS นับตั้งแต่นั้นถึงขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เริ่มเกิดคำถาม อะไรเป็นสาเหตุสำคัญให้ราคาหุ้นเกิดการเปลี่ยนแปลง? 

สิ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ บริษัทออกมายืนยันว่า การร่วมลงทุนกับพันธมิตรเกาหลี ยังอยู่แค่ขั้นตอนการศึกษา พร้อมออกมายอมรับว่า มีความสนใจและศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สามารถต่อยอดทางด้านการเงินจากเครื่องมือทางการเงิน และเทคโนโลยีดังกล่าวได้ แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

ต่อมา ทุกอย่างก็แจ่มแจ้งขึ้นอีก เมื่อ JTS รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2564 ที่ประชุมมีมติเห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 3. ของบริษัท เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจในอนาคต โดยเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ จำนวน 1 ข้อ
นั่นคือ ข้อ 83. ประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล นายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ผู้ค้าคริปโทเคอร์เรนซี ผู้ค้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลหรือขายเงินสกุลเงินดิจิทัล ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงแต่ไม่จำกัด เพียงการขุด ซื้อขาย แลกเปลี่ยน สินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการลงทุนหรือให้บริการด้านอื่นๆเกี่ยวกับธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล (เมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว กรณีที่เป็นกิจกรรมที่ต้องได้รับอนุญาต) ให้บริการเก็บข้อมูล ประมวลผล ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูลบนระบบโครงข่ายกระจายศูนย์กลาง ของการทำรายการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์แบบบล็อกเชน และดำเนินการค้นคว้า วิจัย พัฒนา และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFORMATION TECHNOLOGY) ในการเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญในด้านวิชาการและเทคโนโลยี

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทเห็นควรให้เปลี่ยนชื่อและตราประทับของบริษัทฯ เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นชื่อภาษาไทย "บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)" และ ชื่อภาษาอังกฤษ "Jasmine Technology Solution Public Company Limited" โดยจะเตรียมนำเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2564

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น JTS ที่ผ่านมานั้น หนีไม่พ้นแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ "สินทรัพย์ดิจิทัล" นั่นเอง ขณะที่งบไตรมาส 2/64 พบว่า หลังเข้าดำเนินการซื้อหุ้นใน บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด (JASTEL) ในอัตรา 99.99% บริษัทมีกำไรสุทธิ 37.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.47 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 321.69% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

โดย บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด ได้จัดซื้อเครื่องขุด Bitcoin ไปแล้ว 200 เครื่อง มูลค่า 50.01 ล้านบาท และจะดำเนินการลงทุนในธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin ด้วยมูลค่าการลงทุนอีก 156 ล้านบาท จากที่ผ่านมาได้มีการทยอยสั่งซื้อเครื่องขุด Bitcoin อย่างต่อเนื่อง และจะติดตั้งให้แล้วเสร็จจำนวน 500 เครื่องภายในไตรมาสที่ 3/64 เนื่องจากบริษัทได้ศึกษาเรื่อง Bitcoin มาระยะหนึ่งแล้ว มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นจังหวะและโอกาสที่ดี โดย Bitcoin ที่ขุดได้จะนำมาจำหน่ายบางส่วน และเก็บไว้บางส่วน ทำให้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน JTS ยังเตรียมขยายเฟสที่ 2 ด้วยการเสริมกำลังการขุดอีก 5,000 เครื่องในต้นปี2565 โดยเล็งใช้พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมด้วยความพร้อมของสถานที่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2564 ทำให้บริษัทมีกำลังการขุดรวมมากกว่า 5 Exahash/s หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของกำลังการขุดรวมทั่วโลก และจะกลายเป็นศูนย์กลางของ Bitcoin Mining Farm ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia

ส่วนประเด็นทางด้านผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทยืนยันว่า การขุด Bitcoin ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดเพราะพลังงานหลักที่ใช้ในการขุด Bitcoin คือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากหน่วยงานของรัฐ ที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาในการนำพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานจากโซลาร์เซลล์ และพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ มาใช้ทดแทน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมกัน 

และเพื่อยืนยันความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายลงทุน JTS รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาสั่งซื้อเครื่องขุด Antminer S19J Pro ล็อตแรกเป็นจำนวน 1,200 เครื่อง กับทางบริษัท Bitmain Technology Ltd. (Bitmain) ผู้ผลิตเครื่องขุดและออกแบบชิปวงจรรวมเฉพาะแอปพลิเคชัน (ASIC) ที่ใช้สำหรับการขุด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และครองส่วนแบ่งทางการตลาดของเครื่องขุดมากที่สุด

โดยการจัดซื้อในครั้งนี้จะทำให้ความสามารถในการขุด หรือ Hash Rate ของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 120 Petahashes ต่อวินาที (PH/s) ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งและติดตั้งในช่วงต้นปีหน้า ตามแผนการขยายและเสริมความสามารถในการขุดตามที่ได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ และด้วยคำสั่งซื้อใหม่นี้ ทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการเสริมเครื่องขุดบิตคอยน์ไปถึง 28% จากเป้าหมายที่จะมีการเพิ่มกำลังขุดเป็น 5,000 เครื่องภายในปี 2565 ซึ่งเมื่อติดตั้งและเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ JTS เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่ และมีความสามารถในการขุดมากที่สุดในประเทศไทย

สำหรับ แผนการทำธุรกิจและการลงทุน JTS ตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567 และด้วยกำลังการขุดนี้จะทำให้ JTS เป็นหนึ่งในเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุด หรือเป็นศูนย์กลางของ Bitcoin Mining Farm ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) 

จากแผนการลงทุนธุรกิจเงินสกุลดิจิทัล " Bitcoin " ของ JTS สามารถประเมินได้ว่าในปี 2567 บริษัทจะมีเครื่องขุดจำนวน 50,000 เครื่อง ทำให้มีกำลังขุดในสัดส่วน 5% ของกำลังขุดทั้งโลก หรือจะขุดได้ปีละประมาณ 16,000 Bitcoin และหากคำนวณจากราคาบิตคอยน์ล่าสุดเหรียญละ 1,056,205 บาท ทำให้ JTS จะมีรายได้เฉพาะการขุด Bitcoin ปีละประมาณ 16,899.28 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปัจจุบันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะปี 2563 บริษัทมีรายได้เพียง 309.94 ล้านบาท แต่รายได้จาก Bitcoin เพียงช่องทางเดียว เท่ากับรายได้รวมของ JTS ประมาณ 50 ปี แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้นักลงทุนหลายต่อหลายคนวาดฝัน เข้าครอบครองหุ้น JTS เพื่อหวังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของราคาหุ้นในอนาคต

แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เหตุผลสำคัญหนีไม่พ้น วีรกรรมของกลุ่มจัสมินฯในอดีต โดยเฉพาะการประมูลคลื่น 4G ของ JAS (บริษัทแม่ของ JTS) ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ชนะประมูล แต่พอถึงวันที่ 21 มี.ค. 2559 เมื่อครบกำหนดชำระเงินงวดแรกให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) จำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท ปรากฏว่า JAS กลับเบี้ยวไม่จ่ายเงิน และยอมให้ยึดค่ามัดจำ 644 ล้านบาท

ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ระหว่างการประมูลคลื่น 4G หุ้น JAS เคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง นักลงทุนรายย่อยแห่เก็งกำไร เพราะคาดหวังข่าวดีการชนะประมูล และ JAS ก็ชนะจริง แต่ทิ้งการประมูลภายหลัง ทำให้ราคาหุ้นอ่อนปรับตัวลงต่อเนื่อง จากเคยถูกลากขึ้นไปประมาณ 10 บาท ปัจจุบันทรุดลงมาต่ำกว่า 3 บาท

ขณะที่ " นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้ถือหุ้นใหญ่ JAS " เคยถูกสำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษปรับ 160 ล้านบาท ในความผิดปั่นหุ้น JAS และหุ้น บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ MONO และถูกลงโทษปรับประมาณ 60 ล้านบาท ในความผิดนำข้อมูลภายในใช้แสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น JTS


จึงเป็นที่มาของคำถามว่า การออกข่าวลุยธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin จะเป็นการออกข่าว โดยมีวาระเพียงกระตุ้นราคาหุ้นหรือไม่ เพราะ Bitcoin ทั้งโลกมีจำนวนทั้งสิ้น 21 ล้านบิตคอยน์ ถูกขุดขึ้นมาแล้วกว่า 18 ล้าน Bitcoin จึงเหลืออยู่อีก 2 ล้าน Bitcoin เศษ และคำนวณกันว่า จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 100 ปีจึงขุดจนหมด ขณะเดียวกันการขุด Bitcoin ยังมีค่าใช้จ่ายเรื่องต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้าที่สูงมาก จึงเป็นที่มาให้เหมืองขุดในจีนมีความได้เปรียบ เพราะทั้งภูมิประเทศที่อุณหภูมิต่ำกว่า จึงช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลง และค่าไฟเฉลี่ยตกยูนิตละ 1 บาท ขณะที่ค่าไฟฟ้าของไทยประมาณยูนิตละ 4 บาท

ปัจจุบันรัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเหมืองขุด Bitcoin จึงทำให้ต้องอพยพ เหมืองทั้งหมดออกนอกประเทศ และกำลังถูกจับตาว่า เหมืองเหล่านี้จะย้ายเหมืองไปประเทศไหน ขณะที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายห้ามตั้งเหมืองขุด ซึ่ง JTS สามารถ ตั้งเหมืองได้ แต่ก็เป็นเพียงการเพิ่มผู้ขุด Bitcoin รายใหม่ขึ้นในโลกที่จะแบ่งสัดส่วน Bitcoin ที่จะขุดจากผู้ขุดรายเก่าเท่านั้น เพราะปริมาณ Bitcoin ที่จะขุดได้ในแต่ละปีนั้นมีจำกัดเท่าเดิม เมื่อมีผู้ขุดรายใหม่ นั่นหมายถึงจะต้องแบ่งสัดส่วนจากผู้ขุดรายอื่นเท่านั้น

หากพิจารณาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจเหมืองของของ JTS แล้ว คนในแวดวงธุรกิจเงินสกุลดิจิทัล ประเมินว่า ยังมีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ โดยหากดำเนินการได้จริงย่อมมีผลต่อผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัท เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตของกลุ่ม มาบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการตัดสินใจลงทุน

ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ราคาหุ้น JTS ในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นร้อนแรง นั้นมีปัจจัยหนุนจากกระแสข่าวที่บริษัทสนใจลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งตรงกับความสนใจของนักลงทุนในยุคนี้ จึงส่งผลให้เกิดกระแสเข้ามาเก็งกำไรในหุ้น JTS อย่างไรก็ตามเหตุการณ์แบบนี้คล้ายคลึงกับ หุ้นของ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) ที่ราคาปรับขึ้นตอบรับข่าวการลงทุนเหรียญดิจิทัล "เจฟิน คอยน์" (JFIN Coin)

ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามรายละเอียดและรูปแบบโครงการลงทุนอีกครั้ง นอกจากนี้ ราคาหุ้นปรับขึ้นค่อนข้างมากแล้ว โดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) สูงกว่า 600 เท่า อีกทั้งไม่มีการจัดทำบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและราคาเหมาะสมจากนักวิเคราะห์ในตลาด และหากประเมินราคาเหมาะสมจากปัจจัยบวกดังกล่าว  คาดราคาหุ้นควรอยู่ที่ 12-13 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
 
#6089


โฆษกรัฐบาลแจงขยายเพดานหนี้สาธารณะเพื่อเพิ่มพื้นที่การคลังให้รัฐ ใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจจากพิษโควิด ส่วนจะกู้เพิ่มหรือไม่ดูที่ความจำเป็น ยันยึดวินัยการเงินการคลัง

วันนี้(21 ก.ย.) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมาย กรณีการขยายเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) เพื่อเตรียมการกู้เงินต่อหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าการขยายเพดานหนี้สาธารณะครั้งนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังให้กับรัฐบาล ในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการคลังในการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ ซึ่งอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องมาปี 2564 รัฐบาลได้ใช้จ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโควิดมาส่วนหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดีจะกู้หรือไม่กู้เพิ่มเติมก็จะพิจารณาตามความจำเป็นและแผนงานที่ชัดเจน กู้เท่าที่จำเป็นไม่ใช่กู้ครั้งเดียวเต็มพิกัด ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เป็นการปรับทุกๆ 3 ปี เป็นไปตาม พ.ร.บ.อยู่แล้ว สำหรับแผนการหารายได้เพื่อชำระหนี้นั้น รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเรื่องการเร่งรัดหารายได้ใหม่ๆตามแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น โมเดลเศรษฐกิจ BCG การลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) การเสริมสร้างมูลค่าและการส่งออก ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตภัณ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และรายได้ของรัฐ
#6090


ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบทางเดินหายใจและวัณโรค และ ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวออนไลน์ในหัวข้อ การรับมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันและอนาคต และแผนการใช้ยาแอนติบอดีค็อกเทล เพื่อรักษาผู้ป่วยในประเทศไทย

ศ.นพ.นิธิ กล่าวว่า ในวงการวิชาการการแพทย์ วัคซีนโควิด-19 เองกำลังพัฒนาไม่หยุด ยาเช่นเดียวกัน ส่วนยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี เป็นยาสังเคราะห์ ที่จะเข้าไปจับกับไวรัส ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายไม่ได้ ถ้ามียานี้มารักษาผู้ติดเชื้อในระยะต้นที่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น อาการไม่รุนแรง และลดการเสียชีวิต ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะมีส่วนในการจัดหา นำเข้า และกระจาย ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี เป็นตัวแรกที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและ (อย.) ของไทยรับรองให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยจะให้ยานี้ในผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการระยะแรก แต่มีปัจจัยเสี่ยงว่าจะป่วยหนักหรือเสียชีวิต ยานี้จะช่วยลดการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลหรือไอซียู ซึ่งสำคัญมาก เพราะการลดภาระตรงนี้ลง การดูแลคนไข้อื่นก็จะสบายขึ้น โดยจะนำเข้าและกระจายยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีให้โรงพยาบาลต่าง ๆ



นอกจากนี้ ในส่วนของการศึกษายาต้านไวรัสเอง มีการดำเนินการเช่นกัน เราจะร่วมกับโรงพยาบาลอีก 2-3 แห่ง วิจัยยาต้านไวรัสตัวใหม่เร็ว ๆ นี้ โดยเป็นยาตัวเดียวกับที่อาจารย์กำธรพูดถึง ไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบยานั้น เราไม่อยากจำกัดอยู่แต่วัคซีน ซึ่งราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เตรียมนำเข้า โมโนโคลนอลแอนติบอดี รักษาโควิด-19 แล้ว

อย่างไรก็ตาม ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีในการป้องกันรักษาโควิด-19 ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับ ต้องมีกระบวนการคัดเลือกว่า ผู้ติดเชื้อกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา