• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - deam205

#2881


กรมการค้าต่างประเทศจับมือสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยหารือ BERNAS กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและติดตามสถานการณ์ข้าว เผยมาเลเซียยันพร้อมนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เหตุข้าวไทยราคาแข่งขันได้ดีขึ้นจากบาทอ่อน และพร้อมร่วมมือกับไทยจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์กระตุ้นการบริโภคช่วง ต.ค.นี้ เตรียมถกคู่ค้าเพิ่ม คิวต่อไปบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ จัดการประชุมหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลมาเลเซีย (Padiberas Nasional Berhad : BERNAS) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังมาเลเซียในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้เร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าข้าว และผลักดันการส่งออกข้าว

ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าวของไทยและมาเลเซีย โดยไทยได้แจ้งให้ BERNAS ทราบถึงสถานการณ์การผลิตข้าวของไทยในปี 2564 คาดว่าไทยจะมีผลผลิตข้าวมากขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ รวมทั้งแรงงานในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีแรงงานกลับสู่ภูมิลำเนาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาข้าวไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับข้าวจากประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม ไทยจึงขอให้ BERNAS พิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น

ทางด้านผู้แทน BERNAS ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าวในมาเลเซียว่า มาเลเซียมีผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณปีละ 9 แสนตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-35% ของปริมาณความต้องการบริโภคทั้งหมด และในปี 2564 คาดว่ามาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีปริมาณ 1.08 ล้านตัน เนื่องจากมีปัญหาด้านการเพาะปลูกในประเทศ และไทยถือเป็นแหล่งนำเข้าข้าวหลักของมาเลเซียมาโดยตลอด เนื่องจากข้าวไทยมีคุณภาพดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวมาเลเซีย แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา BERNAS จำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากแหล่งอื่น เช่น อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม เพิ่มขึ้น แม้ว่าคุณภาพข้าวจะด้อยกว่าไทย แต่เนื่องจากประเทศเหล่านี้สามารถส่งข้าวในราคาที่ถูกกว่าข้าวไทยมาก

ทั้งนี้ BERNAS เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 อุปสงค์ของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวไทยลดลงมาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อได้ โดยนอกจากปัจจัยด้านราคาที่ปรับตัวลดลง ทำให้ข้าวไทยแข่งขันได้มากขึ้นแล้ว ผู้บริโภคในมาเลเซียยังเชื่อมั่นในคุณภาพและนิยมข้าวไทยมากกว่าข้าวจากแหล่งอื่น โดยจะเห็นได้จากปริมาณคำสั่งซื้อข้าวจากไทยที่เริ่มมีมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน BERNAS มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในมาเลเซียว่าควรเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน ต.ค. 2564 เป็นต้นไป เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย ประชาชนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ รวมถึงอุปสงค์จากธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้อุปสงค์ข้าวไทยเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ BERNAS แสดงความขอบคุณไทยสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดโดยเฉพาะในฐานะแหล่งนำเข้าข้าวที่มีคุณภาพ และยินดีที่จะร่วมสนับสนุนข้าวไทยในตลาดมาเลเซีย

นายกีรติกล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้กรมฯ ไม่สามารถเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าข้าวหลักในประเทศต่างๆ ได้ แต่กรมฯ ยังคงมีแผนจัดการประชุมหารือและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของไทยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยที่ผ่านมาได้มีการหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกงและผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในระยะต่อไปมีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้น

สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยตั้งแต่ 1 ม.ค.-29 ก.ค. 2564 ส่งออกแล้วปริมาณ 2.74 ล้านตัน มูลค่า 1,671 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50,925 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลงจากปี 2563 คิดเป็น 17.07% และ 24.84% ตามลำดับ แต่คาดว่าในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ สถานการณ์การส่งออกข้าวน่าจะดีกว่า 6 เดือนแรกตามปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้ว
#2882


บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% และ 93.2% จากไตรมาส 1/2564 โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,892.5 ล้านบาท และ 282.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และ 53.6% จากไตรมาสที่แล้ว สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,278.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 394.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,346.8 ล้านบาท และกำไรปกติ 466.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และ ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจในครึ่งปีแรกว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตตามความต้องการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าคุณภาพสูงของธุรกิจ E-Commerce และผู้ประกอบการในกลุ่ม Consumer ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 279.9 ล้านบาท และ 556.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนกว่า 56,000 ตารางเมตร สูงกว่าเป้าหมายสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่วางไว้ 50,000 ตารางเมตรสำหรับปีนี้ ซึ่งความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 90%

นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 ซึ่งนับเป็นโครงการแห่งที่ 38 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตารางเมตร โดยมีผู้เช่าหลักเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากระบวนการทำงาน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในบริษัทและธุรกิจ Startups กลุ่มโลจิสติกส์หลายราย โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทราบผลของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ ในปี 2564 ล่าสุดผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักครั้งที่ 7 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,549.7 ล้านบาท ทรัพย์สินประกอบด้วยโครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62) โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และโครงการ WHA E-Commerce Park อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นพื้นที่รวม 184,329 ตารางเมตร โดยสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดและคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึง บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) และสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Asset-backed Token) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ อีกด้วย


นอกจากนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว "WHA Office Solutions" พื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส บน 6 ทำเลที่มีศักยภาพสูงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ รวมพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ได้แก่ โครงการ WHA Tower, โครงการ SJ Infinite I, อาคารสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม TusPark WHA และโครงการ WHA KW S25 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 274 ไร่ (ไทย 241 ไร่/ เวียดนาม 33 ไร่) และยอดเซ็นต์ MOU รวม 83 ไร่ (เวียดนาม) โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกรวม 691.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 154.1 ล้านบาทแล้วรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 ของบริษัทฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 537.7 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและการส่งออกของประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาที่เริ่มกลับมาส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น ยุโรป จีนและไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนอินเดียที่แสดงความสนใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ภายหลังจากประเทศอินเดียต้องประสบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินทั้งสิ้น 33 ไร่ และยอด MOU 83 ไร่ เนื่องจากเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอานของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ที่ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม WHA Northern Industrial Zone และ WHA Smart Technology Industrial Zone ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการพื้นที่แก่นักลงทุนที่สนใจภายในปีหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการกระจายวัคซีนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงผ่านมาบริษัทฯ ก็ยังคงได้รับการติดต่อจากนักลงทุนที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจำนวนมากกว่า 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 2,000 ไร่ทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งหากการดำเนินการด้านวัคซีนของประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาคต่อไป

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ หรือ Smart ECO Industrial Estate ที่มีความทันสมัยทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ขนส่ง สื่อสาร ฯลฯ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Digital Healthcare อย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน/ แรงงาน และผู้อยู่อาศัยทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุน บริษัท เพอเซ็ปทรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสนามในการวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified Control Center, "UOC") ณ อาคาร WHA Tower สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ พร้อมเปิดดำเนินการแบบเต็มรูปแบบแล้ว โดยศูนย์ UOC ดังกล่าวสามารถนำเสนอข้อมูล และติดตามผลการทำงาน รวมถึงได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบบดังกล่าวจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ UOC รวมถึงแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 รวมเท่ากับ 35.2 ลูกบาศก์เมตร และ 67.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 595.8 และ 1,182.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศมีการเติบโตดีขึ้นสำหรับทุกประเภทผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 29.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 56.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 27.3% และ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมในทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ GC Oxirane ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีและมีปริมาณการใช้น้ำประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือลูกค้าโรงไฟฟ้า อาทิ Gulf SRC ที่ขยายกำลังการผลิตทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 12,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมถึงยังสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย
#2883


ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด-19" ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงทุกวัน ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่เจ้าหน้าที่เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกให้มากขึ้นในหลายๆ ชุมชน พร้อมกันนั้นทาง กทม. ก็ได้จัดตั้ง "ศูนย์พักคอย" หรือ Community Isolation ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่ให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับ "ผู้ป่วยโควิด" ที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ ให้มาแยกกักที่ศูนย์ฯ

โดยเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.64) มีข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับจำนวนศูนย์พักคอยที่เปิดให้บริการแล้ว พร้อมทั้งจำนวนเตียงทั้งหมดที่มีของแต่ละแห่ง โดยมีทั้งหมด 49 แห่ง แบ่งเป็น 6 โซนทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนี้

1. โซนกรุงเทพฯ เหนือ

เขตบางเขน : ศูนย์กีฬารามอินทรา      มี 150 เตียง
เขตจตุจักร : ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์    มี 180 เตียง
เขตจตุจักร : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยจตุจักร มี 120 เตียง
เขตดอนเมือง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยดอนเมือง มี 113 เตียง
เขตหลักสี่ : ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่         มี 118 เตียง
เขตสายไหม : วัดราษฎร์นิยมธรรม      มี 170 เตียง
เขตบางซื่อ : วัดมัชฌันติการาม          มี 120 เตียง
เขตลาดพร้าว : อาคารสำนักงานส่งเสริมวิชาการ 2 (พม.) มี 141 เตียง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

เช็ค 26 จุดตรวจโควิด! 'ชมรมแพทย์ชนบท' ลุยภารกิจวันสุดท้าย ย้ำ 'ไม่เสร็จไม่เลิก'
'หมอชนบท'ลงพื้นที่ 'ตรวจโควิด' 26 จุดใน กทม. พบการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่
'ผู้ป่วยโควิด-19' รอเตียงกว่า 2,000 ราย ครองเตียงเกือบ 4 หมื่นราย
อัพเดท 'โควิดวันนี้' 10 จังหวัดติดเชื้อสูงสุด กทม.พุ่ง 4,226 ราย
สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

2. โซนกรุงเทพฯ กลาง 

เขตพระนคร : วัดอินทรวิหาร อาคารปฏิบัติธรรม มี 170 เตียง
เขตดินแดง : อาคารกีฬาเวสน์ 2  มี 150 เตียง
เขตดุสิต : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยเกียกกาย  มี 52 เตียง
เขตห้วยขวาง : ศูนย์พักคอยตันปัน มี 145 เตียง
เขตวังทองหลาง : วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย มี 100 เตียง
เขตป้อมปราบฯ : วัดมังกรกมลลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เฉพาะพระ-เณร  มี 20 เตียง
เขตพญาไท : ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนวัดไผ่ตัน มี 50 เตียง
ราชเทวี : อาคารวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการเจ้าพระยา มี 170 เตียง
3. โซนกรุงเทพฯ ใต้

เขตสาทร : วัดสุทธิวราราม มี 70 เตียง
เขตคลองเตย : วัดสะพาน มี 500 เตียง
เขตสวนหลวง : วัดปากบ่อ มี 140 เตียง
เขตบางนา : โรงเรียนเพี้ยนพินอนุสรณ์ มี 99 เตียง
เขตบางคอแหลม : วัดไทร มี 40 เตียง
เขตยานนาวา : โรงเรียนวัดดอกไม้ มี 150 เตียง
เขตวัฒนา : โรงเรียนสุเหร่าบ้านดอน มี 85 เตียง
เขตปทุมวัน : โรงเรียนวัดบรมนิวาส มี 50 เตียง
เขตพระโขนง : วัดบุญรอดธรรมาราม มี 71 เตียง
เขตบางรัก : โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒารามฯ มี 50 เตียง
4. กรุงเทพฯ ตะวันออก

เขตประเวศ : ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหนองบอน มี 120 เตียง
เขตลาดกระบัง : ร้านจงกั๋วเหยียน มี 200 เตียง
เขตสะพานสูง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยสะพานสูง มี 140 เตียง
เขตบางกะปิ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางกะปิ มี 133 เตียง
เขตหนองจอก : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยหนองจอก มี 100 เตียง
เขตบึงกุ่ม : โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ มี 100 เตียง
เขตมีนบุรี : ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มี 200 เตียง
เขตคลองสามวา : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยคลองสามวา  มี 176 เตียง
'พยากรณ์อากาศ' วันนี้ 'กรมอุตุนิยมวิทยา' ชี้ ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง - กทม. มีฝน 40%
สุดเศร้า! สาธารณสุขเมืองกรุงล้มเหลว ล็อกดาวน์ไร้ผล ยอด 'ผู้ติดเชื้อ' พุ่งคนตายเพียบ
จับตาอสังหาฯ"ซอมบี้เฟิร์ม"พุ่งหลังวิกฤติซ้อนวิกฤติต้นทุนพุ่ง-ดีมานด์ลด
5. กรุงธนเหนือ 

เขตบางกอกน้อย : วัดศรีสุดาราม  มี 80 เตียง
เขตทวีวัฒนา : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยทวีวัฒนา  มี 114 เตียง
เขตคลองสาน : อาคารกิจไพบูลย์ อิมพอร์ต  มี 150 เตียง
เขตธนบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ  มี 94 เตียง
เขตจอมทอง : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยจอมทอง  มี 70 เตียง
บางพลัด : โรงเรียนบางยี่ขัน  มี 91 เตียง
เขตบางกอกใหญ่ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางกอกใหญ่  มี 50 เตียง
เขตตลิ่งชัน : โรงเรียนวัดตลิ่งชัน  มี 56 เตียง
6. กรุงธนใต้

เขตบางแค : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแค  มี 150 เตียง
เขตบางขุนเทียน : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางขุนเทียน มี 120 เตียง
เขตทุ่งครุ : ศูนย์สร้างสุขทุกวัยทุ่งครุ มี 51 เตียง
เขตทุ่งครุ : โรงเรียนสอนศาสนามูฮัมมะดียะห์ มี 60 เตียง
เขตภาษีเจริญ : ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย มี 140 เตียง
เขตหนองแขม : โรงเรียนมนต์จรัสสิงห์อนุสรณ์ มี 100 เตียง
เขตราษฎร์บูรณะ : ศูนย์พักคอยโกดัง บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ มี 200 เตียง
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ Call Center สายด่วน 1330 สปสช. และ "สายด่วนโควิด" ของทั้ง 50 เขตในกรุงเทพฯ รวบรวมมาให้ทราบกันด้วย โดยจะรับเคสผู้ป่วยโควิดในกรุงเทพฯ เข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล 2 แบบ คือ 1) การกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation และ 2) การกักตัวในชุมชนที่ศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation

1. กรุงเทพฯ เหนือ

จตุจักร 0 2026 3100
ดอนเมือง 0 2026 3122
บางเขน 0 2026 3166
บางซื่อ 0 2026 3233
ลาดพร้าว 0 2026 3499
สายไหม 0 2026 3500
หลักสี่ 0 2026 6800

2. กรุงเทพฯ กลาง

ดินแดง 0 2092 7016
ดุสิต 0 2092 7121
ป้อมปราบศัตรูพ่าย 0 2092 7313
พญาไท 0 2092 7580
พระนคร 0 2092 7643
ราชเทวี 0 2092 7701
วังทองหลาง 0 2092 7910
สัมพันธวงศ์ 0 2094 1429
ห้วยขวาง 0 2096 9112

3. กรุงเทพฯ ใต้

คลองเตย 0 2096 2823
บางคอแหลม 0 2096 2824
บางนา 0 2096 2825
บางรัก 0 2096 2826
ปทุมวัน 0 2096 2827
พระโขนง 0 2096 2828
ยานนาวา 0 2096 2829
วัฒนา 0 2096 2830
สวนหลวง 0 2096 2831
สาทร 0 2096 2832



4. กรุงเทพฯ ตะวันออก

คลองสามวา 0 2096 9202
คันนายาว 0 2483 5000
บางกะปิ 0 2483 5001
บึงกุ่ม 0 2483 5002
ประเวศ 0 2483 5003
มีนบุรี 0 2483 5004
ลาดกระบัง 0 2483 5005
สะพานสูง 0 2483 5006
หนองจอก 0 2483 5007

5. กรุงธนเหนือ

คลองสาน 0 2023 9900
จอมทอง 0 2023 9911
ตลิ่งชัน 0 2023 9922
ทวีวัฒนา 0 2023 9933
ธนบุรี 0 2023 9944
บางกอกน้อย 0 2023 9966
บางกอกใหญ่ 0 2023 9977
บางพลัด 0 2023 9988

6. กรุงธนใต้

ทุ่งครุ 0 2483 5008
บางขุนเทียน 0 2483 5009
บางแค 0 2483 5010
บางบอน 0 2483 5011
ภาษีเจริญ 0 2483 5012
ราษฎร์บูรณะ 0 2483 5013
หนองแขม 0 2483 5014

----------------------

อ้างอิง : ศบค.(7 ส.ค. 64), สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล (9 ส.ค. 64)
#2884


รองโฆษกรัฐบาล เผย ไทยพร้อมร่วมมืออาเซียนขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพิ่มการผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ-หนุนยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 30% ภายในปี 68

วันนี้ (10 ส.ค.) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ว่า ครม.รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งอาเซียนมีความมุ่งหมายร่วมกันในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงาน ในระยะที่ 2 ที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านพลังงานของภูมิภาคอาเซียนให้มีความสะอาด ยืดหยุ่น และเหมาะสมกับสภาวะด้านพลังงานของโลก โดยประเทศไทยมีแนวทางดำเนินการดังนี้

1. ปรับแผนกลยุทธ์ระยะยาวและแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านนโยบายที่สำคัญ

2. เพิ่มการผลิตไฟฟ้าแบบคาร์บอนต่ำ โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular Green Economy Model: BCG model) เพื่อส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

3. พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายในปี 2568 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 30 จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด รวมทั้งการสนับสนุนการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

4. สนับสนุนแผนเร่งด่วนในการปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดคาร์บอนไดออกไซด์และสอดรับกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แสดงเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมนโยบายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอาเซียนผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล และความเชี่ยวชาญระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นในด้านการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดต่างๆ อาทิ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บและการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เป็นต้น
#2885


นายพีรภูมิ ปราบอริพ่าย ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท สิริน สเปซ จำกัด ผู้ให้บริการให้คำปรึกษา ด้าน People Transformation และบริการฝึกอบรมเทรนนิ่งให้กับองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน กล่าวว่า ได้จับมือกับ Happily.ai ผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับเอชอาร์ นำระบบ เอไอ มาช่วยสร้างประสบการณ์การทํางานของพนักงาน ให้มีประสิทธิภาพและพิเศษกว่าที่ผ่านมา 

อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรเข้าใจและเข้าถึงพนักงานได้ดียิ่งขึ้นผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ People analytics ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาบุคลากรในระยะยาวในยุคเน็กซ์ นอร์มอล


ขณะที่ ปัจจุบันงานด้านทรัพยากรบุคคล หรือเอชอาร์ นับเป็นงานส่วนแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้บริหารด้านเอชอาร์หลายองค์กร เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่องค์กรแบบดิจิทัล เอชอาร์ ซึ่งการนำดิจิทัล แพลตฟอร์ม มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับการทำงานของเอชอาร์จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อธุรกิจ และสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อพนักงานได้อย่างมากและนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ

"ในฐานะที่ปรึกษาองค์กรชั้นนำระดับโลก และโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมากว่า 20 ปี มั่นใจว่า ดิจิทัลแพลตฟอร์มนี้ จะช่วยตอบ Pain Point ของหลายองค์กร ในการยกระดับความสัมพันธ์ของพนักงานและองค์กรได้ดีและมีประสิทธิภาพ เพราะความสุขของพนักงาน เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กรในยุคนี้ ซึ่งการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ของ Happily.ai จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยกระตุ้นให้พนักงานเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ การพัฒนาและการมีส่วนร่วมในการทํางาน โดยยังคงสามารถทำงานสอดประสานร่วมกันได้อย่างมีความสุขภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป"

นอกจากนี้ บริษัท สิริน สเปซ ยังมีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจใหม่ เพื่อตอบรับกับการเติบโตของบริษัทในปลายปีนี้ กับดิจิทัลแพลตฟอร์มที่บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อที่จะช่วยเป็น "ลมใต้ปีก" ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศ
#2886


ติดตามมาตรการเยียวยา "ประกันสังคม" ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้น มีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม "www.sso.go.th"  จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการ "เงินเยียวยา" แล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคม

นายจ้างที่เป็นนิติบุคคล
ต้องแนบแบบแสดงความจำนง, สำเนาบัญชีธนาคาร,หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจลงนามแทน) กลับมาด้วย

นายจ้างบุคคลธรรมดา
แบบแสดงความจำนง, ผูกบัญชีธนาคารพร้อมเพย์ (ผูกเลขบัตรประชาชนเท่านั้น) เพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


"รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยและเห็นความสำคัญของนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกอบการในพื้นที่สีแดงทุกจังหวัด และเข้าใจดีว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ทำให้ทุกคน ทุกกลุ่ม และหลายกิจการได้รับความเดือดร้อนตาม ๆ กัน จึงอยากให้นายจ้างได้รีบยื่นขอรับเงินเยียวยา อย่างน้อยจะช่วยบรรเทาเพื่อลดผลกระทบในเบื้องต้น และช่วยประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจให้เดินได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" นายสุชาติ กล่าวในที่สุด

สำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ทั้ง ผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 และ 40 ที่จะทยอยได้รับ "เงินเยียวยา" โดยแต่ละกลุ่มได้เงินไม่เท่ากัน และไม่พร้อมกัน โดยเริ่มจ่ายเงินรอบแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 วันละ 1 ล้านคน โดยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการ พื้นที่ 10 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา

ซึ่งที่ผ่านมา โอนเงินแล้ว 2,434,182 ราย เป็นเงิน 6,085,0000,000 บาท ซึ่งไม่มีอะไรติดขัด มีเพียงผู้ประกันตนประมาณ 200,000 ราย ที่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการให้ผู้พร้อมเพย์กับบัตรประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ เพื่อที่จะเริ่มดำเนินการโอนเงินในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th/eform_news/ และในส่วนของ 3 จังหวัดเพิ่มเติม ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา จะโอนเงินในวันที่ 9 สิงหาคมนี้

จึงขอให้กลุ่มของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ตกหล่นในการโอนเงินรอบแรกนี้ ขอให้เร่งตรวจสอบข้อมูลตนเอง หากเช็คแล้วว่าเงินยังไม่เข้าบัญชี ให้รีบไปติดต่อธนาคารด่วน
#2887


"กระบวนกร" จะทำหน้าที่เสมือนไกด์ โค้ช พี่เลี้ยง หรือเพื่อนร่วมทางให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ในการคอยช่วยสร้างเสริมความเข้าใจเนื้อหาและกระตุ้นไอเดีย ให้คุณครูพัฒนาหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ และการสอน ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ โดยโครงการมีโจทย์ตั้งต้นในหัวข้อนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าจากขยะ

ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับขยะตั้งแต่ต้นทางจนเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระเชิงลึกกับเครื่องมือการเรียนรู้สมัยใหม่ที่สร้างความสนุกและเข้าใจง่าย ถ่ายทอดไปสู่เยาวชนให้เกิดการตกตะกอนทางความคิดเพื่อต่อยอดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าจากขยะสู่สังคม

ดังนั้นบทบาทกระบวนกรจึงเป็นการเปิดกรอบการเรียนรู้แนวใหม่ของวงการศึกษาไทย ที่จะไม่เป็นเพียงการเรียนรู้ทฤษฎีแล้วจบในห้องเรียน แต่เป็นการจุดประกายให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ ซึ่งสามารถนำไปช่วยแก้ปัญหาเชิงกระบวนการและประเด็นทางสังคมได้จริง ดังเช่น ปัญหาการจัดการขยะ ที่ถ้าหากจัดการอย่างถูกวิธีก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยเหล่ากระบวนกรมีแนวคิดการจุดประกายกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างประโยชน์ต่อการศึกษา สังคมและโลกใบนี้อย่างไร บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปทำความรู้จักเหล่ากระบวนกรในโครงการกัน  

นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ 
"ติ" ชุติมา เรืองแก้วมณี กล่าวว่า ติเป็นนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ (Experiential Learning Designer) และเป็นคนจัดกิจกรรมให้กับหลายๆ กลุ่ม ด้วยเราสนใจกลุ่มเด็กเยาวชน และประเด็นเรื่อง ขยะ ประกอบกับมีน้องทำหลักสูตร STEAM4INNOVATOR ของ NIA ชักชวนให้มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่โค้ชคุณครูในเรื่องการจัดการขยะ และส่วนตัวอยากทราบว่าคุณครูในระบบการศึกษาตอนนี้เป็นเช่นไรจึงตัดสินใจมาทำหน้าที่ Facilitator ร่วมออกแบบกระบวนการเรียนรู้กับโครงการ The Electric Playground โดย ขยะ และนวัตกรรม นั้นแท้จริงนำมาทำเป็นกิจกรรมสนุกๆ และเรียนรู้ไปพร้อมกันได้

เช่น ขยะ 1 ชิ้นมีเส้นทางการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทางอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในการสอนของคุณครูด้วยวิธีการสอนที่เหมาะกับเขา ซึ่งผลที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะคุณครูผ่านประสบการณ์ตรง ได้ทดลองกันในกลุ่ม ก่อนนำไปสอนเด็กนักเรียนของเขาให้เข้าใจ ซึ่งการสอนการจัดการขยะหากคุณครูคิดแบบบูรณาการต่อ สามารถพัฒนาต่อยอดได้อย่างยั่งยืนเลยทีเดียว เพราะขยะนำไปคุยได้หลายเรื่องมากๆ เช่น ขยะกับประเด็นปัญหาสังคม ขยะกับสิ่งแวดล้อม ขยะกับวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่ว่าจะนำเสนอในแง่มุมใดของขยะต่อไป ซึ่งโครงการนี้ทำให้รู้ว่าคุณครูมีหัวใจการเป็นคุณครูมากๆ พร้อมปรับตัว และเรียนรู้ร่วมกันไปกับนักเรียน


 แม้ตอนนี้การส่งต่อการเรียนรู้ขยะสู่ห้องเรียนยังไม่ครอบคลุมทุกโรงเรียนทั่วไทย แต่ค่อนข้างคาดหวังกับโครงการนี้อย่างมากที่จะขยายสู่ภาคการศึกษาไทยที่ใหญ่ขึ้น เพราะเวลาที่เราทำงานกับคุณครู เราอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบการศึกษา กระบวนการการเรียนรู้นวัตกรรมในเรื่องของขยะเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งกระบวนการออกแบบวิธีคิดที่เกิดขึ้นกับคุณครูจริงๆ นอกเหนือจากนั้นอยากให้ทุกคนในสังคมไทยตระหนักว่า ตนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะจริงจังที่ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะคนมักคุ้นชินกับภาพกองขยะ และมองว่าขยะคือขยะ แต่หากมองลึกลงไปกว่านั้นจะมีเรื่องของระบบการจัดการหรือการหมุนเวียนทรัพยากรด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราทุกคนร่วมเป็นส่วน หนึ่งในการขับเคลื่อน ได้ไม่ยาก


 ทุกๆ การกระทำของทุกคนมีผลลัพธ์ต่อสังคมเสมอ
"ดาว" สุภารัตน์ เชื้อโชติ กล่าวว่า ปัจจุบันดาวเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และคลุกคลีในวงการภาคการศึกษาอยู่แล้ว สิ่งที่ชอบสำหรับ STEAM4INNOVATOR คือเรารู้สึกว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะทำให้เราอยู่ในโลกจริงมากขึ้น ไม่ใช่ใช้องค์ความรู้เพื่อที่จะบอกว่าเราเก่ง เราผ่านแล้ว เราได้เกรด A แต่เป็นการใช้องค์ความรู้เพื่อคนอื่นจึงรู้สึกว่า นี่แหละคือเป้าหมายของการเรียนรู้จริงๆ จึงนำมาสู่การเป็น Facilitator ในโครงการ The Electric Playground ที่ต้องการสร้างการรับรู้ต่อคุณครู เด็กและเยาวชนว่าขยะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ 

เพราะกระบวนการนี้ได้เปลี่ยนวิธีคิดของเด็กเยาวชนต่อขยะที่ดีขึ้นว่า ทุกๆ การตัดสินใจและทุกการกระทำของเขามีผลลัพธ์ที่ตามมากับสังคมด้วย เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นผลลัพธ์นี้จะก่อให้เกิดมลพิษ หรือก่อให้เกิดคุณค่าทางสังคม เศรษฐกิจ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เราจะสร้างขึ้น

สำหรับเรื่อง ขยะ หรือสิ่งรอบตัว ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ในการส่งต่อการเรียนรู้สู่ภาคการศึกษาและต้องการพัฒนาเด็กนั้น ดาวและคุณครูจึงสร้างความเข้าใจว่าถ้าเราจะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นสำคัญ ดังนั้นเรามีโอกาสสร้างขยะใหม่ๆ ขึ้นได้ทุกวัน แต่ขณะเดียวกันก็เราก็ปรับทัศนคติและพฤติกรรมได้ ในระยะเริ่มต้นอาจจะไม่ต้องเร่งเครื่องแรงมาก แต่เริ่มจากมองเห็นอะไรใกล้ตัวแล้วค่อยๆ ปรับก็ได้ เช่น จากเดิมใช้หลอดพลาสติกก็ไม่ใช้ หรือไม่เคยแยกขยะเลย ก็ลองแยกแบบง่ายๆ แค่ใช้แรงนิดหน่อยก็เปลี่ยนให้เรียบร้อยได้

ซึ่งตอนที่เทรนคุณครูก็มีเรื่องน่าประทับใจเกิดขึ้นกัน คุณครูได้กลับไปสำรวจขยะรอบๆ โรงเรียนแล้วก็กลับมาบอกว่า จุดนั้นก็มี จุดนี้ก็มี ซึ่งเราจัดการขยะให้ดีกว่านี้ได้ แต่ทำไมเราไม่เคยมองและลงมือทำสักที รวมทั้งฝึกให้เด็กนักเรียนตั้งคำถามและฉุกคิดว่าขยะนี้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ หรือไม่ แต่ละพื้นที่กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดมีวิธีจัดการขยะแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ก็นับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีเลยค่ะ 

หัวใจหลักคือ แยกประเภท-กำจัดให้ถูกวิธี
"แทน" ธัญลักษณ์ แสงลาภเจริญกิจ กล่าวว่า เดิมแทนเป็นนักกำหนดอาหารให้คนป่วยที่โรงพยาบาล และได้ทำงานที่ร้านอาหาร จากนั้นได้เรียนต่อด้าน Food Design และมีโอกาสนำความรู้ที่เรียนไปพูดคุยกับผู้ประกอบการ และเยาวชนที่สนใจสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านอาหาร โดยส่วนตัวแทนสนใจประเด็นสังคมมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นทางสังคมเช่นกัน และตระหนักดีว่า "ขยะ" เป็นปัญหาที่สำคัญมากของทุกคน ยิ่งได้ไปสำรวจบริเวณรอบบ้านเรา พบว่าขยะมีการจัดการที่ผิดวิธีอยู่มาก

 ถ้าเรานำความรู้การจัดการขยะที่ถูกวิธีและใช้ได้จริงส่งต่อข้อมูลไปยังคุณครูตามโรงเรียนเพื่อขยายการรับรู้สู่เยาวชนด้วยการสื่อสารให้ง่ายที่สุด เพื่อให้น้องๆ เข้าใจจุดสำคัญในการจัดการขยะและแก้ปัญหาเป็นอย่างไร รวมถึงคนทั่วไปสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปสื่อสารต่อครอบครัวหรือคนรอบตัวต่อไปได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์และช่วยพัฒนาสังคมอย่างมาก จึงเป็นที่มาและความตั้งใจของการเข้ามาทำหน้าที่ Facilitator ในโครงการ The Electric Playground ในการส่งต่อการเรียนรู้สู่ภาคการศึกษาไทยร่วมกับคุณครูที่เข้าร่วมโครงการ

ตลอดที่ผ่านมา คุณครูทุกคนมีความตั้งใจมากในการเรียนรู้กระบวนการจัดการขยะ และนำไปคิดตลอดว่าเขาจะไปสอนเด็กอย่างไรให้เข้าใจเหมือนที่เขาเข้าใจแล้วไปใช้จริงได้ จึงร่วมปรับเนื้อหาและวิธีการสื่อสารตามสไตล์คุณครูให้เข้าใจง่าย พร้อมทั้งเสริมการสอนเชิงสร้างสรรค์สำหรับเด็กๆ ในรูปแบบ Learning by Doing เล่นเกมไปด้วยกัน เช่น เกมแยกขยะ เกมจัดประเภท ซึ่งถ้าให้แนะนำการจัดการขยะเกี่ยวกับอาหาร เช่น ที่ร้านอาหาร วิธีแรกคือควรแยกประเภทของขยะก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์ เศษอาหาร เศษเนื้อสัตว์  ส่วนนี้เราแยกนำไปหมักเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ประโยชน์ต่อได้ ส่วนที่เป็นถุงพลาสติก ขวดซอสต่างๆ ควรล้างทำความสะอาดก่อนทิ้ง ก็สามารถส่งต่อไปรีไซเคิลได้ตามจุดต่างๆ ได้ค่ะ 

ผู้ไขประสบการณ์การจัดการขยะ
"สุธี" สุธี สุขสุเดช กล่าวว่า ตนเป็นอาจารย์ทันตแพทย์ ส่วนตัวสนใจกระบวนการจัดการเรียนรู้ และเป็นผู้สอนในระบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ Problem-based Learning ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์การจัดการขยะ ดังนั้นการเข้าร่วมโครงการ The Electric Playground จึงเป็นการเรียนรู้หน้างานไปพร้อมกับทุกคน ทั้งคุณครูในโรงเรียน และ Facilitator คนอื่นๆ ซึ่งการเข้ามาเรียนรู้เรื่อง ขยะ ทำให้ตระหนักความสำคัญของการคัดแยกขยะและรู้ถึงระบบนวัตกรรมการจัดการขยะ ทำให้เปลี่ยนความคิดจากเดิมที่ว่าแยกขยะไปทำไม เปิดมุมมองเป็นการคัดแยกขยะ รวมทั้งการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ผลิตไฟฟ้าในการแจกจ่ายไฟฟ้าไปยังตำบล

นอกจากสร้างความเข้าใจให้คุณครูผ่านหลักสูตร STEAM4INNOVATOR แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมอยากแชร์ขณะทำหน้าที่ Facilitator เทรนคุณครู ซึ่งจะได้รับหน้าที่รับผิดชอบโรงเรียนที่แตกต่างกัน พบว่าโรงเรียนที่ผมดูแลมีระบบการจัดการขยะที่ดีมาก และคุณครูได้สอนเด็กนักเรียน โดยยกเรื่องเตาเผามาสอนในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และเชื่อมโยงไปตั้งแต่พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า

โดยใช้ขยะเป็นโจทย์เริ่มต้น ทำให้ผมทึ่งมากว่า ขยะ เชื่อมโยงได้ทั้งโลกและชีวิตมนุษย์ได้หลากหลายมาก เพราะแท้จริงโลกนี้คือพลังงานต่างๆ ที่แปรรูปไปเรื่อยๆ และในร่างกายเราก็มีพลังงานมาจากการเผาไหม้เหมือนกัน แต่เริ่มต้นจากการเผาขยะ ซึ่งจุดนี้ก็สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ ได้อีกเช่นกัน เช่น ฟิสิกส์ เคมี คุณภาพของเชื้อเพลิง กฎทรงมวล กฎของพลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งถ้าหากจะมองถึงการขยายการเรียนรู้ขยะสู่ภาคศึกษาไทย เรื่องจิตสำนึกอาจไม่เพียงพอ แต่โครงสร้างขององค์กรหรือโรงเรียนของนักเรียน เขตการศึกษาต่างๆ ก็ต้องเกื้อหนุนด้วยเช่นกัน
#2888


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของทางการ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ สปา ภัตตาคาร และร้านอาหาร  ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและต่อเนื่อง  สสว. จึงมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เป็นหน่วยร่วมดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย อนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุนขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี  หลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดา ใช้บุคคลที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน ส่วนกรณีนิติบุคคล ใช้กรรมการผู้มีอำนาจแทนนิติบุคคลค้ำประกัน

โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้เอสเอ็มอี โดยเฉพาะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษได้สะดวก เหมาะสมกับสถานการณ์เร่งด่วน ดังนั้น ได้ปรับปรุงกระบวนการ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากหลักฐานการเสียภาษีในปี 2563 หรือ 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น

สำหรับคุณสมบัติของผู้ยื่นกู้ในโครงการนี้ต้องเป็นสมาชิก สสว. กรณียังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สสว. สามารถขอขึ้นทะเบียนก่อนได้ ( http://members.sme.go.th/newportal/)  โดยต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว.  อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว  ประกอบด้วย 1.ภูเก็ต 2.กระบี่  3.พังงา 4.สุราษฎร์ธานี 5.เชียงใหม่ 6.ชลบุรี 7.เพชรบุรี  8.ประจวบคีรีขันธ์  9.บุรีรัมย์  และ 10.กรุงเทพมหานคร หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม

รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด  ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับล่าสุด ประกอบด้วย  1. กรุงเทพมหานคร  2. กาญจนบุรี 3.ชลบุรี  4.ฉะเชิงเทรา 5. ตาก  6. นครปฐม  7. นครนายก  8. นครราชสีมา  9. นราธิวาส  10.นนทบุรี  11.ปทุมธานี  12.ประจวบคีรีขันธ์  13.ปราจีนบุรี  14.พระนครศรีอยุธยา  15.เพชรบุรี  16.ปัตตานี  17.เพชรบูรณ์  18.ยะลา  19.ระยอง  20.ราชบุรี  21.ลพบุรี  22.สงขลา  23.สิงห์บุรี  24.สมุทรปราการ  25.สมุทรสงคราม  26.สมุทรสาคร  27.สระบุรี 28.สุพรรณบุรี และ 29.อ่างทอง  หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม     

อีกทั้ง ต้องไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ รวมถึงต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย    

สำหรับวงเงินกู้ สำหรับบุคคลธรรมดา พิจารณาจากการชำระภาษี ภ.ง.ด.90 ในปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า และความเป็นเจ้าของสถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท หากจำนวนเงินที่ชำระภาษี 0-10,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 100,000 บาท, จำนวนเงินที่ชำระภาษี  10,001-20,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  และจำนวนเงินที่ชำระภาษีมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท กรณีมีสถานประกอบการเป็นของตัวเองหรือบุคคลในครอบครัว ให้วงเงินเพิ่มอีกลำดับละ 50,000 บาท แต่รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท  สำหรับนิติบุคคล ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในงบการเงินปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท  

ด้านนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka   รวมถึง เว็บไซต์ของ  SME D Bank  ( https://www.smebank.co.th/ ) , Line OA : SME Development Bank  และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank  ตั้งแต่เวลา 13.00 น.  ในวันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็มวงเงิน   โดยใช้เกณฑ์มาก่อนได้ก่อน (first come first serve) หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
#2889


สหภาพแรงงานและกลุ่มสิทธิแรงงาน 33 กลุ่มจากกัมพูชา ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูลจากโรงงานผลิต 114 แห่งในกัมพูชา ได้เขียนจดหมายถึงแบรนด์เสื้อผ้าแฟชันชั้นนำระดับโลกทั้งหลายในสัปดาห์นี้ รวมถึง อาดิดาส เอชแอนด์เอ็ม ลีวายส์ ไนกี้ พูมา ทาร์เก็ต แก๊ป ซีแอนด์เอ และวีเอฟ คอร์ป ให้ดำเนินการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ พร้อมระบุว่า ในช่วงที่กัมพูชาล็อกดาวน์ประเทศในเดือนเม.ย.และพ.ค. อุตสาหกรรมสิ่งทอสูญเสียรายได้ 117 ล้านดอลลาร์

กลุ่มฯดังกล่าวประเมินว่าแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชาซึ่งมีจำนวนกว่า 700,000 คนถูกผู้ว่าจ้างติดค้างค่าจ้างและเงินชดเชยจำนวนกว่า 393 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่กระทรวงแรงงานของกัมพูชาแนะนำให้โรงงานผลิตปิดโรงงานเพราะสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่โดยไม่ได้จ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าเสียหายแก่แรงงาน รวมทั่้งไม่ได้แจ้งให้แรงงานทราบล่วงหน้า 

"คุน ธาโร"ที่ปรึกษาด้านสิทธิแรงงานจากศูนย์กลางเพื่อพันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน(Center for Alliance of Labor and Human Rights) กล่าวว่า "เนื่องจากแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานที่ควรได้ บรรดาแบรนด์ดังทั้งหลายจึงตกเป็นที่พึ่งของแรงงานเหล่านี้ จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ดังที่ถือเป็นผู้ว่าจ้าง"

ในส่วนของกระทรวงแรงงานกัมพูชา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

               
แบรนด์ดังเสื้อผ้าแฟชันชั้นนำของโลกจำนวนมากที่มีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นในปีนี้ บอกว่า พยายามที่จะจำกัดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ที่มีต่อแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

อาดิดาส เปิดเผยกับเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียว่า บริษัทมีพันธกิจในการจ่ายค่าแรงที่ยุติธรรมและโปร่งใสแก่แรงงานทุกคนในกัมพูชาพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือบรรดาซัพพลายเออร์หลักๆให้ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารเจ้าหนี้เพื่อนำมาใช้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19   

"บรรดาโรงงานที่เป็นซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่ของเราในกัมพูชายังคงรักษาแรงงานที่โรงงานผลิตเอาไว้แต่ลดชั่วโมงการทำงานสืบเนื่องจากการล็อกดาวน์"โฆษกอาดิดาสกล่าว

ด้านพูมา ยืนยันว่า บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้วิธีการยกเลิกคำสั่งซื้อและพยายามไม่ลดออร์เดอร์ซื้อสินค้าจากโรงงานรับจ้างผลิตในกัมพูชาในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19

"เฉิง ลู"นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรม ให้ความเห็นว่าว่า บรรดาแบรนด์ต่างๆเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในสหรัฐและใรนยุโรปมีความคืบหน้าด้วยดี ถึงแม้ว่ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆหลายด้าน รวมถึง ความไม่แน่นอนและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

"ปีนี้ทุกอย่างแพงขึ้นทั้งต้นทุนการขนส่งทางเรือและต้นทุนด้านโลจิสติกส์ วัตถุดิบด้านสิ่งทอไปจนถึงต้นทุนด้านแรงงาน ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในฤดูร้อนปี 2564 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดความไม่แน่นอนแก่ตลาด" ลู กล่าว

ในเวียดนาม ซึ่งปีที่แล้วแซงหน้าบังกลาเทศในฐานะผู้ส่งออกสิ่งทอใหญ่สุดอันดับสองของโลกรองจากจีน ที่กำลังประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19เพิ่ม ก็ปิดโรงงานสิ่งทอและรองเท้าประมาณ 30-35% 

สำหรับกัมพูชา การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนสิ่งซ้ำเติมทางการค้าระลอกสอง หลังจากปีที่แล้ว กัมพูชาสูญเสียสถานภาพพิเศษทางการค้าจากยุโรปเพราะปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยยอดส่งออกเสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาไปยุโรปหดตัว 14% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564
#2890


"ปั๋น ดริสา" ศิลปินวาดรูปสาวชื่อดัง โพสต์สรุปประเด็นดรามา ภาพวาดปรากฎใน MV ของ "พิมรี่พาย" ยันไม่ติดใจเอาความ ขอให้เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์

จากกรณี "ปั๋น ดริสา" ศิลปินวาดรูปสาวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กเผยหลังภาพวาดของตนเองถูกนำใช้แบบงงๆ ในเอ็มวีเพลงใหม่ของ "พิมรี่พาย" ที่ชื่อเพลงว่า "ออกไป" โดยภายในเอ็มวีเพลงได้ปรากฎฉากที่มีภาพวาดของเธอเพียงเสี้ยววินาที พร้อมระบุว่า ไม่มีการขออนุณาตจาก "พิมรี่พาย" แต่เชื่อน่าจะเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนของทีมงาน


อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. "ปั๋น ดริสา" ได้ออกมาโพสต์ข้อความอัปเดตอีกครั้งผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

"สรุปเรื่องการที่ผลงานไปปรากฏใน MV คุณพิมรี่พายนะคะ เบื้องต้นคือกรณีนี้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผลงานปั๋นจริง ที่เกิดขึ้นโดยความผิดพลาดของบริษัทฟีโนมีนา โปรดักชั่นเฮาส์ที่คุณพิมรี่พายจ้างทำ MV ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้ทำเพื่อการพาณิชย์ แต่ว่าถูกปรินท์ลงบนผ้าใบเพื่อประกอบการถ่ายโฆษณาที่ปั๋นถ่ายกับทางฟีโนมีนาเมื่อปี 2563 ซึ่งปรินท์มาเพื่อ ' ประกอบการถ่ายโฆษณา '

จึงไม่ได้ปรินท์เพื่อซื้อขายและโดยกฏหมายคือห้ามนำไปใช้ต่อ ปั๋นเคยร่วมงานกับฟีโนมีน่าหลายครั้งในฐานะนักแสดง ได้เห็นความเป็นมืออาชีพของโปรดักชั่นเฮาส์นี้เสมอ และด้วยชื่อเสียงฟีโนฯในด้านคุณภาพ คุณพิมรี่พายจึงเลือกใช้เฮาส์นี้ในการถ่ายทำ MV 'ออกไป' เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงขนาดไหน ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ หลังถ่ายโฆษณาของปั๋นเสร็จ ฝ่ายอาร์ตของทีมโฆษณาได้เก็บภาพวาดเข้าคลังพรอพของบริษัทตนเอง พอถึงเวลาถ่าย MV ของคุณพิมรี่พายหลายเดือนให้หลัง ทางทีมอาร์ตของ MV (คนละทีมกัน) จึงเข้าไปเบิกพรอพจากคลังของบริษัท และเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีการรีเช็คที่มาของพรอพ

เนื่องจากเจตนาของทุกฝั่งคือต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องตามวิชาชีพของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งค่ายเพลง ที่จ้างโปรดักชั่นเฮาส์ที่มีคุณภาพ หรือทีมงานของโปรดักชั่นเฮาส์ที่พยายามสร้างสรรค์ผลงานทั้งหมดด้วยทรัพยากรที่ตนเองมี โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายในการนำผลงานของปั๋นไปใช้งานหรือเป็นเจ้าของ มีมูลค่า6-7หลัก ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้งานเป็นตัวหลักของสินค้า โฆษณา หรือการสะสม แต่ใน MV นี้ภาพปรากฏแค่ไม่กี่วิและเป็นไปโดยการสะเพร่าส่วนบุคคล

ถึงแม้จะมีการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นจริงแต่ปั๋นในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงไม่ฟ้องเรื่องค่าเสียหายใดๆ แม้จะมีการเสนอมาจากฝั่งโปรดักชั่นเฮาส์แล้วก็ตาม เนื่องจากปั๋นเห็นว่านี่เป็นกรณีศึกษาในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์และแนวทางแก้ไขที่สมควรเผยแพร่แก่สาธรณชนมากกว่ารับเงินและลบโพสต์ จึงตัดสินใจในทางนี้ค่ะ เรื่องทั้งหมดก็จบแล้วโดยสมบูรณ์โดยไม่มีความบาดหมางจากฝั่งไหน และปั๋นได้รับจดหมายขอโทษเป็นทางการจากทางฟีโนมีน่าแล้ว ขอบคุณค่ะ"
#2891


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 6 ส.ค. 2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ และมองข้ามความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด หรือ +0.41% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด หรือ +0.17% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด หรือ -0.40%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 469.97 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด หรือ +0.002%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด หรือ +0.53%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด หรือ +0.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในอังกฤษ

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ +0.035%

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 68.28 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 7.7% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 70.70 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 6.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยออกมา หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 45.8 ดอลลาร์ หรือ 2.53% ปิดที่ 1,763.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลง 2.97% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 96.6 เซนต์ หรือ 3.82% ปิดที่ 24.326 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 33.5 ดอลลาร์ หรือ 3.33% ปิดที่ 972.2 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 25 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 2,630.10 ดอลลาร์/ออนซ์

-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาด

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.58% แตะที่ 92.7918 เมื่อวันศุกร์

ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.20 เยน จากระดับ 109.75 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9150 ฟรังก์ จากระดับ 0.9061 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2559 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2494 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1758 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1835 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3877 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3932 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7352 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7404 ดอลลาร์

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 35,208.51 จุด เพิ่มขึ้น 144.26 จุด, +0.41%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,436.52 จุด เพิ่มขึ้น 7.42 จุด, +0.17%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,835.76 จุด ลดลง 59.36 จุด, -0.40%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,122.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, +0.035%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.96 จุด เพิ่มขึ้น 35.77 จุด, +0.53%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,761.45 จุด เพิ่มขึ้น 16.78 จุด, +0.11%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,277.72 ลบ 215.12 จุด, -0.39%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,203.43 จุด ลดลง 1.99 จุด, -0.03%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,489.80 จุด ลดลง 5.98 จุด, -0.40%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,539.91 จุด ลดลง 7.36 จุด, -0.11%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,177.18 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด, +0.07%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,179.40 จุด ลดลง 25.29 จุด, -0.10%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,458.23 จุด ลดลง 8.32 จุด, -0.24%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,526.28 จุด ลดลง 76.84 จุด, -0.44%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,270.36 จุด ลดลง 5.77 จุด, -0.18%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,820.04 จุด เพิ่มขึ้น 91.92 จุด, +0.33%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,538.40 จุด เพิ่มขึ้น 27.30 จุด, +0.36%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,806.50 จุด เพิ่มขึ้น 26.90 จุด, +0.35%
#2892


"ก้อง" สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยวัย 22 ปี หนึ่งเดียวในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรุ่น โมโตทู จากโครงการ "ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม" สร้างผลงานยอดเยี่ยม ออกสตาร์ทกริดที่ 9 ก่อนทะยานคว้าอันดับ 8 ที่เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย โดยนับเป็นอันดับที่ดีที่สุดในชีวิตที่เคยทำได้ในระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์

เกมในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 สนาม 10 รายการ สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ ดวลความเร็วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ชิงชัยทั้งสิ้น 25 รอบสนาม โดย สมเกียรติ เจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 9 ก่อนจะชิงออกตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 6 ได้ในรอบแรก

นักบิดไทยแสดงความมั่นใจอย่างมากในเรซนี้ ไล่บดกับคู่แข่งระดับโลก อาทิ ราอูล เฟร์นันเดซ, ซาวี วิเออร์เฮ และ เจ็ค ดิกสัน รวมถึง แซม โลวส์ ได้อย่างสุดมันส์ ก่อนจบเรซด้วยการคว้าอันดับ 8 ไปครอง ด้วยเวลาตามหลังผู้ชนะอย่าง มาร์โก เบซเซ็คคี นักบิดอิตาเลียนเพียง 12.217 วินาที

ผ่านการแข่งขัน 10 สนามแรกของปี สมเกียรติ เก็บแต้มเพิ่มขยับขึ้นมารั้งอันดับ 17 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 24 คะแนน โดยสนามต่อไปของศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 จะมีขึ้นในวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ ที่เรดบูล ริง เช่นเคย แฟนชาวไทยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนักบิดฮอนด้าได้ทาง เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : fb.com/aphondaracingth
#2893


นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัดเครือ ออริจิ้น เผยว่า จากวิสัยทัศน์ ORIGIN NEXT LEVEL บริษัทในฐานะผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงได้ต่อยอดงานด้านบริการและเตรียมจัดตั้งบริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัดเพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัยตั้งแต่ 1.การบริหารจัดการสินทรัพย์ ช่วยบริหารจัดการผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก สร้างรายได้หรือผลตอบแทนให้เป็นไปตามเป้าหมายของเจ้าของโรงแรมหรือที่พักอาศัย 2.การร่วมวางแผนตกแต่ง จัดหาบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้เข้าพัก

"ในไทยยังไม่ค่อยมี Operator สัญชาติไทย การเข้าถึง Operator ชั้นนำจากต่างประเทศ ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่มากสำหรับเจ้าของโรงแรม หรือ Owner หลายๆ ราย เราจึงจะเป็น Operator สัญชาติไทยที่ให้บริการด้วยมาตรฐานการบริการระดับสากล ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อเข้าไปให้บริการในตลาดที่ยังมีช่องว่างอยู่ เน้นเจาะตลาดโรงแรมและที่อยู่อาศัยใน 5 หัวเมืองสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ ภูเก็ต" นางสาวจตุพร กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีความแข็งแกร่ง 4 ด้านในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ได้แก่ 1.ประสบการณ์ของทีมงาน รวบรวมผู้บริหารและผู้มีประสบการณ์คลุกคลีในการบริหารจัดการดูแลธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์มายาวนานกว่า 20 ปี รวมถึงประสบการณ์บริหารโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ให้ยังมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 70% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ยังมีสถานการณ์คาบเกี่ยวกับผลกระทบจากโควิด-19

2.มาตรฐานการให้บริการ ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และการดูแลแบบอเนกประสงค์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว มีบริการครบถ้วนสำหรับผู้เข้าพักระยะยาว (Long-Stay) เพียงขนกระเป๋ามา สามารถเข้าอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร 3.ฐานข้อมูลลูกค้า มีเครือข่ายลูกค้ากลุ่ม เข้าพักระยะยาว ทั้งกลุ่มสถานทูต กลุ่มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะตลาดชาวญี่ปุ่น อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ 4.การส่งต่อลูกค้า เป็นพันธมิตรกับกลุ่มบริษัทต่างชาติและบริษัทจัดหาที่พักสำหรับชาวต่างชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อลูกค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ

นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับในระยะแรก บริษัทจะเข้ารับบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนภายใต้แบรนด์แฮมป์ตันก่อนเป็นกลุ่มแรก เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังเติบโตสูง สังเกตได้จากโครงการ แฮมป์ตัน ศรีราชา ที่มียอดขายสะสมแล้วกว่า 90% และเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยังมีแผนการพัฒนาโครงการกลุ่ม Investment Property อย่างต่อเนื่อง


ล่าสุดบริษัทได้เข้าไปช่วยบริหารใน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ศรีราชา และระยอง บนทำเลศักยภาพ EEC โดยบริษัทจะเข้าไปช่วยทั้งการจัดหาผู้เช่าให้แก่นักลงทุนที่ไม่มีเวลาปล่อยเช่า และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้เช่าในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ผสมผสานที่พักอาศัยรูปแบบและการให้บริการแบบโรงแรมและล่าสุด เตรียมเข้าไปบริหารโครงการแฮมป์ตัน เรสซิเดนซ์ เน็กซ์ ทู เอ็มโพเรียม ทำเลใจกลางสุขุมวิท พร้อมรับผลตอบแทนต่อเนื่อง นานสูงสุด 20 ปี ซึ่งกำลังจะเปิดให้จองยูนิตลงทุนออนไลน์ ภายในเดือน ส.ค.นี้

ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมรับบริหารโรงแรมใน pipeline ของบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือออริจิ้นอีก 11 โครงการ มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ตั้งเป้าบริหารโรงแรมนอกเครืออีก 30 แห่ง และส่งแฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 5 ปีข้างหน้า

"5 ทำเลเป้าหมายสำคัญของเรายังคงเป็นที่ต้องการอย่างแข็งแกร่งของตลาดBusiness Long-Stayและเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ตลาดกลุ่มพักผ่อนหย่อนใจระยะยาว หรือ Leisure Long-Stay จะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย โดยเฉพาะกลุ่มผู้เข้าพักจากประเทศจีน ธุรกิจ Operator จึงจะยิ่งมีความสำคัญในการรองรับความต้องการในอนาคต" นางสาวจตุพร กล่าว
#2894


ประกันสังคม เปิดให้ผู้ประกันตน ม.33 กลุ่มตกหล่น ตรวจสอบข้อมูลที่ www.sso.go.th พร้อมแจ้งสาเหตุทำไมยังไม่ได้ และเตรียมโอนเงินเยียวยาอีกครั้ง 13 ส.ค.นี้

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึง โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามที่ ครม. มีมติอนุมัติมาตรการเยียวยาในกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากประกาศ "เคอร์ฟิว" และ "ล็อกดาวน์"

เริ่มจ่ายเงินรอบแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 วันละ 1 ล้านคน โดยโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการ พื้นที่ 10 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ซึ่งที่ผ่านมา 2 วัน คือ วันที่ 4 และ 5 สิงหาคม มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับเงินโอนคนละ 2,500 บาท ไปแล้ว จำนวน 1,829,387 คน คิดเป็น 92 %


ทั้งนี้ ยังมีผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกจำนวน 170,613 คน ที่โอนเงินไม่สำเร็จ ด้วยสาเหตุยังไม่ผูกพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชนสูงถึง 90% จำนวน 157,058 คน และจากสาเหตุอื่น ๆ อีก คือ บัญชีปิด/ไม่มีความเคลื่อนไหว 7% จำนวน 13,553 คน ผูกพร้อมเพย์กับเบอร์โทรศัพท์ และสาเหตุอื่น ๆ อีก 1% ซึ่งทำให้ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือทันในการโอนรอบแรกนี้

ดังนั้น กลุ่มของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ตกหล่นในการโอนเงินรอบแรกนี้ ขอให้เร่งตรวจสอบข้อมูลตนเอง หากเช็คแล้วว่าเงินยังไม่เข้าบัญชี ให้รีบไปติดต่อธนาคารด่วน
#2895
จำหน่ายอุปกรณ์ นิวเมติกและวาล์ว บริษัท นิวม่าซิสเต็มส์ จํากัด

บริษัท นิวม่าซิสเต็มส์ จํากัด จำหน่ายอุปกรณ์นิวเมติกและวาล์ว ชุดกรองลม,วาล์วลม,กระบอกลม,ชุดหัวขับลมม,Pneumatic Actuator,หัวขับวาล์วไฟฟ้า,วาล์วน้ำควบคุมด้วยไฟฟ้า(โซลินอย์ดวาล์วน้ำ)  ,ข้อต่อลมต่างๆ, เกจวัดความดัน Pressure Gauge (Brand: SDPC , BKvalve , CONEK , Sirca International , Nuova Fima )

สนใจสินค้าและบริการ ติดต่อ
คุณ อภิสิทธิ์ จรรยาศิริกุล
บริษัท นิวม่า ซิสเต็มส์ จำกัด 
ที่อยู่ 119 ซอยประดิษฐ์มนูธรรม19 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงลาดพร้าว
เขตลาดพร้าว กทม 10230
www.pneuma.co.th
https://web.facebook.com/pneumasystem/
Email: pneuma168@gmail.com
เลขที่ผู้เสียภาษี 0145542000371 
มือถือ 0896662089
โทร : 02 932 0368 ,02 935 9714, 02 538 2853 โทรสาร : 02 932 0370
Line ID: ton_william


Tags:: pneumatic,โซลินอยด์วาล์ว,.วาล์ว












#2896


ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 271.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 35,064.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 26.44 จุด หรือ 0.60% ปิดที่ 4,429.10 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 114.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 14,895.12 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19

โมเดอร์นาเปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือนระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. หรือราว 140,000 ล้านบาท

โมเดอร์นา ระบุว่า บริษัทจะผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 800-1,000 ล้านโดสในปีนี้ และขณะนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาส่งมอบวัคซีนวงเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า

ทั้งนี้ โมเดอร์นามีกำไร 6.46 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.96 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 4,350 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในไตรมาส 2 ของโมเดอร์นายังคงต่ำกว่ายอดขายของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 หรือราว 260,000 ล้านบาท และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 33,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 26,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขจ้างงานตัวสุดท้าย ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงวานนี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดา กล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.7% สู่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.41 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 2.391 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.459 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
#2897


ประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคแห่งนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยุคที่ทั้งผู้คนและภาคธุรกิจต่างยอมรับเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่ารวดเร็วเสียจนบางทีก็เร็วเกินกว่าเมืองที่เราอาศัยอยู่จะปรับตัวได้ทัน

อีกเพียงไม่นาน ประเทศไทยจะขยับเข้าใกล้ความเป็นไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งผู้บริหารของเมืองต่าง ๆ ในประเทศกำลังมองหาหนทางที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ในปกครองของตน สิ่งนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ปรากฏอยู่ในแผนงานพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City Plan) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาเมือง 100 แห่งทั่วประเทศไทยให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะภายในปี 2565 และยังช่วยให้ประเทศได้ตระหนักถึงเป้าหมายในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

กระนั้นก็ดี การแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้ดิสรัปชั่นดังกล่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่สามารถให้ความสำคัญแต่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สามารถปรับระดับขีดความสามารถ และสามารถใช้ในสถานการณ์จริงได้ด้วย

การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ได้สอนพวกเราว่าความยั่งยืนควรเป็นปัจจัยสนับสนุนในการก่อร่างสร้างตัวของเมืองอัจฉริยะ ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้เมืองเหล่านั้นจะต้องเข้าถึงจุดที่เป็นสามารถเชื่อมต่อหากันได้ทุกมิติ (hyperconnected maturity)

อะไรที่ช่วยทำให้เมืองเกิดการเชื่อมต่อในทุกมิติได้

โดยพื้นฐานนั้น เมืองที่มีการเชื่อมต่อในทุกมิติ หรือ hyperconnected city จะสามารถปลดล็อคค่านิยมทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมที่มีความสำคัญได้ด้วยการผลักดันการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลงและเชื่อมต่อในจุดที่สำคัญต่อระบบนิเวศเมืองให้กับประชากรด้วยความรอบคอบ สิ่งที่ทำจะต้องเป็นมากกว่าแนวความคิดทั่วไปของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่ง hyperconnected city จะให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐบาล สถานประกอบการธุรกิจ สถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อปรับปรุงพัฒนาในการส่งมอบบริการอัจฉริยะต่าง ๆ ซึ่งทำได้โดยผ่านการกำหนดองค์ประกอบหลักทั้งสี่ ที่เมืองเหล่านั้นจะสามารถรับรู้ถึงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

แต่ว่าเราจะประเมินความแข็งแกร่งของการเชื่อมต่อระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ในเมือง ๆ หนึ่งได้อย่างไร และองค์ประกอบสี่อย่างนั้นมีอะไรบ้าง จากรายงานเรื่อง Building a Hyperconnected City ที่โนเกียได้ทำงานร่วมกับ ESI ThoughtLab การเชื่อมต่อจะต้องถูกประเมินโดยพิจารณาสี่องค์ประกอบหลักของการเปลี่ยนแปลงเมือง ได้แก่ เทคโนโลยี ข้อมูลและการวิเคราะห์ ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และประชากรที่เชื่อมโยงถึงกัน



บนพื้นฐานขององค์ประกอบหลักทั้งสี่นั้น เราระบุได้ว่าในปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมี 20 เมืองที่สามารถถูกจัดกลุ่มให้เป็น hyperconnected city ได้ ขณะที่แต่ละเมืองได้เข้าถึงบางส่วนของการเชื่อมต่อระหว่างองค์ประกอบหลักต่าง ๆ นั้น เมืองเหล่านั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่จากระดับวุฒิภาวะในการเข้าถึงการเชื่อมต่อที่ต่างกัน อย่างเช่นกรุงเทพมหานครก็เป็นหนึ่งในเมืองเหล่านั้นและได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นลำดับขั้นตอนอย่างไรในการพัฒนาสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ ถึงอย่างไรก็ตาม เมืองไทยยังเฝ้ารอโอกาสในการส่งเสริมการพัฒนาในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น ดังเห็นได้จากความพยายามที่จะพัฒนาพื้นที่สำคัญ ๆ ของประเทศ อย่างโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่เป็นความร่วมมือขององค์กรภาครัฐและเอกชน ผู้บริหารเมือง เอ็นจีโอ และสถาบันการศึกษา

การยอมรับ IoT ของประเทศไทย

Hyperconnected city ทั้งหลายกำลังขยายขอบข่ายการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงไปทั่วทั้งระบบนิเวศเมือง ขณะนี้ทั้ง 20 เมืองที่กล่าวถึงข้างต้นกำลังเร่งเดินหน้าให้เกิดการยอมรับความก้าวหน้านี้ด้วยการปรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การสื่อสารโทรคมนาคม และโซลูชั่นเทคโนโลยีด้าน Mobility เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีไอโอที (IoT: Internet of Things) และการยอมรับเทคโนโลยีดังกล่าวในเมืองต่าง ๆ ทั่วเอเชียทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ที่มุ่งไปสู่ความเจริญแบบเมืองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชากรมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และคนอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ความยั่งยืนในแบบเมืองจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างสถานที่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยต่อการอยู่อาศัยและทำงานให้กับชาวเมือง และ IoT สามารถช่วยให้เมืองเหล่านี้ใช้เครื่องมือดิจิทัลที่สามารถช่วยเพิ่มศักยภาพการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน (และในอนาคต) ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด

ประเทศไทยกำลังขยายการใช้งาน IoT ให้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว การยอมรับการใช้งานในขอบข่ายนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในภาคส่วนหลัก ๆ ของประเทศ อาทิ ภาคการผลิต โลจิสติกส์ และการขนส่ง ที่ยังนับรวมไปถึงด้านบริการสาธารณะต่าง ๆ ด้วย เช่น มาตรการที่เคยดำเนินการโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยที่จะประยุกต์ใช้งาน IoT ในการสร้างกล่องไปรษณีย์อัจฉริยะ (smart mailboxes) ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบริการไปรษณีย์ทั่วประเทศ

จากงานวิจัยของโนเกีย กรุงเทพฯ และเมืองอื่น ๆ อีก 19 แห่งที่ได้รับการสำรวจ ต่างมองหาลู่ทางที่จะขับเคลื่อนการใช้งาน IoT ต่อไปในระยะสามปีข้างหน้านี้ เมืองเหล่านี้เองยังได้มีการจัดให้ IoT มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ในแง่ของการสร้างข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้งานเพื่อการปรับพัฒนาการบริหารจัดการเมืองให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

เพิ่มศักยภาพความเป็นเมืองอัจฉริยะของไทยด้วยการบริหารข้อมูล

Hyperconnected city ทั้งหลายใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่าง IoT เพื่อกระตุ้นการใช้ข้อมูลที่หลากหลายในวงกว้างให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลแบบดั้งเดิม อาทิ ข้อมูลที่รวบรวมมาจากส่วนงานต่าง ๆ ของเมือง สถานประกอบการท้องถิ่น และการสำรวจประชากร และข้อมูลรูปแบบใหม่ เช่น จากระบบตรวจจับด้วย IoT ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแม้กระทั่งที่ได้มาจากโซเชียลมีเดีย

ด้วยการผสานการใช้งานทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงจากแหล่งต่าง ๆ hyperconnected city จะช่วยพัฒนาการบริหารและความยั่งยืนของเมืองได้ ตัวอย่างเช่น เมืองส่วนใหญ่ที่เราได้ทำการสำรวจไปนั้นมีการปรับใช้ข้อมูลเพื่อบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคม โดยขณะที่กึ่งหนึ่งกำลังใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ในด้านบริการและระบบทางด้านการเงิน การรับส่งข้อมูลแบบเคลื่อนที่ (mobility) และการคมนาคมขนส่ง เช่นเดียวกับงานระบบรักษาความปลอดภัย (ทั้งทางกายภาพและดิจิทัล) ขณะเดียวกัน ส่วนที่สามของการใช้งานข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นไปในเรื่องของความปลอดภัย การสาธารณสุข และการส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนในเมืองนั้น ๆ

สำหรับประเทศไทย มีความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดการใช้งานข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้นในเมืองต่าง ๆ ซึ่งสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงในหัวเมืองใหญ่ ๆ อย่างเช่นกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในอีกหลาย ๆ จังหวัด เช่น ชลบุรี และ ระยอง เป็นต้น

Hyperconnectivity - เมื่อการเชื่อมต่อในทุกมิติช่วยสร้างผลกำไรตอบแทนได้มากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากการรับมือกับความท้าทายในเรื่องความยั่งยืนของเมืองโดยตรงแล้ว ผู้บริหารเมืองนั้น ๆ ยังต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนสำหรับเมืองอัจฉริยะเพื่อสร้างผลกำไรตอบแทนให้ได้มากที่สุด เราเชื่อว่าการจะก้าวสู่สภาวะที่สามารถเชื่อมต่อได้ในทุกมิตินั้น เมืองอัจฉริยะจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่สร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้โดยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ การเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม



อย่างไรก็ดี เมืองทั้งหลายยังต้องทำความเข้าใจว่าการลงทุนในเรื่องอะไรที่จะสามารถสร้างผลกำไรตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดได้ โดยอ้างอิงจากงานวิจัย โครงการธรรมาภิบาล ถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในบรรดาการลงทุนด้านอื่น ๆ ภายในระบบนิเวศเมือง ขอยกตัวอย่างโดยเลือกโครงการที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาลอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับเมืองต่าง ๆ ที่พึ่งจะเริ่มนำโซลูชั่นเพื่อการเชื่อมต่อแบบครบวงจรมาใช้งานจะเห็นว่ามีตัวเลขผลกำไรตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.6 ในขณะที่หัวเมืองชั้นนำที่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมากกว่า ตัวเลขผลกำไรตอบแทนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ในทางกลับกัน hyperconnected city ที่อยู่ในการสำรวจของเรายังเป็นเมืองที่มีการให้บริการต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) และโปรแกรมต่าง ๆ ในระดับสูงที่ช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าในการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ดังนั้น เมื่อเมืองต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อที่เข้าถึงได้ในทุกมิติมากขึ้น เครือข่ายที่เชื่อมต่อนั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่หลากหลายได้ด้วย

กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มองหาโอกาสเพื่อดึงการลงทุนที่มีมูลค่าสูงให้เพิ่มมากขึ้นผ่านโร้ดแม็ปของแผนยุทธศาสตร์ชาติไทยแลนด์ 4.0 ที่รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในด้านบริการสาธารณะ การคมนาคมขนส่ง และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้ผลักดันการสาธารณสุขของประเทศสู่อนาคตด้วยการเริ่มนำบริการด้านสุขภาพทางไกล (telehealth) บนเครือข่าย 5G มาใช้งานตั้งแต่ระยะแรกของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกด้วย โดยขณะที่เป้าประสงค์พื้นฐานของการนำระบบนี้มาใช้คือเพื่อลดภาระให้กับบุคลากรด่านหน้า และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสาธารณสุขแล้ว การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นนี้ยังช่วยสนับสนุนภาคการสาธารณสุขในภาพรวม ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพภาคเอกชนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อเสริมสร้างความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในวงการอุตสาหกรรมนี้ของประเทศด้วย

ผู้มีส่วนในการบริหารเมืองของประเทศไทยต้องให้ความสำคัญและมองหาหนทางที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นในระยะยาว

ณ ตอนนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าใกล้ความเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อในทุกมิติยิ่งกว่าเดิม โดยกรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองชั้นนำในการปรับเปลี่ยนที่ว่านี้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเมืองต่าง ๆ จะต้องมีการฝึกทักษะด้านความอดทน นั่นคือพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ความต้องการข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ และการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับความต้องการของเมือง

แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่า และนำไปใช้ได้กับทุกเมืองคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดไหนของการพัฒนาความเป็นเมืองอัจฉริยะก็ตาม ผู้บริหารเมืองจะต้องทำให้แน่ใจได้ว่าประชนชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของเมืองให้การสนับสนุน โดยการปรับปรุงในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของแผนงานการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

การสร้างเมือง hyperconnected city จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร หากแต่ผลที่ได้นั้นถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปสู่การปรับปรุงสวัสดิการด้านสังคมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการขับเคลื่อนให้เมืองเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้อื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย และเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น ประเทศไทยได้วางมาตรการเชิงรุกต่างๆ ไว้รองรับแล้ว ดังนั้น ผู้บริหารเมืองต่างๆ ควรจะมองหาโอกาสที่จะส่งเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ชาติไทยแลนด์ 4.0 ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางเพื่อการเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภูมิทัศน์ทางด้านสังคมและธุรกิจของประเทศได้วิวัฒน์ไปเพื่อการสร้างอุปสงค์ใหม่ในอนาคต
#2898
สปริงคลิปยึดแบบหล่อคอนกรีต SPRING CLIP

สปริงคลิปของแท้ แข็งแรง คุ้มค่า ราคาผู้ผลิต  ต้องสปริงคลิป SUCOOT

- ง่ายและเร็วกว่า ด้วยระบบ Auto Lock
- กัดแน่น แข็งแรงกว่า ต้องรับโหลดได้มากกว่า 2 ตัน
- ประหยัดกว่า  ใช้ล็อกกับเศษเหล็ก 9-12มม.
- คุ้มค่ากว่า ของซูคูทแท้ใช้งานได้นานกว่า 100ครั้ง
- ส่งไว ส่งทั่วไทย มีของพร้อมส่ง
- จบครบกว่า เพราะใช้ล็อคได้ทุกงานแบบหล่อ ทั้ง กำแพง บ่อน้ำ เสา คานและฟุตติ้ง  
- ราคายิ่งซื้อเยอะ ยิ่งลดให้เยอะ  

ดูข้อมูลเพิ่มเติม https://www.sucoot.co.th/spring-clip.html 
ยินดีให้คำแนะนำงานนั่งร้านแบบหล่อคอนกรีตโดยผู้เชี่ยวชาญ
อาร์ต อัฐวุฒิ โทร. 0896411766 / 0866886093 ID Line: 0896411766

Tags :: สปริงคลิป,แบบหล่อคอนกรีต,แบบหล่อกำแพง




























#2899


เอกสารไวท์เปเปอร์ที่ Tencent (เทนเซ็นต์) บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของโลก สร้างสรรค์ร่วมกับ Newzoo (นิวซู) ผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกของเกมและอีสปอร์ต เผยว่า อีสปอร์ตที่กำลังมาแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ช่วยให้เกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์ พร้อมสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่ขึ้นภายในภูมิภาค

ข้อมูลจาก Newzoo (นิวซู) ระบุว่า อัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ของรายได้จากอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ +20.8 (จากปี 2562 ถึงปี 2567) และมีแนวโน้มทำรายได้ถึง 72.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 อัตราการเติบโตนี้เป็นการโตเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้จากอีสปอร์ตของทั่วโลกซึ่งมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ +11.1

เอกสารไวท์เปเปอร์ที่จัดทำขึ้นภายใต้หัวข้อ "เกมและอีสปอร์ต: กีฬาที่แท้จริง (Games & Esports: Bona Fide Sports)" ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเทียบกับประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นที่อีสปอร์ตเติบโตขึ้นมาจากการที่มีโครงสร้างทางไอทีที่พัฒนากว่า การเติบโตของตลาดอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเกิดจากความนิยมในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่คนทั่วไปมีกำลังซื้อได้มากกว่า โดยการศึกษาผู้บริโภคเชิงลึกในปี 2564 ที่ Newzoo (นิวซู) ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมตอบคำถามจากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 82 ของประชากรออนไลน์ในภูมิภาคนี้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ร้อยละ 39 ของผู้เข้าร่วมตอบคำถามเป็นผู้เล่นที่ใช้ โทรศัพท์มือถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกในการเล่นเกม และใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ

ในงานเสวนาข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำในวงการซึ่งจัดโดย Tencent (เทนเซ็นต์) และ Newzoo (นิวซู) ผู้ร่วมอภิปรายจากวงการอีสปอร์ต เห็นพ้องต้องกันว่าภูมิภาคจะได้รับประโยชน์จากเทรนด์และการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกม

เจมส์ ยาง (James Yang) ผู้อำนวยการของ PUBG MOBILE Global Esports (พับจี โมบาย โกล. อีสปอร์ต) ประจำ Tencent Games (เทนเซ็นต์เกมส์) กล่าวว่า "เราเห็นได้ว่าอีสปอร์ตกำลังอยู่ในขาขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากการเล่น อีสปอร์ตบนคอมพิวเตอร์ PC และบนคอนโซล มาเป็นบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการพัฒนา ด้านฮาร์ดแวร์ รวมไปถึงการเล่นเกมผ่านคลาวด์ และเครือข่าย 5G ในมือถือที่พัฒนาขึ้น"

- อีสปอร์ตในฐานะตัวคูณทางเศรษฐกิจ
ผู้ร่วมอภิปรายรายอื่นซึ่งรวมไปถึง Riot Games ผู้พัฒนาและประชาสัมพันธ์เกม Bigetron Esports หนึ่งในองค์กรอีสปอร์ตชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย และ VIRESA หรือสมาคมนันทนาการและอีสปอร์ตแห่งเวียดนาม รวมไปถึง มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้อธิบายว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีสปอร์ตกำลังสร้างผลดีในทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค พร้อมกับการเกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในสายอาชีพให้กับวงการอีสปอร์ตด้วย

ฮิวโก้ ทริสเทล (Hugo Tristão) หัวหน้าแผนกอีสปอร์ต ของ Newzoo กล่าวว่า "อีสปอร์ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและกำลังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกมภายในภูมิภาคนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผู้ชมอีสปอร์ต ถึง 42.5 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564 และจะมีการก่อตั้งองค์กรอีสปอร์ตใหม่ๆ รวมถึงจะมีผู้จัดทัวร์นาเมนต์ที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ถ่ายทอดการแข่ง และบริษัทที่เชี่ยวชาญทางการตลาดอีกด้วย"

ความสนใจด้านอีสปอร์ตที่เพิ่มขึ้นของประชาชนยังเปลี่ยนแปลงวิธีการในการแชร์และเสพคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจากการเข้าชมการถ่ายทอดการแข่งขัน ซึ่งค่ายเกมเป็นผู้จัดทำและเป็นเจ้าของ ไปเป็นการเข้าชมการแข่งขันผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิธีการจัดการสิทธิของสื่อ และจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของตลาดและการสนับสนุนของสปอนเซอร์ในวงการอีสปอร์ตต่อไป

- การขับเคลื่อนเชิงบวก
นอกจากนี้ การเติบโตของอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปิดโอกาสให้มีสายอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกจากผู้เล่นเกมจะสามารถสร้างอาชีพจากสิ่งที่ชอบได้แล้ว ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีการเกิดอาชีพหรือสายอาชีพใหม่ๆ เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย นักพากย์เกม ผู้จัดการ และโค้ช รวมถึงองค์กรอีสปอร์ตระดับใหญ่ที่ต้องตั้งทีมหลังบ้านขึ้นมารองรับการทำธุรกิจสำคัญๆ เช่น การตลาดและการเงิน

นอกจากนี้ อีสปอร์ตยังได้รับความน่าเชื่อถือและการยอมรับในแวดวงวิชาการ ดังเช่นที่มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้มีการจัดทำหลักสูตรประกาศนียบัตรทักษะทางอีสปอร์ต ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย อีสปอร์ตก็กำลังเติบโตและสร้างสายอาชีพที่หลากหลายสำหรับคนที่มีความสามารถทางนี้ด้วย

การที่อีสปอร์ตได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาที่สามารถชิงเหรียญได้ครั้งแรกในซีเกมส์ปี 2562 นั้น ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญและความน่าดึงดูดใจของวงการนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอีสปอร์ตบนมือถือนั้นจะมีการเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งไปสู่การรักษาอีโคซิสเต็มนี้ และความยอมรับที่เพิ่มขึ้นว่าอีสปอร์ตเป็นกีฬาจริงๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะ ความสามารถ การแข่งขัน และความบันเทิง

- ผลกระทบจากโรคระบาด
แม้ว่าจะมีโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง วงการอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความท้าทายต่างๆ โดยผู้ให้บริการ ผู้พัฒนา ค่ายเกม และผู้จัดงานอีเวนท์ ได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเล่นเกม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นเกมที่เป็นธรรม รวมทั้งการสร้างประสบการณ์การชมทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ให้ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา มียอดการเข้าชมการแข่งขัน PUBG MOBILE (พับจี โมบาย) มากกว่า 200 ล้านชั่วโมง เจมส์ ยาง (Yang) ตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าชมการเล่นเกมและการแข่งขันอีสปอร์ตออนไลน์ ถึงแม้ว่าผู้เข้าชมบางส่วนนั้นไม่ได้เป็นผู้เล่นเกมก็ตาม นายยางคาดว่าฐานจำนวนผู้ใช้และผู้ติดตามใหม่ที่ได้มาในช่วงโรคระบาดจะคงอยู่ หลังจากที่ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตในวิถีใหม่ โดยผู้เข้าร่วมการเสวนานี้ยังเชื่อว่า การจัดงานในรูปแบบไฮบริด ที่ผสมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นหลังโรคระบาดนี้หมดไป

เอกสารไวท์เปเปอร์ดังกล่าวได้สรุปใจความไว้ว่า ความชอบในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่ไม่เหมือนใครของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าวงการนี้จะยังคงเติบโตขึ้นในปีต่อๆ ไป และอีสปอร์ตบนโทรศัพท์มือถือจะยังเป็นอันดับหนึ่งของการเล่นเกมในภูมิภาคนี้

นายยาง (Yang) กล่าวว่า "อีสปอร์ตเป็นเทรนด์สำคัญที่ยากจะมองข้าม และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและนอกวงการ จากการร่วมมือกันในการพัฒนาและเสริมสร้างอีโคซิสเต็มของอีสปอร์ต ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและนวัตกรรมทั้งในภูมิภาคและทั่วโลกอย่างอย่างแน่นอน"
#2900


ในช่วง Work From Home อย่างนี้ พอตกบ่ายก็อยากจะจิบกาแฟเรียกเอนเนอจี้กันหน่อย จะออกไปซื้อก็ลำบาก ฉะนั้นเครื่องทำกาแฟก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและสะดวกสุด น่าหาเครื่องทำกาแฟมาติดบ้านไว้สักเครื่อง ซึ่งตอนนี้ เนสเพรสโซ (Nespresso) ได้เปิดตัวคอลเล็กชั่น "Nespresso x Chiara Ferragni" ลิมิเต็ด อิดิชั่น คอลเล็กชันนี้เป็นผลงานคอลแลบล่าสุดที่เนสเพรสโซร่วมมือกับ เคียร่า เฟอร์รังงี (Chiara Ferragni) แฟชั่นไอคอนชาวอิตาเลียน ของวงการแฟชั่นโลกที่มีผู้ติดตามทางออนไลน์กว่า 24 ล้านคน มาร่วมรังสรรค์คอลเล็กชั่นพิเศษซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องชงกาแฟ และแอคเซสเซอรี่เข้าชุดเพื่อต้อนรับซัมเมอร์ 2021 ให้แฟนๆ สายแฟของเนสเพรสโซและเคียร่าได้เก็บสะสมกัน



คอลเล็กชั่น Nespresso x Chiara Ferragni สุดพิเศษนี้ได้ผสานการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากซัมเมอร์คอลเล็กชั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานและสะท้อนผ่านตัวตนที่โดดเด่นของเคียร่า ผ่านการนำเอาไอคอนรูปดวงตาลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของเคียร่าและการเลือกใช้โทนสีสันสดใสรับซัมเมอร์มาดีไซน์ให้คอลเล็กชันลิมิเต็ดอิดิชั่นนี้ให้ความรู้สึกทันสมัยและโดดเด่นสะดุดตาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่



สำหรับความพิเศษของลิมิเต็ด คอลเล็กชั่นนี้ เคียร่าได้คัดสรรไอเท็มชิ้นโปรดนำมาดีไซน์เพื่อนำเสนอความเอ็กซ์คลูซีฟให้แฟนๆ ทั่วโลกของทั้งเนสเพรสโซและเคียร่าได้ตามสะสมโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วย เครื่องชงกาแฟรุ่นคลาสสิกอย่าง Essenza Mini ดีไซน์ล้ำ น้ำหนักเบา และมีขนาดกะทัดรัดที่สามารถรังสรรค์กาแฟรสชาติเยี่ยมได้อย่างง่ายดาย โดยเคียร่าเลือกใช้สีชมพูสดใสและลวดลายแพทเทิร์นไอคอนรูปดวงตาสลับโลโก้เนสเพรสโซมาสร้างความว้าวให้กับเครื่องชงกาแฟ นอกจากนี้ ยังมอบประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบสำหรับคอกาแฟตัวจริงด้วยเครื่องทำฟองนมรุ่น Aeroccino 3 ที่มีลวดลายและสีสันเข้าชุดกัน ไม่เพียงเท่านั้นแฟนๆ ยังสามารถเลือกดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดได้กับแก้วมัคใส Coffee Mug ลายโมโนแกรม และแก้วมัคแบบพกพาได้ Nomad Travel Mug สีชมพูหวานกับไอคอนดวงตาซิกเนเจอร์สุดเก๋ สำหรับกาแฟในคอลเล็กชั่นนี้ มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ Roma, Freddo Intenso และ Scuro ซึ่งเป็นกาแฟรสโปรดของเคียร่าอีกด้วย



คอลเล็กชั่น Nespresso x Chiara Ferragni มีกำหนดวางจำหน่ายให้แฟน ๆ ในประเทศไทย ได้ตามสะสม ทางเว็บไซต์เนสเพรสโซ https://www.nespresso.com/th/ สนนราคาแต่ละไอเท็ม นั้นได้แก่
เครื่องชงกาแฟรุ่น Nespresso x Chiara Ferragni Essenza Mini วางจำหน่ายในราคา 5,500 บาท
เครื่องทำฟองนมรุ่น Nespresso x Chiara Ferragni Aeroccino 3 วางจำหน่ายในราคา 4,800 บาท
แก้วมัคใส Nespresso x Chiara Coffee Mug วางจำหน่ายในราคา 890 บาท
แก้วมัคแบบพกพาได้ Nespresso x Chiara Nomad Travel Mug วางจำหน่ายในราคา 1,190 บาท
เห็นแล้วบอกเลยว่าน่ามีตั้งในบ้านสวยๆ เก๋ๆ จริงๆ