• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - luktan1479

#2921


กรุงเทพฯ, 13 สิงหาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัว ทางเชื่อมสกายวอล์กจากบีทีเอสเซนต์หลุยส์ เข้าสู่อาคาร "เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์" เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์อำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางแก่คนในชุมชน พนักงานออฟฟิศ ตลอดจนผู้สัญจรไปมา ตอกย้ำคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, .ter Lives' ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เสริมแกร่งเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยืนหนึ่งในฐานะอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอระดับพรีเมี่ยมย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ทั้งยังมุ่งอนุรักษ์​พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยมาตรฐาน LEED EBOM ระดับ Platinum Level พร้อมอีกหลากหลายรางวัลจากเวทีระดับโลก

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า "นับตั้งแต่บริษัท​ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ร่วมกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดให้บริการสถานีเซนต์หลุยส์ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่พักอาศัยในย่านสาทร ซอยเซนต์หลุยส์​ และพื้นที่โดยรอบ รวมถึงนักเรียน บุคลากรของโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ผู้ที่ทำงานในอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ และอาคารสำนักงานใกล้เคียง ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทย วันนี้ เอไอเอ ในฐานะบริษัทประกันชีวิตไทยเพื่อคนไทย ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมเมืองสู่ความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัวทางเชื่อมสกายวอล์ก ระหว่างบริเวณสถานีเซนต์หลุยส์ กับอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกอีกขั้นให้กับผู้ที่เดินทางจากตัวสถานีมายังอาคาร หรือจากตัวสถานีผ่านทางเชื่อมต่อไปยังจุดอื่น ๆ ภายในชุมชน โดยทุกท่านสามารถเดินทางด้วยความสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เป็นไปตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น' ซึ่งเอไอเอยึดถือในการดำเนินธุรกิจ และอยู่เคียงข้างคนไทยมาตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

นายโจฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า "ปัจจุบันเอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งสิ้น 3 โครงการด้วยกัน ได้แก่ เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ (AIA Capital Center) เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ (AIA Sathorn Tower) และ เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ (AIA East Gateway) โดยทั้ง 3 อาคารเป็นอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า บนย่านสำคัญทางธุรกิจของไทย โดยปัจจุบันการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทคิดเป็นประมาณ 2% ของพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ การเลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอไอเอนั้น เรามีความมุ่งมั่นที่จะช่วยยกระดับคุณภาพอาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยมในเมืองไทยให้อยู่ในระดับสากล ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งแก่ผู้เช่า และชุมชนรอบข้าง เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับสถานีเซนต์หลุยส์ บีทีเอสได้มีการประมาณการผู้ใช้บริการคิดเป็นจำนวนเที่ยวการเดินทางประมาณ 17,000 คน/วัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการคมนาคมด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นแผนการลงทุนระยะยาวของเอไอเอ เนื่องจากเราเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คนบนย่านที่เราลงทุน"

ด้านนายปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า "การมีทางเชื่อมโดยตรงจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเข้าสู่ตัวอาคาร เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น เพราะนอกจาก เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ จะเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอระดับพรีเมี่ยม โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัย และฟังก์ชันพิเศษของอาคารอัฉจริยะที่ครบครันเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เน้นประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED EBOM ในระดับ Platinum พร้อมด้วยรางวัลอันทรงเกียรติจาก 2 เวทีชั้นนำอย่าง Thailand's Property Awards และ Southeast Asia Property Awards ตัวอาคารยังตั้งอยู่บนทำเลทองย่าน CBD ที่สะดวกสบายต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว หรือรถโดยสารสาธารณะ อันถือเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ผู้เช่าใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกเช่าสำนักงาน"

อาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ถือเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอระดับพรีเมี่ยม สูง 29 ชั้น มีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 38,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยคุณสมบัติของอาคารอัจฉริยะ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED EBOM (The Leadership in Energy and Environmental Design) ในระดับ Platinum ผ่านคุณสมบัติหลัก 5S คือ Space, Saving Energy, Safety, Smart และ Speed ในทุกจุดทั่วอาคาร โดยถือเป็นอาคารประหยัดพลังงานจากความสามารถในการบริหารการใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมกับความใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจสูงสุดของผู้เช่า ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของอากาศที่ดีภายในอาคาร การจัดการขยะและของเสียที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ


นอกจากนี้ อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ได้รับรางวัลเป็นเครื่องการันตีคุณภาพงานก่อสร้างและออกแบบมากมาย อาทิ Best Office Architectural Design Award อาคารสำนักงานที่มีภูมิสถาปัตย์ยอดเยี่ยม, Best Green Development Award โครงการอาคารสีเขียวยอดเยี่ยม, Best Commercial Development อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ยอดเยี่ยม และ Best Office Development อาคารสำนักงานยอดเยี่ยม และอีก 2 รางวัลจากเวที South East Asia Property Awards 2015 ได้แก่ รางวัล Highly Commended : Best Commercial Development และ รางวัล Highly Commended: Best Green Development
#2922
 
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ข้าวสุขภาพสุรินทร์ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวหอมมะลิออแกนิคที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลปลูกข้าวอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคข้าวกล้องออร์แกนิค คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวสุขภาพส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

การทำนาข้าวอินทรีย์   ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.   ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ 
2. ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคคือ
3.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์อินทรีย์ จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิค

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 

 
 
#2923


กลายเป็น TALK OF THE TOWN ในทันที่ สำหรับ "ฟ้าทะลายโจร" หลังจากมีข่าว "การถอนผลวิจัย" ที่ชื่อว่า "Efficacy and safety of Andrographis paniculata extract in patients with mild COVID-19: A randomized controlled trial" ของคณะวิจัยจากประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ และเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ "เมดอาซีฟ" (www.medrxiv.org) เว็บไซต์คลังงานวิจัยที่เป็นต้นฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์เกี่ยวกับการแพทย์ การทดลองทางคลินิก และวิทยาศาสตร์สุขภาพอื่น ๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลงานของนักวิจัย 7 คน โดย 5 คนมาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข อีก 2 คนมาจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ และสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อเรื่องปรากฏต่อสาธารณชน ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นไปทั่วประเทศ เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา "คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ" ได้เพิ่มยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และยาจากผงฟ้าทะลายโจร เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ให้เป็นยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาต่างก็พากันไปซื้อฟ้าทะลายโจรมาใช้เป็นจำนวนมาก

กระทั่ง "พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ว่า การขอถอนข้อมูลงานวิจัยชิ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นการถูกปฏิเสธจากวารสารวิชาการ แต่นักวิจัยไทยได้ขอถอนงานวิจัยกลับมาชั่วคราว เนื่องจากพบ "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" และระบุว่าผลลัพธ์การทดลองที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการกินยาหรือจ่ายยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ ยังสามารถใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าหากสังคมพินิจพิเคราะห์ "ปรากฏการณ์ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร" ที่เกิดขึ้นก็จะพบ "ความผิดปกติ" โดยเฉพาะกรณี "ความผิดพลาดของสถิติจุดหนึ่ง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับ "งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ที่ต้องมีความแม่นยำก่อนที่จะเผยแพร่ผลงานออกไปสู่สาธารณชน ยิ่งเป็นการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำ "มั่วซั่ว" ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือ "งานวิจัยทางการแพทย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ซึ่งไม่ใช่ "งานวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่สามารถมีข้อโต้แย้งในภายหลังหากพบ "หลักฐานใหม่"

หลายคนตั้งคำถามว่า หรือจะเป็นเพราะ "คณะวิจัย" ทำด้วย "ความเร่งรีบ" หรือทำงานภายใต้ "ภาวะกดดันบางประการ" จนทำให้เกิด "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" ซึ่งก็มีความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

ขณะที่อีกหลายคนก็อาจตั้งคำถามว่ามี "อะไรในกอไผ่" หรือไม่ดังสมมติฐานและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนดังที่ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งคำถามเอาไว้ว่า "มีคำถามอยู่ว่างานระดับที่ป้อนข้อมูลและใช้การคำนวณโดยโปรแกรมเช่นนี้ เกิดความผิดได้อย่างไร? จนถึงขั้นแปลผลผิดจากแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลายเป็นแตกต่างกันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 48)

ทีนี้ มาดูรายละเอียดในงานวิจัยชิ้นนี้กันว่า เป็นอย่างไร

พญ.อัมพร อธิบายรายละเอียดเอาไว้ว่า งานวิจัยนี้นี้เริ่มต้นในช่วงที่ยังไม่มียาตัวใดเลยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าสามารถฆ่าไวรัสโคโรนาหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยตรง จึงมีการทดลองและเก็บข้อมูลการใช้ยาชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ และสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยเป็นการทดลองแบบสุ่มโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ใช้ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยอายุตั้งแต่ 18-60 ปี จำนวน 57 คน ที่ยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร อีกกลุ่มกินยาหลอก หรือเม็ดยาเปล่า ๆ ที่ไม่ได้มีฟ้าทะลายโจร

"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

จากผู้ป่วย 57 ราย ในกลุ่มผู้ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร 29 ราย ไม่พบอาการปอดอักเสบ แต่ในกลุุ่มที่ได้ยาหลอก 28 ราย พบอาการปอดอักเสบ 3 ราย คิดเป็น 10.7%

สำหรับเรื่องความคงอยู่ของตัวไวรัสในวันที่ 5 พบผู้ป่วยกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร ใน 29 ราย ไวรัสอยู่แค่ 10 ราย (34.5%) ส่วนผู้ป่วยกลุ่มกินยาหลอก 28 ราย เจอว่าไวรัสยังอยู่ 16 ราย (57.1%)

ขณะที่ในเรื่องความคลาดเคลื่อนนั้นอยู่ที่ค่านัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาหลอกในการทดลอง โดยค่านัยสำคัญทางสถิติที่คำนวณได้ครั้งแรกมีความคลาดเคลื่อน กล่าวคือตอนแรกคำนวณได้ว่าเป็น 0.03 และได้นำเสนอไป แต่เมื่อได้กลับพิจารณาอีกครั้ง จึงค้นพบว่ามีจุดอ่อนอยู่จุดหนึ่งแทนที่จะเป็น 0.03 ก็เป็น 0.112 หรือหมายความว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง การค้นพบว่าผลลัพธ์คงเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 97 ครั้ง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก แต่ตัวเลขที่คำนวณถูกต้อง หรือ 0.112 จะหมายความได้ว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เจอว่าเหมือนเดิมจะอยู่ที่ 90 ครั้ง ความคงที่จะลดลงมาในระดับหนึ่ง

วิญญูชนก็น่าจะ "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" พร้อมตั้งคำถามได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

เอาเป็นว่า หลังจากที่ถอนผลวิจัยออกมาแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการปรับปรุง "ความผิดพลาดทางสถิติหนึ่งจุด" ดังกล่าว การวิจัยจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่และจะมีการนำเสนอเพื่อกลับไปตีพิมพ์เหมือนเดิมด้วยข้อมูลที่ออกมาในลักษณะไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ "ไม่อาจกระพริบตา" ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องฟ้าทะลายโจรมาอย่างต่อเนื่อง คงต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" จาก "แพทย์แผนปัจจุบัน" ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ "นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์" ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งออกมาโพสต์เรื่องการถอนผลวิจัยฟ้าทะลายโจรเป็นรายแรกๆ จนต้องออกมาโพสต์แก้ไขซ้ำอีกครั้ง

นพ.สันต์โพสต์เอาไว้ว่า "คณะผู้วิจัยชาวไทยที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของตนครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้ ซึ่งเป็นการตัดบทความเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผล ทั้งนี้ ตนขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา คือการเกิดปอดบวม ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ได้บ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ"

"แต่ฟ้าทะลายโจรมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่า ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจรก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"

หรือแม้กระทั่ง "กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" เอง โดยเฉพาะตัว "อธิบดี" เองที่ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวเรื่องการถอนผลงานวิจัยเอาไว้ว่า "เราไม่ได้ต้องการให้เชื่อมั่นในฟ้าทะลายโจรจนเกินความพอดี ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่ระมัดระวัง อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งฟังดูแล้วต้องใช้คำว่า "แปลกๆ" ทั้งๆ ที่ "คณะทำงานหลัก" ของการวิจัยชิ้นนี้ก็มีถึง 5 คนที่มาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเอง

คำว่า "อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" หมายความว่า ดีแล้วที่มีการถอนการวิจัยออกมาเช่นนั้นหรือ?

แล้วที่เป็น "ดรามา" ไม่แพ้กันคือ "หมอแล็บคนดัง" ที่ไปแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของแพทย์คนหนึ่ง พร้อมระบุว่า งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ผู้วิจัยขอถอนออกไปแล้ว เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ "ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ซึ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดอย่างที่ "หมอสันต์" ว่า จนเกิดปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง" ทว่า "หมอแล็บคนดัง" ก็ออกมาโพสต์ข้อความในเพจว่า "เสียใจ หาฟ้าทะลายโจรมาให้ผู้ป่วยเยอะมาก ล่าสุดแชร์งานวิจัยที่ถูกถอนแค่งานวิจัยเดียว โดนหาว่าด้อยค่าฟ้าทะลายโจรไปอีกครับ ชีวิตอดสูมาก นอนแพ้บ"

แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ เพราะความจริงก็คือ ในเฟซบุ๊กหมอแล็บคนดังได้ลบข้อความที่ระบุว่า "งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ถูกถอดออกไปแล้วครับ เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ออกจากเพจไป ซึ่งมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด ด้วยมีผู้ "แคปข้อความ" เอาไว้ได้เป็นหลักฐานชัดเจน

ความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากนักสำหรับ "หมอแล็บคนดัง" ถ้าหากจะยอมรับความผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่การที่แถไถและลบข้อความออกไป ทำให้นักเทคนิคการแพทย์ผู้นี้ถูกมองว่า "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" อย่างที่เจ้าตัวบ่นพึมพำในเพจเฟซบุ๊กของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่สำคัญคือ การใช้คำว่า "ฟ้าทะลายโจรไม่ต่างจากยาหลอก" ถือเป็นคำที่นัยสำคัญมาก

ในทางการแพทย์ "ยาหลอก" (Placebo) ก็คือยาที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่าง ๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ มีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจาก แป้งหรือน้ำตาล จากนั้นก็นำไปให้ผู้ป่วยรับประทานเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่คนไข้มีอาการต่างๆ ดีขึ้น จากการให้ยาที่ไม่ได้มีตัวยาอยู่จริง โดยมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785

ที่สำคัญคือ ในการทดลองพบว่า ยาหลอกก็มีผลต่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นกันแม้ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์

แต่ในความเข้าใจของประชาชนคนทั่วไป เมื่อเห็นคำว่า "ยาหลอก" มักเข้าใจว่าคือ "ยาปลอม" ซึ่งไม่ถูกต้อง

ดังนั้น การที่ใช้คำว่า "ไม่ต่างจากยาหลอก" จึงเสมือนเป็นการ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" ทั้งในทางการแพทย์คือมองว่าเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์กับโควิด-19 ทั้งในความรู้สึกของประชาชนที่อาจเข้าใจว่าเป็น "ยาปลอม" ไปเลยก็ได้

ทั้งๆ ที่มีผลวิจัยและผลการศึกษามากมายที่ยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจร หนึ่งในนั้นก็คือสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "ฟ้าทะลายโจร" เอาไว้ดังนี้

"สืบเนื่องจากมีผู้เผยแพร่ข้อมูลว่าใช้ฟ้าทะลายโจรแล้วทำให้ตับพัง จากงานวิจัยฟ้าทะลายโจรในต่างประเทศที่ใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งชนิดผงและสารสกัด ในการรักษาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ไม่มีรายงานว่าฟ้าทะลายโจรก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ นอกจากนั้นในการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของการใช้ผงฟ้าทะลายโจรปริมาณ 12 แคปซูล (4.2 กรัม) ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน (มีปริมาณสาร Andrographolide 97 มิลลิกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าการทำงานของเอนไซม์ตับ AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) ผิดปกติ (Suriyo et al., 2017) สำหรับการศึกษาความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของสารสกัดฟ้าทะลายโจรปริมาณ 9 แคปซูล ต่อวัน (มีปริมาณสาร Andrographolide ขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน) [อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา] ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งขนาดและระยะวันการได้รับฟ้าทะลายโจร ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ตับเช่นกัน

"แต่หากใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีปริมาณสาร Andrographolide ในขนาดสูงถึง 360 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน จะพบการเปลี่ยนแปลงของ AST เล็กน้อย ในอาสาสมัคร 1 คนใน 12 คน ซึ่งค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นนี้จะกลับเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนค่าเอนไซม์ ALT จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอาสาสมัคร 4 คน ซึ่งคิดเป็น 33.33% แต่การทำงานของเอนไซม์ก็จะกลับเป็นปกติภายใน 1-3 สัปดาห์ ดังนั้นขนาดของสาร Andrographolide ที่เหมาะสม คือ 180 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน จึงไม่ควรใช้ในขนาดและระยะเวลานานเกินกว่านี้

"เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่ต้องการยารักษาโรคโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจรก็เป็นสมุนไพรที่ได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทั้งกลไกการออกฤทธิ์ อาการข้างเคียง และการศึกษาในทางคลินิกในผู้ติดเชื้อจริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งได้มีการใช้ในรูปแบบผง สารสกัด และการพัฒนาสารอนุพันธ์ Andrographolide ให้อยู่ในรูปแบบยาฉีด ดังนั้นหากมีการพบการติดเชื้อโควิด-19 จึงควรใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรทั้งรูปแบบผงและสารสกัดทันที ในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นยาที่มีประโยชน์มากและมีความปลอดภัยในระดับที่รับได้ เป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาลและช่วยระบบสาธารณสุขของชาติได้"

จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับ "ฟ้าทะลายโจร" ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ฟันธงแบบไม่กลัว "ธงหัก" ได้เลยว่า สงครามโควิด-19 ซีซั่นใหม่นี้ ไม่อาจกระพริบตาด้วยมีความลึกลับซับซ้อนและปริศนาในทุกมิติเลยทีเดียว.
#2924


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้นำส่งงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2564​ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ขาดทุนสุทธิ​ 359.43 ล้านบาท​ ขณะที่ไตรมาสสองปี2563​ กำไรสุทธิ 218.03 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี2563ถึงร้อยละ 264.86 โดยมีรายละเอียดดังนี้


1.รายได้รวมของบริษัทฯในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 2,675.99 ล้านบาท ลดลง 29.61 ล้านบาท จากช่วงระยะเวลาเดียวกัน ปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,705.60 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 1.09 ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลัก ดังนี้

1.1 เบี้ยประกันภัยรับในไตรมาสนี้เท่ากับ 2,852.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 660.56 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 30.14 ในขณะที่ในไตรมาส2 ปี 2563 เบี้ยประกันภัยรับมีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 20.96 ส่งผลให้เบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้ในไตรมาส2 2564 ลดลง 199.86 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 7.44

1.2 รายได้และกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 163.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8,037.93 เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น 207.57 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 179.08 ในไตรมาสที่2 ของปี2564 มีการปรับพอร์ตการลงทุนส่งผลให้มีผลกำไรจากเงินลงทุน ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี2563 มีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนและการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนเผื่อขายเนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET INDEX) ปรับตัวลดลงอย่างมากจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา

2. ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 3,131.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 28.43 จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 2,437.93 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลัก ดังนี้

2.1 ค่าสินไหมทดแทนในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 2,284.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 733.43 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 47.29 เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ซึ่งยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น


2.2 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่ากับ 1.76 ล้านบาท ลดลง 139.56 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 98.75 เป็นผลจากปีก่อนมีการบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตจากหุ้นกู้เอกชนที่บริษัทฯลงทุน จำนวน 141.32 ล้านบาท

สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,675.99 ล้านบาท ลดลง 29.61 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 1.09 และ ค่าใช้จ่ายรวม 3,131.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 693.21 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 28.43 ส่งผลให้มี
ผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 359.43 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 218.03 ล้านบาท ลดลง 577.46 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 264.86
#2925


นางสาวพัทธ์หทัย กุลจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลภายใต้แบรนด์ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติม หลังจากจบมาตรการพักหนี้ ในการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา 2 เดือนของธปท. 

ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยลดภาระหนี้ในกลุ่มลูกค้าที่ยังคงได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยเฉพาะลดภาระจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งจะออกเป็นมาตรการใหม่ นอกเหนือจากมาตรการของบริษัทและธปท.ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว  เพราะมองว่าการพักหนี้ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก เพราะหนี้รวมและหนี้ดอกเบี้ยไม่ได้ลดลง

  ดังนั้นบริษัทจึงพยายามคิดหามาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติมเอง  สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19อยู่ หลังทางธปท. ให้แนวทางมา หากหมดมาตรการพักหนี้ 2เดือนแล้ว สถานการณ์ประเทศยังไม่ดีขึ้น

"ลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นแฟนพันธุ์แท้กันมานาน หากยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19อยู่ ก็ต้องหาทางช่วยเหลือลดภาระหนี้อย่างไรได้บ้าง ไม่ให้พึ่งเงินกู้นอกระบบ  ซึ่งตามที่ทางธปท.ให้แนวทาง เราสามารถทำมาตรการช่วยเหลือใหม่ๆ โดยระบุกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักได้เอง ขณะที่มาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ยังคงอยู่ต่อเนื่อง" 

ลูกค้าลงทะเบียนพักหนี้แล้วหมื่นราย

    ปัจจุบันบริษัทให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 4 มาตรการ คือ มาตรการพักหนี้นานสูงสุด 2 รอบบัญชี ของธปท. เริ่มให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยเปิดสมัครขอความช่วยเหลือผ่านแอพฯ ยูชูส ตั้งแต่ 19 ก.ค.2564-18 ส.ค. 2564 ปัจจุบันมีลูกค้าของพักหนี้ จำนวน 10,000 ราย และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมองว่าหากหมดมาตรการนี้ จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่มาดูแลกลุ่มลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบรุนแรงอยู่ 

     ส่วนอีก 3 มาตรการช่วยเหลือของบริษัท ได้แก่   1.ปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ ตั้งแต่ 30 พ.ค.- 31 ธ.ค.2564  บัตรเครดิตขยายระยะผ่อนถึึง 48 เดิือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ และสินเชื่อบุคคล ขยายระยะผ่อนถึง99เดือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ    2. ปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้าที่มียอดค้างชำระ ขยายระยะเวลาผ่อนสูงสุด10ปี หรือ 120เดือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งแตกต่างไปตามยอดคงค้างของลูกค้า และ3 .ปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ ปรับจาก5%เหลือ3% ดีกว่าตลาดที่ปรับจาก10%เหลือ5% สำหรับสินเชื่อบุคคล ส่วนบัตรเครดิตปรับจาก 10% เหลือ 5%  

      ทั้งนี้พบว่า ตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบันลูกค้าเข้ามาขอความช่วยเหลือทุกมาตรการของบริษัท ไม่รวมพักหนี้ธปท. จำนวน  900,000 ราย คิดเป็นสัดส่วน 50% ของยอดบัญชีลูกค้า active และมียอดหนี้ 35,000ล้านบาท  โดยมาขอช่วยเหลือปรับลดการผ่อนชำระขั้นต่ำมากที่สุด จำนวน 600,000 ราย ลดภาระหนี้ให้กับลูกค้า ส่วนปรับโครงสร้างหนี้ 2 มาตรการมีจำนวน 110,000 ราย มียอดหนี้ 5,000-6,000ล้านบาท

โดยกลุ่มลูกค้าที่ขอความช่วยเหลือมากที่สุด เพราะมีรายได้ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ อยู่ในจังหวัดสีแดงเข้ม ต้องธุรกิจปิดชั่วคราวและมีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งสัดส่วน80% ของฐานลูกค้าทั้งหมดเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ซึ่งไม่มีผลกระทบจากเลิกจ้าง   

"เมืองไทยแคปปิตอล พร้อมร่วมมือธปท." 

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมืองไทย แคปปิตอลจำกัด (มหาชน) หรือ MTC กล่าวว่ามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังหมดมาตรการพักหนี้ 2 เดือนนั้น ทางบริษัทยังรอประกาศจากทาง ธปท.ก่อน และยินดีจะให้ความร่วมมือกับ ธปท.อย่างเต็มที่ จากปัจจุบันมีลูกค้าขอช่วยเหลือพักหนี้กับบริษัทจำนวน 25,023 ราย อนุมัติให้ทุกราย
#2926


กระแสความสนใจของประชาชน วันนี้ กรณีการแจกเงินเยียวยา ให้แก่ประชาชนแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 (ม.33) , มาตรา 39 (ม.39) และมาตรา 40 (ม.40) ดังนี้


สำนักงานประกันสังคม แจ้งวันนี้ ให้นายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 29 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ท่านสามารถตรวจสอบสิทธิเยียวยาได้แล้ววันนี้ ทางเวปไซต์สำนักงานประกันสังคม ที่เดียวเท่านั้น คลิก


ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ คลิกตรวจสอบสิทธิ์

แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 คลิกตรวจสอบสิทธิ์

เช้าวันนี้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ตรวจสิทธิรับเงินเยียวยาได้แล้ว ประกันสังคม เปิดให้ ผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 (29 จังหวัดแดงเข้ม 9 กลุ่มกิจการ) ตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ได้แล้ว คลิกตรวจสอบสิทธิ์


ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร


 ผู้สื่อข่าวตรวจสอบและรายงานด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน

โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2. กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด) กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4. วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน


ที่มา - รัฐบาลไทย


ครม. ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม.39 และ ม.40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่น ๆ



ตรวจสอบสิทธิ ม.39, ม.40 รับเงินเยียวยา 5,000 บาท

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ โครงการเยียวยานายจ้าง - ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 9 ประเภทกิจการ เพื่อรับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาท ในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัดแรก โดยคาดว่าจะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ได้ภายในวันที่ 24 ส.ค. 64

ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและสมัคร ม.40 ใน 3 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) และ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ( เช่น กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และจังหวัดอื่น ๆ ) จะประกาศวันจ่ายเงินเข้าบัญชีอีกครั้ง
.
วิธีตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยานายจ้าง – ผู้ประกันตนฯ

1. เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th คลิกเลือก "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.39)", "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.40)"
2. จากนั้นกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสตามรูปที่กำหนด
3. กดค้นหา
4. ระบบจะแสดงผลการค้นหา ว่าได้/ ไม่ได้รับสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ

สำหรับวิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนทุกมาตรา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เฉพาะที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน เพื่อให้ระบบสามารถโอนเงินได้ตามกำหนด

ผู้มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม โทร. 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง



วันนี้ กระทรวงแรงงาน แจ้ง ยื่นก่อน ได้ก่อน รับเงินเยียวยานายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ
นายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม และอยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่ถูกควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (สูงสุดไม่เกิน 200 คน)
สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชี ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นี้ เป็นต้นไป
นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม

กรอกข้อมูลแล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่

กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย
นายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา - สำนักงานประกันสังคม 
#2927


วิกฤติโควิด-19 ยังคงฉุดผลประกอบการครึ่งปีแรกของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการระบาดยาวนานกว่า 1 ปีครึ่ง และมีแนวโน้มยืดเยื้อเกินคาด ส่งผลให้บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นเทล (Centel) ต้องปรับกลยุทธ์รับมือวิกฤติ

ด้วยการบริหารต้นทุน คุมค่าใช้จ่ายเข้ม รวมถึงแผนการลงทุนโรงแรมโครงการใหม่ๆ ในอนาคตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด!

รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร เซ็นเทล กล่าวในรายงานของบริษัทฯต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทฯมองว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกที่ 3 เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนั้น "การบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย" รวมถึง "แผนการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ" เป็นกลยุทธ์สำคัญภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน!! บริษัทฯได้ทำการควบคุมดูแลงบการลงทุนอย่างใกล้ชิด และให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้งบการลงทุนรวมสำหรับธุรกิจโรงแรม (รวมงบการปรับปรุงโรงแรมประจำปีและโครงการใหม่) ในปี 2564 รวมกว่า 2,600 ล้านบาท

"บริษัทฯยังคงแผนการลงทุนสำหรับโครงการโรงแรมใหม่ที่ดูไบ ญี่ปุ่น และการปรับปรุงโรงแรมที่เกาะสมุย แต่เลื่อนการลงทุนโครงการที่มัลดีฟส์ในส่วนของการก่อสร้างอาคารรีสอร์ท และโคซี่ เชียงใหม่"

สำหรับงบการลงทุนและแผนการเปิดโรงแรมที่สำคัญ มีการปิดปรับปรุงโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย จากเดิมเป็นโรงแรมระดับอัปเปอร์ อัปสเกล (Upper Upscale) เป็นโรงแรม "เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย" ระดับลักชัวรี (Luxury) กำหนดเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 นี้ หลังปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2562 โดยงบใช้จ่ายการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโรงแรม "เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ" คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 นี้เช่นกัน โดยงบใช้จ่ายการลงทุนประมาณ 800 ล้านบาทในปีนี้ ขณะที่โรงแรม "เซ็นทารา แกรนด์ โฮเทล โอซาก้า" คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2566 ใช้เงินลงทุนประมาณ 570 ล้านบาทในปีนี้


"จากแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปีนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมสะดุดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะแถบเอเชีย ประกอบกับแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลให้บริษัทฯต้องมีการทบทวนแผนการปิดโรงแรมบางแห่งชั่วคราวในไตรมาส 3 นี้ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหารและจัดการให้เหลือน้อยที่สุด อย่างไรก็ดี บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการโรงแรมที่เป็นเจ้าของได้ทั้งหมดภายในไตรมาส 4 นี้ ทั้งนี้การเปิดหรือปิดโรงแรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นสำคัญ"

โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น จำนวน 84 แห่ง (17,224 ห้อง) แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 44 แห่ง (7,819 ห้อง) และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 40 แห่ง (9,405 ห้อง) โดยในส่วนของโรงแรม 44 แห่งที่เปิดดำเนินการแล้วนั้น โรงแรม 18 แห่ง (4,443 ห้อง) เป็นโรงแรมที่บริษัทฯเป็นเจ้าของ และ 26 แห่ง (3,376 ห้อง) เป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 322 ล้านบาท คิดเป็น 12% ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 2,368 ล้านบาท คิดเป็น 88% โดยบริษัทฯขาดทุนสุทธิ 607 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

และเมื่อดูผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯมีรายได้รวม 5,463 ล้านบาท ลดลง 1,475 ล้านบาท หรือลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 822 ล้านบาท คิดเป็น 15% ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 4,641 ล้านบาท คิดเป็น 85% บริษัทฯขาดทุนสุทธิ 1,082 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 571 ล้านบาท หรือ 112% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

หากโฟกัสเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ที่บริษัทฯมีรายได้รวม 822 ล้านบาท ลดลง 1,114 ล้านบาท หรือลดลง 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังอัตราการเข้าพักลดลงจาก 31% เป็น 13% และราคาห้องพักเฉลี่ยลดลง 20% อยู่ที่ 4,096 บาท ส่งผลให้รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) ลดลง 68% อยู่ที่ 516 บาท ทั้งนี้ส่วนของธุรกิจโรงแรมขาดทุนสุทธิ 1,127 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 622 ล้านบาท หรือ 123% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้บริษัทฯมีอัตราส่วนสภาพคล่องดีขึ้นจากสิ้นปี 2563 เป็น 0.7 เท่า อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นลดลงเป็น 1.2 เท่า ดีขึ้นจากสิ้นปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของส่วนผู้ถือหุ้นเนื่องจากการตีราคาที่ดินเป็นสำคัญ และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนผู้ถือหุ้น 0.7 เท่า นอกจากนี้บริษัทฯมีเงื่อนไขกับสถาบันการเงินเกี่ยวกับการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.0 เท่า

อย่างไรก็ดี เนื่องด้วย "ความไม่แน่นอน" ในการฟื้นตัวของธุรกิจ บริษัทฯได้จัดเตรียมวงเงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่สามารถเบิกถอนได้ประมาณ 8,300 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินงานภายใต้ความผันผวนของธุรกิจถึงไตรมาส 4 ปี 2565 ในการใช้ไปเพื่อการดำเนินงานบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทุนและดอกเบี้ยจ่าย (ไม่รวมดอกเบี้ยจ่ายตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า) รวมสุทธิเดือนละประมาณ 370-380 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รวมถึงเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือเพียงพอในการดำเนินงานและการลงทุน
#2928


คนไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบที่รุมเร้าทั้งทางสุขภาพกายและใจ วิถีการดำเนินชีวิตในสังคม การทำงาน การเรียน และเศรษฐกิจ อีกทั้งอิทธิพลของกระแสข่าวสารที่ถาโถมหลั่งไหลในยุคโซเชียลมีเดีย มีส่วนทำให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคซึมเศร้า ความเครียด ความกังวล หรืออาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย คณะวิศวะมหิดล ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ผนึกความร่วมมือกับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัวนวัตกรรมแชทบอท "ใส่ใจ" (Psyjai) ที่สามารถพูดคุยกับทุกเพศวัย ก้าวล้ำด้วยเอ.ไอ.ช่วยประเมินสภาวะจิตใจและอารมณ์เบื้องต้น บรรเทาความเครียดด้วยหลักจิตวิทยา เปิดบริการแล้ววันนี้ให้เข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ช.ม.


ดร. กลกรณ์ วงศ์ภาติกะเสรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัญหาโควิด-19 ในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเครียดวิตกกังวลได้หลายๆ ด้าน ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งความเครียดอาจแสดง ออกมาเป็นรูปแบบของการนอนไม่หลับ ไม่สามารถหาความสุขจากกิจกรรมในวันธรรมดาๆ ได้ ท้อแท้ รู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะความยากลำบากของตัวเองได้ รวมถึงความรู้สึกทุกข์ใจและซึมเศร้า รวมถึงการเสียความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เป็นต้น ทีมวิจัย จึงได้พัฒนา นวัตกรรมแชทบอท "ใส่ใจ" (Psyjai) ที่เป็นเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยา สามารถพูดคุยกับผู้ใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และใช้งานง่าย โดยทีมวิจัยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการดูแลคนไทยให้มีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ใช้งานสามารถตระหนักรู้ถึงสภาวะอารมณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า และนำไปสู่การจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดความยากลำบากของประชาชนในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตในช่วงโควิด-19 ทั้งที่เป็นผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ประเด็นปัญหาทั่วไป ช่วยให้คนไทยทุกเพศวัยสามารถดูแลสุขภาพจิตตนเองได้ทันท่วงที ป้องกันปัญหาดังกล่าวไม่ให้พัฒนาความรุนแรงขึ้น

แชทบอท ใส่ใจ (Psyjai) นี้ให้บริการผ่านทางเฟสบุค โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) วิเคราะห์อารมณ์จากเนื้อหาการพูดคุย และมีระบบจัดการการสนทนา (Dialogue Management) สำหรับส่งข้อความโต้ตอบให้สอดคล้องกับอารมณ์และประเด็นปัญหาที่ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์หรือตรวจจับได้ แชทบอท "ใส่ใจ" ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1. ประเมินสภาวะอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์เศร้า เครียด และวิตกกังวล ที่มีต่อภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ข่าวสารโซเชียลมีเดีย หรือจากผลกระทบต่ออาชีพการงาน การศึกษา การปรับตัวทางสังคม ภาระการดูแลสมาชิกในครอบครัว ทั้งนี้เพื่อสร้างภาวะตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงของภาวะสุขภาพจิตในระยะเริ่มแรกที่สามารถให้การดูแลได้ง่าย 2. ให้การดูแลประคับประคองอารมณ์ในระดับเบื้องต้น (Emotional Support) โดยอ้างอิงหลักการให้การดูแลจิตใจตามหลักจิตวิทยา โดยผู้ใช้งานสามารถพูดคุยกับแชทบอทได้ทุกที่ ทุกเวลา และมีการบ้านหรือแบบฝึกหัด (Homework) เพื่อกระตุ้นให้นำเนื้อหาที่พูดคุยไปปรับใช้จริง และผู้ใช้งานสามารถติดตามความก้าวหน้าของตนเองได้บนหน้าแสดงข้อมูล (Dashboard) ส่วนวิธีใช้งาน สามารถเข้าไปใช้งานโดยเสิร์ชหาคำว่า "Psyjai" ในช่องค้นหา ของแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก หรือ www.facebook.com/psyjaibot/ หลังจากเข้ามาที่หน้าเฟซบุ๊กเพจใส่ใจแล้ว ก็สามารถกดปุ่ม "ส่งข้อความ" เพื่อเริ่มพูดคุยได้ทันที นอกจากนี้แชทบอท "ใส่ใจ" (Psyjai) ยังมีระบบให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง หรือมีภาวะอารมณ์ที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง โดยเราให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาความลับของผู้ใช้งานตามมาตรฐานสากล ทั้งในด้านคะแนนการประเมินสุขภาพจิต และเนื้อหาที่พูดคุย

รศ.พญ. สุดสบาย จุลกทัพพะ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในปัจจุบันปัญหาด้านสุขภาพจิตมีความรุนแรงมากขึ้น พบได้ในคนทุกกลุ่มอายุ ในขณะที่ความสามารถในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตที่เป็นมาตรฐานนั้นมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ทั่วโลกต่างกำลังเจอวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากสถิติของกรมสุขภาพจิต รายงานว่า เฉพาะช่วง ม.ค.2564 เดือนเดียว มีผู้ขอรับบริการโทรปรึกษาผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เกี่ยวกับความเครียดจากโควิด-19 มีจำนวนสูงลิ่วถึง 1.8 แสนคน เปรียบเทียบกับทั้งปี 2563 มีจำนวนการโทรขอคำปรึกษาอยู่ที่ราว 7 แสนคน ดังนั้น "ใส่ใจ" แชทบอทบริการทางสุขภาพจิต จึงตอบโจทย์ด้วยข้อดี คือเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วในการประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นด้วยตนเองอย่างถูกต้อง และสามารถรองรับผู้ใช้บริการได้เป็นจำนวนมาก สะดวกมากขึ้น ลดการเดินทางและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกด้วย 


พณิดา โยมะบุตร นักจิตวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางจิตใจ แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยทางด้านกายภาพ เช่น พันธุกรรม เพศ อายุ 2. ปัจจัยทางด้านจิตสังคม เช่น พื้นฐานทางจิตใจ อารมณ์ ทักษะการแก้ปัญหา สภาพแวดล้อม เป็นต้น ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน กระทบการดำเนินชีวิตของคนในหลายๆ ด้าน ถือเป็นภาวะวิกฤติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต วิธีป้องกันสุขภาพจิตที่ดีที่สุดคือ หมั่นสำรวจภาวะอารมณ์และความคิดของตนเอง เรียนรู้และจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแลที่เหมาะสม แต่ด้วยข้อจำกัดของจำนวนบุคลากรและการเข้าถึง ทำให้มีประชากรไทยจำนวนมากไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตจนปัญหารุนแรงขึ้นจนถึงระดับที่แก้ไขได้ยาก ทีมวิจัยพัฒนาแชทบอท "ใส่ใจ" (Psyjai) โดยบูรณาการองค์ความรู้ทางจิตวิทยาคลินิกและจิตเวช ผสานเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างเครื่องมือเป็นบริการเพื่อสังคมที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้ง่ายและลดช่องว่างดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของคนไทยแล้ว ยังเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพจิตในประเทศไทยให้ก้าวไปกับโลกและไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลอีกด้วย
ดังนั้น หากรู้สึกไม่สบายใจ เครียด หรือสงสัยว่าตนมีอาการซึมเศร้าหรือไม่ ก็สามารถเข้าถึงบริการ "ใส่ใจ" แชทบอททางสุขภาพจิตได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเฟซบุ๊กทั้งในสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
#2929


นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ออกสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เรื่อง จะขีดชื่อห้างหุ้นส่วนบริษัทออกจากทะเบียนจำนวน 10,810 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 10,810 ราย เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แยกเป็นนิติบุคคลที่ไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2560-2562 จำนวน 5,795 ราย ซึ่งเป็นเหตุให้เชื่อว่าไม่ได้ทำการค้าขายหรือดำเนินธุรกิจแล้ว และกรณีจดทะเบียนเลิกแล้วแต่ไม่มีตัวผู้ชำระบัญชีทำการอยู่หรือไม่ได้จัดทำรายงานการชำระบัญชี หรือไม่ได้ยื่นจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลา 3 ปี จำนวน 5,015 ราย โดยจะขีดชื่อนิติบุคคลจำนวนนี้ ให้เป็นสถานะร้างสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ออกประกาศ (16 ก.ค.2564) เว้นแต่จะแสดงเหตุให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพื่อเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลนิติบุคคลให้เป็นปัจจุบัน และปิดช่องว่างของมิจฉาชีพที่จะนำความน่าเชื่อถือของนิติบุคคลไปหลอกลวงประชาชน

ส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด กรมฯ ได้ประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้ดำเนินการตรวจสอบ และขีดชื่อออกเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้มีแนวทางปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ หากพ้นกำหนดเวลา 90 วันนับแต่วันที่ออกประกาศ นิติบุคคลดังกล่าวจะถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนและสิ้นสภาพนิติบุคคล เว้นแต่จะแสดงเหตุให้เห็นเป็นอย่างอื่น แต่แม้นิติบุคคลจะมีสถานะร้างและสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลไปแล้ว ความรับผิดชอบยังคงไม่ได้สิ้นสภาพตามไปด้วย และอาจคืนสู่ทะเบียนได้โดยการร้องขอต่อศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน

นายทศพลกล่าวว่า การปรับปรุงฐานข้อมูลสถานะของนิติบุคคล ถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมฯ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลนิติบุคคลอันจะส่งผลต่อการวิเคราะห์การเจริญเติบโตในภาคธุรกิจและตัดโอกาสการถูกหลอกลวงของประชาชน จึงขอฝากไปยังนิติบุคคลจะต้องดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการจัดทำงบการเงินประจำปีและยื่นต่อกรมฯ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล รวมไปถึงกรณีที่ธุรกิจมีความจำเป็นจะต้องยุติลง แต่ก็ยังคงมีหน้าที่ในการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นเช่นกัน

สำหรับประชาชน และผู้ประกอบการ จะต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาคู่ค้าหรือการเลือกลงทุนกับธุรกิจใด จำเป็นจะต้องตรวจสอบข้อมูลหรือสถานะให้ดีเพื่อป้องกันความผิดพลาด โดยประชาชนและธุรกิจที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อนิติบุคคลที่เข้าข่ายจะถูกขีดชื่อ สามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th หัวข้อ คู่มือทำธุรกิจ เลือกจดทะเบียนธุรกิจ และประกาศถอนทะเบียนร้างและคืนสู่ทะเบียน และสามารถตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง โดยตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th เลือกหัวข้อ บริการออนไลน์ และ DBD Datawarehouse+ หรือแอปพลิเคชั่น DBD Service โดยไม่มีค่ามีค่าใช้จ่าย
 
#2930


การแข่งขันฟุต.เคลีก เกาหลีใต้ เมื่อวันพุธที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ระหว่าง ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ลงสนามนัดที่ 21 ของฤดูกาล เปิดบ้านรับการมาเยือนของ กวางจู เอฟซี

โดยเกมนี้ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ต้อนเอาชนะผู้มาเยือน 3-0 ขณะที่ "เจ้าพี" ศศลักษณ์ ไหประโคน ถูกส่งลงสนามมาเล่นตำแหน่งกองกลางในนาทีที่ 80 แทนที่ของ พัค ซึง-โฮ

จากชัยชนะในเกมนี้ส่งผลให้ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส มีเพิ่มเป็น 39 แต้ม ตามหลังจ่าฝูง อย่าง วุลซาน ฮุนได อยู่ 5 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่า 2 นัด

ซึ่งในเฟซบุ็กของ ศศลักษณ์ ไหประโคน มีการเผยภาพของพ่อและญาติพี่น้องของดาวเตะชาวไทย ที่ล้วนสวมเสื้อแข่งของทีม ชนบุค ออกมานั่งดูจอโทรศัพท์ให้กำลังใจอยู่กลางทุ่ง โดยมีแฟนคลับ และเพื่อนๆ ของ "เจ้าพี" มาคอมเม้นท์ให้กำลังใจอย่างล้นหลาม

สำหรับโปรแกรมต่อไป ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เอฟซี โซล ในวันที่ 15 สิงหาคม 2564 เวลา 16.00น. ตามเวลาประเทศไทย
#2931


นายนคร นิรุตตินานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงทางด้านวิชาการร่วมกันเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อสนับสนุนการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อนำมาแปรรูปส่งออก

                ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ คณะเกษตร กำแพงแสน จะสนับสนุนด้านวิชาการและความรู้เรื่องการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์และแปรรูปผักเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ส่งออกของบจ. ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่บจ. ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรมจะสนับสนุนโอกาส ทางการศึกษาสำหรับการเรียนรู้ด้านการจัดการฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา และเกษตรกรในท้องถิ่น

ระยะเวลา 1 ปีของข้อตกลงนี้ ทางมหาวิทยาลัยจะช่วยไทยยูเนี่ยนในการสร้างฟาร์มต้นแบบสำหรับผลิตผัก เพื่อทดลองรูปแบบของการปลูกผัก ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ฟาร์มต้นแบบนี้จะดำเนินการผลิตเต็มกำลังทันที

                นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือทางด้านวิชาการในรูปแบบอื่นๆ เช่น งานวิจัย การเยี่ยมชมดูงานเพื่อการศึกษาและวิทยากรบรรยาย ตลอดจนการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของทั้งมหาวิทยาลัยและบริษัท ทั้งนี้ มูลนิธิบ้านสุขใจ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสจะได้รับการสนับสนุนผักสดจากโครงการนี้ด้วย


บันทึกข้อตกลงนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ไทยยูเนี่ยนได้ดำเนินการตามความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้คนและชุมชนที่อาศัยและทำงานในพื้นที่ที่เรามีการดำเนินธุรกิจ โดยโครงการนี้จะสนับสนุนเกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอื่นๆ เพื่อช่วยพัฒนาฟาร์มของเกษตรกรและสามารถส่งผักให้กับไทยยูเนี่ยนได้ นอกจากนี้ผักจากฟาร์มของบริษัทจะส่งมอบให้กับมูลนิธิบ้านสุขใจด้วย เพื่อนำไปประกอบอาหารให้กับเด็กที่อยู่ในมูลนิธิ

 "บริษัทยินดีอย่างมากที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรื่องความรู้และการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์ และยังช่วยเราในเรื่องการจัดทำฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดนครสรรค์อีกด้วย สำหรับฟาร์มนี้จะช่วยให้เราได้ผักที่มีคุณภาพและมาตรฐาน อีกทั้งจะช่วยสร้างงานให้กับชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย"

                ดร. ปภพ สินชยกุล คณบดีคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าว ว่าความร่วมมือนี้ จะเป็นประโยชน์ไม่เพียงเฉพาะมหาวิทยาลัยและไทยยูเนี่ยนเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และชุมชนในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอื่นๆ รวมถึงมูลนิธิบ้านสุขใจอีกด้วย"
#2932


ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดมุมมอง พร้อมเผยถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของไมโครซอฟท์ประเทศไทยว่า วางเป้าหมายให้ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 4 ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เป็นปีแห่งการเดินหน้า เพื่อร่วมสร้างหนทางใหม่ๆ ท่ามกลางยุคของการใช้ชีวิตและทำงานแบบรีโมทที่แทบทุกอย่างต้องมีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง

6 พันธกิจ หลักที่มุ่งเน้น ประกอบด้วย สร้างมาตรฐานใหม่ ร่วมงานกับหลายภาคส่วนในประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานทางเทคโนโลยีสำหรับปัจจุบันและอนาคต ให้ทุกภาคส่วนได้เดินหน้าและเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง

เขากล่าวว่า การสร้างมาตรฐานใหม่ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเช่น "มาตรฐานเชิงนโยบายเพื่อโลกดิจิทัล" เพื่อให้การใช้งานดิจิทัลแพลตฟอร์มได้รับการรับรอง มีผลตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการประชุมออนไลน์ ซิเคียวริตี้และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสอดคล้องไปกับพีดีพีเอ การสร้างความมั่นใจในยุคดิจิทัล รวมถึงมาตรฐานด้านเอไอเพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์

ก้าวสู่ 'วิถีใหม่' ยุคนิวนอร์มอล

สร้างทักษะใหม่ ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะสร้างทักษะดิจิทัลให้กับคนไทยเกินกว่า 10 ล้านคนในทุกระดับ ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงคณาจารย์ และคนทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ

ที่ผ่านมา ร่วมมือกับหลากหลายหน่วยงานพัฒนาองค์กรความรู้และทักษะเชิงดิจิทัลให้กับบุคลากรครู นักเรียน แรงงาน ทั้งได้เปิดหลักสูตรการสอนทักษะคลาวด์ ไอที ขณะเดียวกัน นำโครงการ Enterprise Skills Initiative (ESI) เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยในปีนี้ เพื่อยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีเชิงลึกของบุคลากรในองค์กรขนาดใหญ่

สร้างวิถีใหม่ โดย 8 วิถีใหม่ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรม จากมุมมองของไมโครซอฟท์ประกอบด้วย "Anywhere, Everywhere" ที่การเรียน เล่น ติดต่อสื่อสาร และการใช้ชีวิตทำผ่านระบบดิจิทัล, "Digital First World" ทุกอย่างเป็นดิจิทัลและผลักดันให้ระบบทุกอย่างถูกออกแบบมารองรับ รวมไปถึงโมเดลธุรกิจที่ต้องมีดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญ, "Cloud Economy" การมาอย่างรวดเร็วและยิ่งใหญ่ของระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์, "New Gen of Business & Intelligence" ก้าวต่อไปของการยกระดับธุรกิจด้วยข้อมูลและเอไอ

นอกจากนี้ "Strategic Economy Partnership" สร้างความร่วมมือด้วยจุดมุ่งหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อความสำเร็จที่ดีขึ้น, "Citizen Developers" พลเมืองนักพัฒนาที่ทุกคนสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนางานของตัวเอง, "Economy of Trust" ความไว้วางใจต้องมาก่อนและเป็นรากฐานในการออกแบบทุกผลิตภัณฑ์และบริการ สุดท้าย "Sustainable Development Goal" การตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการทำธุรกิจแบบยั่งยืน

สำหรับปีนี้ไมโครซอฟท์จะมีผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ จำนวนมากเข้ามาตอบสนองต่อความต้องการและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว สอดรับไปกับทั้งสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต


ปีนี้ใช้จ่ายไอทีไทยโตอีก 4.9%

สร้างการเติบโต ไมโครซอฟท์ยังคงทำงานกับเครือข่ายพันธมิตร ครอบคลุมทุกภาคส่วนและหลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างทั่วถึง

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีไทยในปีนี้ การ์ทเนอร์คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการใช้จ่ายในภาพรวมเพิ่มสูงขึ้นราว 4.9% ขณะที่การใช้จ่ายกับบริการคลาวด์สาธารณะ (public cloud) มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวขึ้นถึง 31.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ีมีแนวโน้มเติบโต 23.1%

สำหรับไมโครซอฟท์เอง ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมีทั้งกลุ่ม Power Platform, Intelligent Endpoint, Data & AI ซึ่งเติบโตเกิน 100%, Microsoft Teams เติบโตกว่า 10 เท่า, Azure, Dynamics และโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัย 

สร้างความมั่นใจ แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบทุกผลิตภัณฑ์และบริการของไมโครซอฟท์ ด้วยหลักการพื้นฐานที่ครอบคลุมทั้งการปกป้องทุกภาคส่วนจากภัยไซเบอร์ การรองรับมาตรฐานทั้งในเชิงกฎหมายและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม และการเสริมสร้างความมั่นใจในเทคโนโลยีให้องค์กรเลือกใช้งานได้โดยไม่กังวล

สร้างความยั่งยืน เมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์เปิดตัว "Cloud for Sustainability" กลุ่มโซลูชั่นคลาวด์ใหม่ล่าสุดที่มุ่งช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น ผ่านทางการติดตามข้อมูล ทำรายงานสรุป และวัดประสิทธิภาพการทำงานในด้านการลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้องค์กรที่ใช้งานสามารถรับรู้ รายงาน ลด และชดเชยการปล่อยมลภาวะของตนเองได้ดียิ่งขึ้น

'ธนวัฒน์เผยว่า การเป็นผู้นำองค์กรยามเกิดภาวะวิกฤติ นอกจากการบริหารจัดการ สร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและการดูแลลูกค้า สิ่งสำคัญคือ การดูแลความปลอดภัยพนักงาน และหลังจากนี้มุ่งทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อเข้าไปสนับสนุน ทำความเข้าใจสถานการณ์

รวมไปถึงอัพสกิล รีสกิลให้พนักงานภายในเพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆ วิถีใหม่ๆ ของการใช้ชีวิตและการทำงาน โดยภาพรวมมีแผนสร้างการเติบโตให้กับทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน และสตาร์ทอัพในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี 19 เดือนที่ผ่านมาเป็น 19 เดือนที่ไม่ง่าย 19 เดือนแห่งการไม่ยอมแพ้ เต็มไปด้วยความท้าทาย สับสน ต้องดิ้นรน เรียนรู้ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงและความอยู่รอด ขณะเดียวกันสำหรับบางธุรกิจเป็นโอกาสที่จะสร้างความสำเร็จ เกิดความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ ข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่ๆ และทำให้การบริการลูกค้าทำได้ดีขึ้น

ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดกลยุทธ์ของไมโครซอฟท์ในระดับอาเซียน แนวทางการลงทุนจากนี้จะเน้นไปที่การยกระดับศักยภาพธุรกิจ เพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลไทยที่ต้องสอดคล้องไปกับนโยบายของไมโครซอฟท์ด้วย
#2933


The Economist รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดจาก covid19.trackvaccines.org ระบุว่า "แอสตร้าเซนเนก้า" เป็นวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆมากที่สุดในโลก รองลงมาคือวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค และสปุตนิกวี 

แต่น่าสังเกตว่า สปุตนิกวี ของรัสเซียติดอันดับ 3 ของวัคซีนยอดนิยมทั่วโลก โดยได้รับการยอมรับจาก 70 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO)


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

รายละเอียดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทต่างๆที่ได้รับการยอมรับ และได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 10 อันดับแรก เป็นดังนี้ 

1. แอสตร้าเซนเนก้า (121 ประเทศ)

2. ไฟเซอร์-ไบออนเทค (97 ประเทศ)

3. สปุตนิกวี (70 ประเทศ)

4. โมเดอร์นา (65 ประเทศ)

5. ซิโนฟาร์ม (59 ประเทศ)

6. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (59 ประเทศ)

7. โควิชิลด์ (45 ประเทศ)

8. ซิโนแวค (39 ประเทศ)

9. โควาซิน (9 ประเทศ)

10. . (8 ประเทศ)
#2934


ลิโอเนล เมสซี เตรียมเลือกสวมเบอร์ 30 ซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อยในการเล่นให้กับต้นสังกัดใหม่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แห่งศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส

เบอร์ประจำของ เมสซี ก็คือ หมายเลข 10 ที่ บาร์เซโลน่า แต่สำหรับที่ เปแอสเช แนวรุกอาร์เจนไตน์วัย 34 ปี จะไม่ขอเอามาจาก เนย์มาร์ กองหน้าบราซิล ที่เตรียมประสานงานกันล่าตาข่ายอีกครั้ง

ดังนั้น เมสซี่ จะหันไปเลือกเบอร์ 30 ซึ่งถือว่าเป็นหมายเลขแรกที่เจ้าตัวสวมลงเล่นระดับอาชีพหนแรกอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคมปี 2004

ตอนที่ เมสซี ขึ้นมาเล่นให้ บาร์เซโลน่า ใหม่ๆ นั้นเบอร์ 10 ยังเป็นของ โรนัลดินโญ่ จากนั้นเมื่อปี 2008 แข้งบราซิลย้ายไปเล่นให้ เอซี มิลาน หมายเลขจอมทัพดังกล่าวจึงถูกส่งต่อมาให้กับนักเตะอาร์เจนไตน์จนปัจจุบันที่หมดสัญญาลงในซัมเมอร์นี้

ขณะที่เบอร์ 30 ของ เปแอสเช ในตอนนี้เป็นของ อเล็กซานเดร เลเทลลิเยร์ มือกาววัย 30 ปี ที่ไม่เคยเล่นชุดใหญ่แม้แต่นัดเดียว ดังนั้น ก็ไม่มีปัญหาหาก เมสซี่ ต้องการ

ฟาก บาร์เซโลน่า การเสีย เมสซี่ ได้มีการเรียกร้องให้แขวนเบอร์ 10 เป็นเกียรติแก่ตำนาน แต่ทำไม่ได้ เนื่องจาก สมาคมฟุต.สเปน มีกฎว่าทีมของรัฐจะต้องกำหนดหมายเลขให้นักเตะภายในทีมเป็นเบอร์ 1 ถึง 25 ให้ครบ
#2935


"เงินบาท" ปิดตลาดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. อ่อนค่าที่่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์ และนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคเอเชียที่ 10.3% โดยระหว่างวันเงินบาทอ่อนค่าสุดที่ 33.39 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ3ปี             

'บาทอ่อน'จากปัจจัยในปท.-ศก.ถดถอย       

นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center (EIC)ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่า  สถานการณ์เงินบาทที่อ่อนค่าเร็วและมีความผันผวนในระยะสั้น มาจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากการแพร่ระบาดโควิด ระลอก 3 ยังรุนแรงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมานี้  รวมถึงการกลับมาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในรอบ 8 ปี และยังมีแนวโน้มเงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งเป็นปัจจัยนอกประเทศเข้ามากดดัน  

ทั้งนี้ยังต้องติดตามการคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19รอบนี้จะยืดเยื้อหรือไม่ ปัจจุบันยังคงคาดการณ์เงินบาทในปีนี้ที่ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ภายใต้กรณีฐาน คาดว่าจีดีพีปีนี้ที่ 0.9% สามารถคุมการแพร่ระบาดได้ในช่วงต้นถึงกลางไตรมาส 4 ปีนี้ มีการกระจาย วัคซีนได้มากขึ้น เศรษฐกิจค่อยๆปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้  ทำให้เงินบาทน่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บางในช่วงปลายปี แต่ทั้งปีนี้ยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

แต่กรณีเลวร้าย โควิด-19ยังแพร่ระบาดต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4  ยังล็อกดาวน์ต่อเนื่อง ผลกระทบลามสู่อุตสาหกรรมกระทบส่งออกทำให้ ธปท. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ได้  ทำให้จีดีพีปีนี้ ติดลบ 0.4% ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องในครึ่งปีหลังและสิ้นปีนี้อ่อนค่าทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์

นายยรรยง กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทอ่อนค่าในปีนี้ จะยังไม่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย เพราะเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  สามารถดูแลได้ จากปัจจุบันที่มีทุนสำรองฯ อยู่ในระดับสูง ทำให้สามารถเข้ามาดูแลให้เงินบาทอ่อนค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป และไม่ผันผวนมากนัก ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกอีกด้วย ช่วงให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19ที่มีภาระต้นทุนอื่นๆ เพิ่มขึ้น


'เดลตา'ระบาดแรงฉุดศก.ติดลบ   

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า ธนาคารปรับมุมมองทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าขึ้นในระยะสั้น ไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ จากเดิมที่ 32.50บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสหลุด 33.50 บาทต่อดอลลาร์ได้  

ทั้งนี้จากปัจจัยการแพร่ระบาดโควิด-19สายพันธุ์เดลตาที่รุนแรงขึ้น จนมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเร่งตัวขึ้น ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย มีควาามเสี่ยงมากขึ้นที่จะติดลบต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน หากการแพร่ระบาดลามสู่ภาคอุตสาหกรรมและอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยซึ่งนักลงทุนกังวลจุดนี้ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)มีโอกาสลดคิวอีในปีนี้

แต่หากคุมการแพร่ระบาดโควิดรอบนี้ได้ภายในเดือน ส.ค.หรือเดือนก.ย.นี้ น่าจะเริ่มเห็นสัญญาณยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงได้ เหลือระดับ 1 หมื่นคน นักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมาได้ คาดว่า หลังจากนั้น สถานการณ์น่าจะคลี่คลาย ทำให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมากหรืออาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่าที่คาดจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ทั้งผลกระทบโควิด-19สายพันธุ์เดลตายังลามในไตรมาส 4 ปีนี้ ล็อกดาวน์ต่อเนื่องทั้งปี และลามสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นจนกระทบส่งออก แม้เงินบาทอ่อนค่าก็ไม่ได้ช่วยส่งออกได้ เพราะส่งออกไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ส่งผลให้จีดีพีปีนี้ติดลบ 

รวมถึงยังไม่สามารถจัดหาและกระจายวัคซีนได้ตามเป้าหมายในปีนี้  แน่นอนว่าหากสถานการณ์ยังเลวร้ายในเดือนส.ค.นี้ ธปท.มีโอกาสจะลดดอกเบี้ยนโยบายได้ในการประชุมครั้งหน้าเดือนก.ย. ทำให้ความน่าสนใจสินทรัพย์ในรูปเงินบาทลดลงอีก 

ทั้งหมดเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่กดดัน เงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่องไปแตะ 34 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ต้องรอจับตาสถานการณ์คุมการแพร่ระบาดกลางเดือนส.ค.นี้จะทำได้มากน้อยแค่ไหน

แนะขยาย 'ล็อกดาวน์' ถึงสิ้นปี

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยว่ ช่วงครึ่งปีหลังนี้เงิินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าขาเดียว คือไม่กลับมาแข็งค่าอีกรอบ โดยสิ้นปีนี้มองกรอบค่าเงินบาทที่ระดับ  33.50 -34.00 บาทต่อดอลาร์

จากปัจจัยยอดผู้ติดเชื่อใหม่ในประเทศยังพุ่งสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค  และดุลบัญชีเดินสะพัดยังขาดดุลต่อเนื่องในระดับสูง รวมถึงเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น 

หากเฟดมีความมั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐและส่งสัญญาณพร้อมลดคิวอี  ที่สำคัญในช่วงปลายปีนี้ มองว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐยังฟื้นชัดเจนการแพร่ระบาดสายพันธุ์เดลตาไม่มีผลกระทบมากเมื่อเทียบกับฝั่งประเทศเกิดใหม่ แน่นอนว่า มีโอกาสที่เงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงปีหน้ามองไว้ที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์

"เราต้องรอประเมินสถานการณ์คุมโควิด-19กลางเดือนส.ค.นี้ก่อนว่า จะคุมได้มากน้อยแค่ไหน แต่ตอนนี้มองว่า ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่เพิ่มขึ้นและน่าจะไปถึงจุดสูงในเดือนก.ย.หรือเดือน ต.ค.จะนั้นสถานการณ์น่าจะค่อยๆ ดีขึ้น มาตรการล็อกดาวน์น่าจะขยายต่อถึงสิ้นปีนี้และโอกาสที่จะเปิดประเทศปลายปีนี้เป็นไปไม่ได้ ทำให้มีโอกาสปรับลดจีดีพีปีนี้จากเดิมคาดไว้ที่  0.9%" 

"กรุงศรีโกล.มาร์เก็ตส์" ประเมินกรอบค่าเงินบาทไตรมาส 3 ปีนี้ ยังอ่อนค่าที่ 33.25 บาทต่อดอลลาร์ จากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันน่าจะสูงสุดในไตรมาส 4  กระจายวัคซีนลาช้า ยังมีมาตรการล็อกดาวน์  และเฟดเล็งถอนคิวอีในปีนี้  แต่คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะกลับมาแข็งค่าที่ 32.75บาทต่อดอลลาร์ จากเงินบาทน่าจะสะท้อนปัจจัยเชิงลบไปพอสมควร แต่หากสถานการณ์โควิดในประเทศยังไม่ดีขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ แน่นอนว่า ทิศทางเงินบาทยังอ่อนค่ากว่าที่คาดและต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ 

ดอลล์แข็งค่ารับจ้างงานสหรัฐแกร่ง

ขณะที่ ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงแข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์ก เมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจาก นักลงทุนขานรับสหรัฐ เปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือน ก.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.58% แตะที่ 92.7918

ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.20 เยน จากระดับ 109.75 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9150 ฟรังก์ จากระดับ 0.9061 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2559 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2494 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1758 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1835 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3932 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7352 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7404 ดอลลาร์

บรรดานักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด

 โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.
#2936


GPSC สุดแกร่งผลประกอบการไตรมาส 2/2564 คว้ากำไร 2,302 ล้านบาท โต 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โชว์ศักยภาพแผนการดำเนินงานครึ่งปีหลัง เดินหน้านวัตกรรมพลังงานเต็มสูบ รับรู้ผลการดำเนินงานจากพอร์ตพลังงานสะอาดในต่างประเทศทั้งอินเดีย และไต้หวัน พร้อมยกระดับมาตราการคุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ดูแลความมั่นคงระบบการผลิต ป้อนไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง

นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 มีรายได้ทั้งสิ้น 18,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 โดยมีกำไรสุทธิ 2,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 (YoY) โดยสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี การรับรู้รายได้จากเงินชดเชย ค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงานระยะที่ 5 ปัจจัยบวกจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) จะลดลงในส่วนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน ที่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของไตรมาส 2/2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 (QoQ) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% เป็นผลการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเงินชดเชยจากค่าประกันโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงานระยะที่ 5 และมีกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะเดียวบริษัทฯ ยังรับรู้มูลค่า Synergy ร่วมกับ GLOW จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษี จำนวน 436 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ รวมถึงการใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน ทั้งยังสามารถลดต้นทุนจัดซื้อจัดจ้าง และงานซ่อมบำรุงได้ตามเป้าหมาย

สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 4,276 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 34,858 ล้านบาท หรือลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงแสวงหาโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านพลังงาน จากกลยุทธ์หลักในการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ที่ประสบความสำเร็จในช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ได้แก่ วันที่ 13 ก.ค. 2564 บริษัท โกล. รีนิวเอเบิล ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GRSC) ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าลงทุนในบริษัท Avaada Energy Private Limited (Avaada) สัดส่วนประมาณ 41.6% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 14,825 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศอินเดีย กำลังผลิตรวม 3,744 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้วประมาณ 1,392 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวนประมาณ 2,352 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ในปี 2564-2565 ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ วันที่ 14 ก.ค. 2564 GRSC ยังได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับกองทุน CI-II และ CI-III ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท Copenhagen Infrastructure Partners (CIP) เพื่อเข้าลงทุนในสัดส่วน 25% ในโครงการ Changfang และ โครงการ Xidao (CFXD) ซึ่งเป็นโครงการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore wind) ในไต้หวัน กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมจำนวน 595 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ในช่วงปี 2565-2567 CFXD มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ บริษัท Taiwan Power Company โดยคาดว่าการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการโอนหุ้นได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565

พร้อมกับความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมพลังงาน โดย GPSC ได้เปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงานด้วยเทคโนโลยี SemiSolid กำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 เป็นการผลิตแบตเตอรี่ G-Cell ที่ใช้เทคโนโลยี 24M เป็นแบตเตอรี่ชนิดกึ่งแข็ง ที่มีความปลอดภัยสูง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหน่วยงานกักเก็บพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนในการเพิ่มประสิทธิภาพจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถรองรับอุตสาหกรรมไฟฟ้ายานยนต์แห่งอนาคต (EV)

"แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ทำให้หลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน มีมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด โดย GPSC ในฐานะผู้ผลิตสาธารณูปโภคในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและสังคม ได้ยกระดับมาตรการป้องกันเข้มข้นสูงสุด ผ่านการดำเนินงานโดยศูนย์เฝ้าระวังและติดตามการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส (GPSC G-COVID Center) ของบริษัทฯ โดยกำหนดให้พื้นที่กระบวนการผลิตเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ตั้งทีมปฏิบัติการเฉพาะกิจของแต่ละโรงไฟฟ้า ห้ามบุคคลภายนอกเข้าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ปฏิบัติการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อให้การผลิตไฟฟ้า ไอน้ำและสาธารณูปโภคเป็นไปมีเสถียรภาพและความมั่นคง ตอบสนองความต้องการใช้ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง" นายวรวัฒน์กล่าว
#2937


จากสถานการณ์ขาดเเคลนชิพสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก เป็นเหมือนปรากฎการณ์ที่จุดประเด็นทางการค้าใหม่ ที่จีนเห็นว่า ปัญหาใหญ่จากชิ้นส่วนขนาดเล็กอย่าง "ชิพ" กำลังจะเป็นตัวฉุดแผนพัฒนาประเทศให้ข้ามผ่าน ดิจิทัล ดิสรัปชั่น  ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งจากภายในและการพึ่งพาตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น 

รายงานเรื่อง "Technology & Innovation – China Semiconductor self-reliance will support tech growth but pose overcapacity risk" จัดทำโดย  Moody's Investors Service ระบุว่า จีนกำลังส่งสัญญาณการลงทุนมหาศาลในไม่กี่ปีจากนี้ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เผชิญปัญหาขาดแคลนชิพและความตรึงเครียดทางการค้าจนสร้างช่องว่างระหว่างดีมานด์และซับพลายในประเทศทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและผลิตเพื่อพึ่งพาตัวเองเป็นทางเลือกที่นำมาใช้ในขณะนี้ 

อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้จะดีจริงหรือไม่อาจเป็นการลงทุนที่ไร้ประสิทธิภาพและเกิดการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดในระยะยาว 
#2938


นายดีราช บาจาช Head of Asia Credit  Lombard Odier  เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินตามปกติและนำหน้าประเทศหลักอื่นๆ ส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default rate) ในภาคเอกชนโดยรวมลดลง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศระยะยาวทำให้รัฐบาลจีนทยอยยกเลิกการอุ้มกิจการที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งออกนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นในบางภาคธุรกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพื่อควบคุมความร้อนแรงที่สะสมในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในภาครัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจที่ตกเป็นเป้าหมายเพิ่มขึ้น

Lombard Odier มองว่าตราสารหนี้เอกชนให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าพันธบัตรรัฐบาล และ Spread (อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากพันธบัตรรัฐบาล) ของตราสารหนี้เอกชนระดับ Investment Grade ในเอเชีย (Asia IG Credit) นับว่าสูงกว่า Spread ของตราสารหนี้เอกชนในระดับเดียวกันทั่วโลก (Global IG Credit) นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในเอเชีย ทำให้ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในเอเชีย (Asia High Yield)  เพิ่มขึ้น (ราคาลดลง) สวนทางกับ Spread ของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงในสหรัฐฯ (US High Yield) ที่ลดลง (ราคาเพิ่มขึ้น) จึงยิ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนให้ตราสารหนี้เอกชนของเอเชีย

ในประเด็นความเสี่ยง ปริมาณตราสารหนี้ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดไม่น่าสร้างผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทเอกชนหลายแห่งได้ออกตราสารหนี้เพื่อล็อคดอกเบี้ยกู้ยืมระยะยาวไปล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ ความกังวลเรื่องบอนด์ยีลด์ระยะยาวที่อาจจะปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลง ดังจะเห็นได้จากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ขยับลงจาก 1.78% ในช่วงเดือนเมษายน 2564 เหลือเพียง 1.22% ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม 2564 ที่ผ่านมา


นางสาวศิริพร สุวรรณการ Private Banking Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำว่า นักลงทุนควรทยอยสะสมเงินลงทุนในสินทรัพย์ให้หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนเป็นแหล่งสร้างรายได้สม่ำเสมอและเงินลงทุนมีการเติบโตในระยะยาว


สำหรับส่วนของตราสารหนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางสามารถเลือกลงทุนในกองทุน K-APB เป็นสัดส่วน 3-5% ของพอร์ต เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารหนี้ในฝั่งจีนและเอเชียดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยกองทุนนี้ให้ความสำคัญกับการคัดสรรตราสารหนี้คุณภาพดีจากบริษัทเอกชนที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและกำไรสุทธิขยายตัว รวมทั้งมีการกระจายเงินลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า 300 รายการ จึงช่วยสนับสนุนพอร์ตโดยรวมทั้งในด้านการสร้างรายได้และพยุงมูลค่าเงินลงทุนในยามตลาดหุ้นผันผวน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะอัตราผลตอบแทนปัจจุบันต่ำมาก ทำให้รายได้น้อย และที่สำคัญรายได้นั้นไม่เพียงพอจะชดเชยกับแนวโน้มราคาที่อาจจะลดลงจากผลกระทบของบอนด์ยีลด์ขาขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

สำหรับ "กองทุน K-APB" เป็นกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน LO Funds – Asia Value Bond Fund, (USD) โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (รวมญี่ปุ่น) ที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ได้
#2939


เมื่อเร็วๆนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เผยแพร่ ดัชนีราคาผู้บริโภคหรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนก.ค.2564 ซึ่งพบว่า ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า เพราะมีมาตรการ ลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาล และการลดลงของราคาอาหารสดบางประเภทยังคงเป็นปัจจัยสไคัญที่ทำให้เงินเฟ้อชะลอตัว

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเงินเฟ้อก็คือค่าดัชนีชี้วัดว่า ค่าของเงินในกระเป๋าเรา มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งถ้าค่าเงินเฟ้อเป็นบวกมากๆ ก็แสดงว่าเงินในกระเป๋า เรามีค่าน้อยลงมาก อำนาจจับจ่ายก็น้อยไปด้วย แต่ดัชนีเงินเฟ้อยังมีประโยชน์ในด้านการชี้วัดอุณภูมิทางเศรษฐกิจโดยรวม เพราะยิ่งค่าเงินเฟ้อ สูงก็แสดงว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากนั่นหมายความว่ารายได้อีกฝากนึงของกระเป๋าเงินก็เข้ามาได้มากและแน่นอนก็จ่ายมากตามไปด้วย ดังนั้น การดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงไป หรือต่ำไป จนเป็นเงินฝืด คือ ค่าเงินเฟ้อติดลบเกิน 6 เดือนนั้น เป็นสิ่งจำเป็น 


เดือนก.ค. ที่ผ่านมา ค่าเงินเฟ้อ ขยายตัว ที่ 0.45% นั่นหมายความว่า ราคาการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไป เพิ่มขึ้นไม่ถึง1%  จะเรียกว่าพอรับได้ก็ใช่ เพราะที่ค่าเงินเฟ้อไม่สูงเพราะรัฐบาลช่วยบรรเท่าค่าใช้จ่ายให้ผ่านมาตรการต่างๆ แต่อีกด้านของค่าดัชนีกำลังบอกว่า คนไทยในยุคโควิด พิษร้ายทำลายทั้งสุขภาพ เศรฐษกิจและชีวิตคนไทยนี้ มีกำลังซื้อที่อ่อนแอมาก 



กระทรวงพาณิชย์ได้ประเมินค่าใช้จ่ายครัวเรือนเดือนก.ค. 2564 ไว้ว่า มีรายจ่ายรายเดือนที่ 16,783 บาท  แบ่งเป็น 

-ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าซื้อยานพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง  ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ 3,946 บาท 


-ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ในบ้าน 3,654 บาท 

-ซื้อเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ 1,548 บาท 

-อาหารบริโภคในบ้าน Delivery1,478 บาท 

-ค่าอาหารบริโภคนอกบ้าน (ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง KFC Pizza)1,140

-ค่าแพทย์ ค่ายา และบริการส่วนบุุคคล 960

-ค่าผักและผลไม้ 892

-ค่าหนังสือ ค่าสันทนาการ ค่าเล่าเรียน และการกุศลต่างๆ 757

-ซื้อข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง 677

-เครื่องปรุงอาหาร 393

-เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์376

-ค่าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มและร้องเท้า374

-ซื้อไข่และผลิตภัณฑ์นม 354

-ค่าบุหรี่ ค่าเหล้า ค่าเบียร์234

ค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย เงินหมดไปกับอะไรมากที่สุด
ก่อนซื้อทำอย่างไร เมื่อ 'ฟ้าทะลายโจร' ขาดตลาด ราคาพุ่ง เจอของปลอม
ศึกล่าลายเซ็น 'เมสซี' ส่อง 6 ทีมเต็ง พร้อมเปย์ค่าเหนื่อย
จากสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่ได้แจกแจงมาเป็นค่าเฉลี่ยของแต่ละครัวเรือนแล้วจะพบว่า ส่วนของค่าเดินทางและการติดต่อสื่อสาร ในประเทศนี้กินเงินคนไทยไปไม่น้อย ข้อมูลนี้อาจต้องสะท้อนไปถึงรัฐบาลให้เข้ามาดูแลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง  ส่วนค่าใช้จ่ายสำคัญรองลงมาคือ ค่าที่อยู่อาศัย และพลังงาน พบว่า กินสัดส่วนไปไม่น้อยกว่าค่าใช้จ่ายส่วนแรก 

วิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์  เปิดมุมมองเงินเฟ้อปีนี้ว่า  แผนการจัดหาและการกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและมีความชัดเจน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง น่าจะสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำหนดไว้คือที่ 1.0 – 3.0% 

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2564 จะอยู่ระหว่าง0.7 – 1.7 %(ค่ากลางอยู่ที่ 1.2%) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
#2940


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อยู่ระหว่างทำแผนสิ่งแวดล้อมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ระยะที่ 2) ปี 2565-2569 เพื่อใช้ดูแลสิ่งแวดล้อมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ต่อจากแผนระยะที่ 1 (2561-2564) 

ทั้งนี้ แผนระยะที่ 2 จะมีความชัดเจนในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นการวางแผนในช่วงที่มีการประกาศใช้แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดการใช้พื้นที่ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม การพัฒนาเมือง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ดิจิทัล และการป้องกันสาธารณภัย

รายงานข่าวจาก สผ.ระบุว่า ขณะนี้การจัดทำแผนอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง โดยได้มีการสรุปปัจจัยที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมในอีอีซี 6 ด้าน คือ

1.ความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งในเขตเกษตรกรรม มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินเพื่อการพัฒนา ส่งผลให้พื้นที่ทางการ เกษตรถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่สิ่งปลูกสร้างและทิ้งร้างว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการลดลงของผลผลิตอาหารในพื้นที่ ส่วนในเขตเมืองและชุมชน เขตอุตสาหกรรมความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มจาก 4.15 ล้านคน ในปี 2562 เป็น 5.85 ล้านคน ในปี 25670 โดยประชากร 53% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (ปี 2562) ซึ่งผลิตอาหารเองไม่ได้และต้องพึงพาแหล่งอาหารจากพื้นที่เกษตรกรรม 

2.สุขภาพ เขตเมืองและชุมชน เขตอุตสาหกรรมมีพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไปเป็นแบบเมือง ได้แก่ การกิน การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ การดื่มแอลกอฮอล์ และพฤติกรรม เนือยนิ่ง ส่งผลต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยอีอีซีมีพฤติกรรมการบริโภคแบบเมืองเพิ่มจาก 11.12% ในปีงบประมาณ 2556 เป็น 14.89% ในปีงบประมาณ 2563 และหากอัตรการเพิ่มยังไม่เปลี่ยนแปลงคาดการณ์ว่าปี 2570 จะเพิ่มเป็น 18.66% 

ขณะที่สถานการณ์ด้านมลภาวะทางอากาศเป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมลพิษภาพรวมอยู่ระดับมาตรฐาน แต่มีเกินค่ามาตรฐานบ้างในบางพื้นที่และบางเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโรงงานหนาแน่น โดยพื้นที่สีเขียวที่เป็นแนวทางการลดและบรรเทามลภาวะในพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นสูงมีสัดส่วนพื้นที่ที่น้อยกว่าค่าที่ควรจะเป็นสำหรับการสร้างสภาพอากาศที่ดีในเมือง

3.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้นไม้ทั่วไป 1 ต้น ดูดซับ CO2 ได้ 21 กิโลกรัมต่อปี แต่หากต้นไม้มีอายุ 100 ปี จะ ดูดซับ CO2 ได้ 1 ตันต่อปีต่อต้น พื้นที่ป่าไม้ในเขตอีอีซีจาก 12.50% ในปี 2556 เป็น 12.39% ในปี 2563 นั่นหมายถึงประสิทธิภาพการกักเก็บ คาร์บอนในอีอีซีต่ำลง โดยแนวทางการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำจำเป็นต่อการพัฒนาพื้นที่ ในขณะที่ไทยมีเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2573 เท่ากับเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอีอีซีอยู่ที่ 6.9-8.6 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

4.นโยบายหรือโครงการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินในอีอีซีพบว่า พื้นที่เกษตรกรรมลดลง 4.9% ในช่วงปี 2556-2563 ในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 27.41% พื้นที่พาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 35.64% และพื้นที่อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 28.98% นับว่าเป็นแรงกดดันของทุกภูมินิเวศ ทั้งนี้ขึ้นกับทำเลที่ตั้งของโครงการพัฒนาต่างๆ

5.ประชากร นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคน ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านคนในปี 2562 ส่งผลต่อการบุกรุกและความเสื่อมโทรมของทรัพยากรในพื้นที่ธรรมชาติหากขาดการบริหารจัดการที่ดีพอ ในขณะที่ประชากรแฝงในพื้นจังหวัดชลบุรีเพิ่มขึ้นจาก 538,000 ในปี 2562 เป็น 1.15 ล้านคน ในปี 2570 ซึ่งหมายถึงความต้องการบริโภคทรัพยากรและการปล่อยของเสียออกสู่พื้นที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและแรงงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อความเปราะบางของพื้นที่ในการเปลี่ยนแปลง และความมีอยู่ของอาหารในพื้นที่

6.สถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งน้ำมีคุณภาพเสื่อมโทรม คือ คลองนครเนื่องเขต คลองท่าไข่ จ.ฉะเชิงเทรา , คลองตำหรุ คลองพานทอง จ.ชลบุรี และแม่น้ำประแสร์ แม่น้ำระยอง จ.ระยอง ในขณะที่พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชุมชน เขตอุตสาหกรรม 168,166 ไร่ คิดเป็น 10.06% และน้ำต้นทุนอยู่ที่ 1,215 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งไม่พอความต้องการที่มากถึง 2,375 ล้าน ลบ.ม.

ปรัชญา สมะลาภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก หอการค้าไทย กล่าวว่า แผนสิ่งแวดล้อมอีอีซีจะไปผูกพันกับการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการในอีอีซี ซึ่งต้องพิจารณาถึงระยะเวลาการศึกษาให้สั้นลงและให้คนมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งบางครั้งไม่สอดคล้องกับงบประมาณ เช่น การพัฒนาถนนเลียบชายฝั่ง การสร้างสะพานข้ามคลองหรือแหล่งน้ำ

ทั้งนี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในอีอีซีจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมใหม่ คือ ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะจากกระบวนการการผลิต ขยะชีวภาพ ซึ่งต้องมีกระบวนขจัดให้ถูกต้อง ดังนั้นต้องพิจารณากระบวนการจัดขยะให้ชัดเจนในแผนจัดการสิ่งแวดล้อม และต้องไม่เพิ่มขั้นตอนอีกเพราะจะทำให้ผู้ลงทุนลังเลและไม่อยากลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาเกิดขึ้นหลายโรงงาน ดังนั้นจึงอยากให้มีความชัดเจนในแผนการขจัดขยะทั้งระบบ

ส่วนการบริหารจัดการแหล่งน้ำที่ปัจจุบันใช้น้ำรวมกันทั้งการบริโภคและอุตสาหกรรม เช่น อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำประแสร์ อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ซึ่งแหล่งน้ำในภาคตะวันออกที่ดีที่สุด คือ อ่างเก็บน้ำประแสร์ เพราะต้นน้ำไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมทำให้ไม่มีปนเปื้อน ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างแหล่งน้ำผลิตประปาเพื่ออุปโภคบริโภคและแหล่งน้ำอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมาหอการค้าไทยเสนอโครงการเดินท่อน้ำจากแหล่งน้ำเพื่อเป็นระบบปิดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเมื่อถึงโรงกรองน้ำสำหรับผลิตน้ำประปา

นอกจากนี้การบริหารทรัพยากรทางชายฝั่งที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ปัญหาการรั่วไหลน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมัน หรือเรือบรรทุกสินค้า หรือเรือบรรทุกของเสียทำของเสียรั่วลงทะเลและซัดมาเกยตื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งควรมีแนวทางจัดการเรื่องนี้ ส่วนปัญหาอากาศต้องการให้รัฐบาลปัดฝุ่น พ.ร.บ.อากาศสะอาดกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าปัจจุบันหลายโรงงงานดูแลจัดการเรื่องนี้แล้วก็ตาม