• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - deam205

#2821


บริษัท มันนิกซ์ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อออนไลน์ถูกกฎหมายสำหรับลูกค้ารายย่อยเปิดตัว "ฟินนิกซ์ (FINNIX)" แอปเงินกู้คู่คนทำมาหากินที่ให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ อย่างเป็นทางการ เผยเปิดให้บริการมานานกว่า 1 ปี จนในปัจจุบันมียอดการดาวน์โหลดมากกว่า 3.5 ล้านครั้ง ปล่อยสินเชื่อแล้วมากกว่า 3 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้า 5 พันล้านบาทภายในสิ้นปี 2564 และมุ่งสู่การเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินอันดับ 1 ของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยจุดเด่นสามารถกู้เงินผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอด 24 ชั่วโมง อนุมัติปั๊บรับเงินไวสุดใน 5 นาที วงเงินสูงสุด 1 แสนบาท ดอกเบี้ยต่ำเพียง 2.75% ต่อเดือน แบบลดต้นลดดอก ช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่ไม่เป็นธรรม

นางสาวถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า มันนิกซ์เป็นแอปพลิเคชั่นที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ผ่านช่องทางดิจิทัล 100% ซึ่งเรามองว่า จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่ายังกลุ่มคนที่ยังเข้าถึงเงินกู้ในระบบได้ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารรายได้ หรือกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีรวมกันอยู่ถึง 36 ล้านคน ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 80% มาที่ 90% ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ขาดสภาพคล่องอยู่มาก และหากไม่สามารถเข้าระบบสถาบันการเงินได้ ก็จะต้องไปสู่การกู้เงินนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงมาก มันนิกซ์จึงเห็นถึงโอกาสตรงนี้ที่จะเข้ามาเติมเต็มให้กับผู้กู้กลุ่มนี้

ทั้งนี้ จุดเด่นของมันนิกซ์นั้น ผู้กู้ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารแสดงรายได้แต่จะต้องมีรายการเดินบัญชีจากธนาคารใดก็ได้กรณีที่ไม่ใช่ลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EASY ในวงเงิน 2,000-100,000 บาท อนุมัติเร็วแค่ 5 นาที อัตราดอกเบี้ย 2.75%ต่อเดือนตามเกณฑ์ของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ มีความปลอดภัยด้านข้อมูลต่างๆสูงเนื่องจากเป็นบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งให้เลือกวิธีชำระสินเชื่อคืนได้ถึง 3 สไตล์ได้ตามกำลัง ได้แก่ จ่ายขั้นต่ำแค่ดอกเบี้ย จ่ายโปะมากน้อยตามใจ และผ่อนจ่ายนานสูงสุด 12 เดือน และหากผู้กู้มีการชำระเงินตรงต่อเนื่อง 3 เดือนก็จะได้รับสิทธิ์เพิ่มวงเงินกู้อีกด้วย

ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)นั้น บริษัทได้ตั้งเป้าหมายบริหารไว้ไม่เกินตัวเลข 1 หลัก ซึ่งปัจจุบันก็ยังสามารถทำได้อยู่ และเชื่อว่ายังดูแลให้อยู่ในระดับเป้าหมายได้ต่อไป โดยมันนิกซ์มีจุดแข็ง คือ ระบบปฏิบัติการที่ผสานพลังดิจิทัลของเทคโนโลยีเอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ทำให้ประเมินความเสี่ยงของลูกค้าได้รวดเร็ว ครอบคลุม และแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบยังปลอดภัยด้วยมาตรฐานระดับโลก ตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าที่หลากหลายได้ทันใจ จึงสามารถให้บริการแอปสินเชื่อในรูปแบบออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีสาขา

"ในช่วงโควิดระลอก 3 ที่ผ่านมา ผลกระทบค่อนข้างหนัก เราเองก็เห็นสัญญาณของลูกค้าที่เริ่มจะผ่อนชำระได้ลดลง หรือผิดนัดชำระมากขึ้นเข่นกัน แต่ด้วยระบบการชำระที่ยืดหยุ่นสามารถเลือกได้ตามความสะดวกของลูกค้าทำช่วยให้สถานะผิดนัดชำระหนี้เกิดน้อยลง ขณะที่ระบบพิจารณาความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพก็เริ่มมีการพิจารณาที่รัดกุขึ้นทำให้เราน่าจะรักษาระดับเอ็นพีแอลไว้ได้ตามที่วางไว้ โดยปัจจุบันเรามีอัตราการอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ 25%ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับนาโนไฟแนนซ์ทั้งระบบ"

ทั้งนี้ หลังจากเปิดดำเนินธุรกิจมาประมาณ 14 เดือน มันนิกซ์มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นแล้ว 3.5 ล้านบัญชี มีจำนวนผู้ใช้งานจริง 250,000 ราย มียอดสินเชื่อรวม 3,000 ล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะมียอดผู้ใช้งาน 300,000 ราย มียอดสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทมองว่าในตลาดนาโนไฟแนนซ์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากตลาดนาโนไฟแนนซ์รวมที่ 200,000 ล้านบาทนั้น เป็นส่วนของบริษัทที่ทำนาโนไฟแนนซ์อย่างถูกกฎหมายเพียง 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่การปล่อยสินเชื่อในช่องทางดิจิทัลก็ยังไปได้ดีจากแรงหนุนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาใช้ช่องทางนี้มากขึ้นจากสถานการณ์โควิด 19 และด้านต้นทุนที่ต่ำทำให้สามารถเข้สถคฃลูกค้าได้มากขึ้น

"เราถามตัวเองว่าผลิตภัณฑ์ใดจะช่วยแก้ปัญหาให้คนไทยได้มากที่สุด ซึ่งเราพบว่าในปีที่แล้วโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงโควิด หนี้ครัวเรือนของคนไทยสูงขึ้นมาก อย่างไตรมาสแรกปีนี้ที่พุ่งสูงถึง 90% ต่อจีดีพี ซึ่งทำให้เราเห็นว่าคนไทยกำลังขาดสภาพคล่องทางด้านการเงินอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีเอกสารยืนยันบัญชีการเงินยิ่งไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารและสถาบันการเงินได้ จากผลข้อมูลพบว่ามีคนทำมาหากินราว 36 ล้านคนที่ประสบปัญหาดังกล่าว เราจึงมองเห็นโอกาสที่มันนิกซ์จะเข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ได้และตัดสินใจว่าจะทำผลิตภัณฑ์แรกในรูปแบบสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยตั้งเป้าช่วยเหลือคนทำมาหากินให้ได้อย่างน้อย 7.2 ล้านคนในช่วงเริ่มต้น"

ทั้งนี้ ภายในงานเปิดตัวแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ (FINNIX) ยังได้รับเกียรติจากเจ้แขกแหกปาก เจ้าของวลีเด็ด "ชีวิตต้องสู้!! เพราะกู้ร้อยละ 20" มาเล่าถึงอดีตการเป็นลูกหนี้นอกระบบผู้ปลดหนี้ได้สำเร็จ พร้อมกับคุณฟ้า-กนกพรรณ หมวกไสว ผู้ก่อตั้งเพจมือปราบหนี้นอกระบบ-แอพเงินกู้ บอกเล่าประเด็นในสังคมที่น่าสนใจ อาทิ กรณีศึกษาจากการช่วยเหลือเหยื่อจากภัยร้ายของแอปเงินกู้นอกระบบ และวิธีรับมือแก้ไขให้หลุดพ้นจากวังวนแอปเหล่านี้เมื่อพลาดไปแล้วอีกด้วย
#2822
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#2823


นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้การคลายล็อกดาวน์จะเป็นสัญญาณบวกของภาคธุรกิจ แต่มีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะยุติลงอย่างไร กระทบต่อความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคซบเซา ขณะที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการให้สินเชื่อ มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง

รวมถึง ตัวเลขลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ (Walk in) ก็ยังไม่ดีขึ้น แม้จะมีการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นสามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน คอนโดมิเนียมยังต้องการมาดูโครงการด้วยตนเอง ไม่ใช่ดูผ่านออนไลน์แล้วจะตัดสินใจซื้อ 100% ทันที

"สิ่งที่กังวลช่วงเวลานี้ คือภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ดีและไม่มีความชัดเจนว่าจะดีขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ ปัญหาโควิดยังไม่รู้ว่าจะไปอย่างไรต่อ จะวนกลับมาระลอก 5 ระลอก 6 หรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ ส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นที่สะสมตัวอยู่ ทำให้คนกลัวไม่กล้าจับจ่ายเพราะไม่อยากสร้างหนี้ ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมทั้งสินค้าต่าง ๆ ยิ่งความไม่สงบทางการเมือง คนรู้สึกไม่มั่นใจ ทำให้ชะลอการซื้อเพื่อลงทุน รอดูสถานการณ์ (wait and see) หากเป็นเช่นนี้ตลาดอสังหาฯ ซบเซา"

ความกังวลหลัก 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ โรคระบาด และการเมือง เป็นตัวแปรต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายนี้ ทั้งการจัดโปรโมชั่น พร้อมปรับแผนการลงทุนใหม่ ระมัดระวังการขยายธุรกิจ สังเกตได้ว่า มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงจนถึงไม่มี ส่วนใหญ่เน้นระบายสต็อกเก่า

"หนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาทุกภาคส่วนต้องพยายามทำให้ภาครวมของเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะอสังหาฯ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของภาคเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจรวมไม่ฟื้น อสังหาฯ ไม่สามารถฟื้นตัวเองได้"


สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ประเมินว่าตลาดคอนโดมิเนียมตัวเลข "ติดลบ" ไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อน ส่วนบ้านจัดสรร คาดการณ์ติดลบเป็นตัวเลขหลักเดียว ไม่ถึง 10% หากนำตัวเลขสองตลาดนี้มารวมกัน ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ น่าจะติดลบประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 อยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่า แต่จะมากหรือน้อยระดับไหนต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหลือ 4 เดือนสุดท้ายนี้ หาก สถานการณ์จะดีขึ้นหรือว่าสถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม

ทั้งนี้ หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดไม่เกิดระลอกใหม่ ไม่มีการติดเชื้อจำนวนมาก ไม่มีการปิดแคมป์ก่อสร้าง กระทบต่อตลาด จะทำให้ 4 เดือนจากนี้สถานการณ์จะไม่เลวร้ายมากนัก และไต่ระดับกลับมาอยู่ในภาวะทรงตัว อย่างไรก็ตาม ตลาดบ้านจัดสรร จะยังคงไปได้แต่ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงอยู่ในภาวะลำบากต่อเนื่อง
#2824
ข้าวออแกนิกปลอดสารแท้ 100%ข้าวกล้องอินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ปลูกข้าวมะลินิลออแกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องหอมมะลินิลorganic แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์สุรินทร์7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิคคือ


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#2825


นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ ประเทศไทย (Zipmex) เปิดเผยว่า วานนี้ ( 31 ส.ค.) ซิปเม็กซ์ แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศการระดมทุนรอบ Series B   มูลค่า 1,300 ล้านบาท ร่วมมือกับบริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (CVC) ในเครือธนาคารกรุงศรีฯ  , บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) , บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ,MindWorks Capital ซึ่งเป็นบริษัทจากฮ่องกง และ Jump Huay Capital ผู้บริหารเงินที่ร่วมลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำการระดมทุนรอบ Series A  และยังลงทุนต่อเนื่องในรอบนี้ 

โดยเงินทุนระดมครั้งนี้ นำมาใช้พัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆให้ดีขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างต่อเนื่องจากเดิมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าต่อไป  

ล่าสุด บริษัทเตรียมพัฒนาการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลนำไปชำระสินค้า ในรูปแบบของบัตรคริปโตการ์ด เริ่มใช้แล้วในออสเตรเลียและสิงค์โปร ส่วนในไทยอยู่ระหว่างกาารหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และริษัทสามารถให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยในรูปของเงินบาทได้ คาดว่าจะหารือกับทางกรุงศรีเพิ่มเติมต่อไป  รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม NFTs (Non-Fungible Token)ในต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

บริษัทตั้งเป้าหลังระดมทุนใหม่รอบนี้ คาดว่าจะผลักดันเข้าสู่บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ 330,000 ล้านบาทหรือเป็นบริษัทระดับยูนิคอร์น ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากระดับ 33,000 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเติบโตเร็วกว่าที่คาดมากและยังมีเงินระดมทุนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกในครั้งนี้ หลังจากบริษัทเปิดดำเนินการเมื่อกลางปี 2563หรือเพียง 1 ปีเท่าและในปีนี้คาดว่าทำกำไรได้แล้ว 

ปัจจุบัน ซิปเม็กซ์ มีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 1 ล้านบัญชี  คิดเป็นสัดส่วนของไทย 40%  ขณะที่มีปริมาณการซื้อขายสินทรััพย์ดิจิทัลทั้งสิ้นกว่า 140,000 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วนของไทย  50%  และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 300,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ 


นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ในเครือธนาคารกรุงศรีกล่าวว่า สาเหตุที่เลือกลงทุนในซิปเม็กซ์ เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งอยู่ต่างประเทศและไทยรวม 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย รวมทั้งยังมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 

ขณะเดียวกันกรุงศรีได้เข้าดูแลในด้านของระบบการยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การชำระเงิน โอนเงินให้กับ ซิปเม็กซ์ด้วย และยังจะพัฒนาทางด้านอื่นด้วยกันต่อไปในอนาคต อีกทั้งคาดว่า ซิปเม็กซ์มีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใดที่หนึ่งได้เร็วกว่าสตาร์ทอัพปกติใช้เวลาราว 4-5ปี ทั้งนี้ ขึ้นกับโอกาสและความเหมาะสม

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.บลูบิค กรุ๊ป  กล่าวว่า คาดบลูบิค จะเปิดเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน25 ล้านหุ้น ในกลางเดือนก.ย. 2564 และคาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ภายในเดือนก.ย.นี้ 
#2826


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#2827


" เจริญโภคภัณฑ์อาหาร" โอนกิจการทั้งหมดของ " ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง" ให้ "สยามแม็คโคร" ขณะ MAKRO ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อตอบแทน พร้อมแบ่งหุ้นขาย PO เพิ่มฟลีโฟลท " ศุภชัย เจียรวนนท์" แจงเพื่อความคล่องแคล่วรวดเร็วเกิดประโยชน์ด้วยเป้าหมายเพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก โบรกฯมองเป็นบวก

ราคาหุ้น MAKRO หรือบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 43.75 บาทเพิ่มขึ้น 4.17 % หรือ 1.75 บาท ส่วน MAKRO หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ราคาเปิดที่ 67 บาท เพิ่มขึ้น 3.07% หรือ 2 บาท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาทหรือ0.93% รับข่าวการโอนกิจการในเครือซีพี

CPF โอนกิจการ CPRH ทั้งหมดให้ MAKRO

กอบบุญ ศรีชัย เลขานุการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททำกาารโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมใน 20.00 % ผ่านบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด (CPM) ให้แก่บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) (Entire Business Transfer หรือ EBT) ซึ่งมีมูลค่ารวม 43,589,814,450 บาท

ทั้งนี้ ภายใต้การทำ EBT นั้น เป็นการโอนกิจการของ CPRH ให้แก่ Makro ด้วยวิธีโอนกิจการทั้งหมด รวมถึงหุ้นในบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอป เม้นท์ จำกัด (CPRD)ซึ่ง CPRH ถืออยู่ 99.99% ของทุนจดทะเบียนของ CPRD และทรัพย์สินอื่นของCPRH อาทิ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด โดย Makro จะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้แก่ CPRH ในจำนวนไม่เกิน 5,010,323,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น เพื่อเป็นการชำระค่าตอบแทน

ทั้งนี้ เมื่อการทำ EBT เสร็จสมบูรณ์CPRH จะจดทะเบียนเลิกบริษัทและเริ่มชำระบัญชีโดย CPRH จะโอนทรัพย์สินทั้งหมดของ CPRH รวมถึงหุ้นใน MAKRO ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ CPRH ตามสัดส่วนการถือหุ้น ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของCPRH ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ถือหุ้นของ CPRH แต่ละรายจะได้รับหุ้นใน MAKRO และมีสัดส่วนการถือหุ้นใน MAKRO

หลังจากนั้น เมื่อ EBT เสร็จสมบูรณ์และ CPRH ได้ส่งมอบหุ้นใน MAKRO ให้แก่ CPM แล้ว CPM มีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Mandatory Tender Offer) ของ MAKRO ร่วมกับ CPHH ในราคาหุ้นละ 43.50 บาท โดยที่ CPM จะรับซื้อหุ้นสามัญใน MAKRO เป็นสัดส่วนหนึ่งในสามและ CPH จะรับซื้อหุ้นสามัญใน Makroสัดส่วนสองในสามของจำนวนหุ้นที่มีผู้ตอบรับคำเสนอซื้อในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน MAKRO ดังกล่าวซึ่งจำนวนหุ้นสูงสุดที่ CPM ต้องรับซื้อจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ครั้งนี้จะมีจำนวนไม่เกิน 110,699,500 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 43.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,815,428,250 บาท สุดท้ายคือให้ CPM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPF ขายหุ้นสามัญMAKRO ที่ CPM จะได้รับจากการคืนเงินลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของ CPRH ให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) 181,600,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 1.85ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจ าหน่ายได้แล้วทั้งหมดของMAKRO Makro ภายหลังจากการทำ EBTและคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 1.63 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ MAKRO ภายหลัง PO ของ Makroเสร็จสิ้น พร้อมกับการดำเนินการ PO ของ Makro)

MAKRO เพิ่มทุนตอบแทนค่าหุ้น - ขาย PO

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร และประธานกรรมการ MAKRO  เผยว่า เครือซีพีตั้งเป้าขยายร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของเครือให้ได้อย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสาขาของสยามแม็คโคร และศูนย์ค้าปลีกค้าส่งรูปแบบอื่นๆ ในเครือซีพี บริษัทจะต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก หากเมื่อมีการปรับโครงสร้างธุรกิจต่างๆ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว จะทำให้สยามแม็คโคร กลายเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

"การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการตัดสินใจต่างๆ และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็คือ จะช่วยทำให้แม็คโคร และโลตัส มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว (Agility) ในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีระดับนานาชาติ"  ศุภชัย กล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการ MAKRO เมื่อ 31 ส.ค.ที่ผ่านมาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน จากปัจจุบัน 2,400 ล้านบาท เป็น 5,586 ล้านบาท โดยการออกหุ้นใหม่ 6,372,323,500 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อแบ่งขายให้ประชาชนทั่วไป 1,362,000,000 หุ้น

"การเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแม็คโคร โดย MAKRO ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทฯ ให้ประชาชนทั่วไปถึง 2 เท่า จากเดิมสัดส่วนที่ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของ MAKRO อยู่ที่ 7% จะเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ในขณะที่จำนวนการถือหุ้นของเครือซีพีใน MAKRO จะลดลงจาก 93% เหลือ 85% โดยที่การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทต่างๆ ครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการของ MAKRO และบริษัทอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่"

โดย MAKRO จะได้รับโอนกิจการทั้งหมดของดของ บริษัท ซี.พี.รีเทล โฮลดิ้งจำกัด มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 217,949,072,250 บาท ด้วยวิธีโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ซึ่ง MAKRO จะออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ 5,010,323,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 43.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 217,949,072,250 บาท ให้ CPRH เพื่อใช้ชำระเป็นค่าตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมดจากCPRH แทนการชำระด้วยเงินสด (Payment in Kind) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 104.38ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการจัดสรรหุ้นเพื่อตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมด

สำหรับ CPRH ประกอบธุรกิจลงทุน (Investment Holding Company) โดยมีทรัพย์สินหลักคือหุ้นในบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) ในสัดส่วน 99.99% ของทุนจดทะเบียนของ CPRD อาทิ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และ CPRD ถือหุ้น (ก) สัดส่วน 99.99 %ในบริษัท โลตัสส์สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถือหุ้นสัดส่วน 99.99 % ในบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในประเทศไทย และ (ข) สัดส่วน 100.00% ใน Lotuss Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus's ในมาเลเซีย

โบรก ฯ มองป็นบวกต่อ CPALL และ CPF

บล. ทิสโก้ มองหลัง CPFโอน Lotus ให้ MAKRO - CPF ซื้อ MAKRO เพิ่ม ทั้งนี้หลังCPF แจ้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ ถือหุ้นของ Lotus (CPRH) และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารแล้ว MAKRO จะได้รับธุรกิจทั้งหมด (EBT) ของ Lotus จาก CPALL/CPF/CPH ซึ่งจะได้รับหุ้น MAKRO ใหม่ หลังการทำ EBT CPF จะทำคำเสนอซื้ออหลักทรัพย์ทั้หมด (MTO) ร่วมกับ CPH หลังจากนั้น MAKRO จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป ทำให้สัดส่วน Lotus อยู่ที่ 20% ส่วน MAKRO อยู่ที่ 7.34-8.33%

ทั้งนี้  ผู้บริหาร CPF เน้นย้ำประโยชน์ที่ได้รับจาก EBT : คือการขยายแพลตฟอร์มเพื่อรวม b2b และ b2c ,ปรับปรุงสภาพคล่องสำหรับการลงทุนในโลตัส ,เพิ่มผลประโยชน์ผ่าน CPALL และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคการถือ MAKRO – CPF จะเปลี่ยนการถือสัดส่วนโลตัสจาก 20% เป็น 10.21% ผ่าน MAKRO หลัง EBT MTO สามารถ เพิ่มสัดส่วนสูงสุด 1.13% ขณะที่ PO อาจส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้น MAKRO ลดลง 1.85% เมื่อเสร็จสิ้น CPF จะถือหุ้น MAKRO ราว 7.34-8.33%

บล.ทิสโก้ ประเมินไม่มีการระบุถึงกำไร/ขาดทุนที่ชัดเจนจากการขายหุ้น Lotus แต่ผู้บริหารคาดหวังเห็นกำไรเบื้งต้นราว 2.62 พันลบ.(ยอดขาย 4.359หมื่นล้านบาท ด้วยราคา 4.097 หมื่นล้านบาท)หาก EBT, MTO และ PO ได้รับการอนุมัติ บล.ทิสโก้ คาดจะเห็นผลบวกต่อกำไรของ CPF ในระยะสั้นเล็กน้อย กำไรของ MAKRO ดีขึ้น vs.Lotus คาดจะเพิ่มผลกำไรระยะสั้น ส่วนในระยะยาวขึ้นอยู่กับความสามารถในการ synergy แนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 40.00 บาท (SOTP)

บล. เอเซียพลัส จำกัด ประเมินผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง หลังกลุ่มซีพี ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในเครือ นำ Lotus's มาอยู่ภายใต้ MAKRO กล่าวคือ CPALL เป็นบวก ผลกระทบการถือหุ้น MAKRO ลดลง เชื่อว่าชดเชยได้จาก MAKRO ที่มีขนาดใหญ่ จากการถือหุ้นใน Lotus's และมูลค่า (Value) เดิมที่ของ MAKRO ที่จะเพิ่มขึ้นจาก Synergy ร่วมกับ Lotus's บวกกับยังได้เงินที่จะขายหุ้น MAKRO พร้อมกับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป( PO) ไปลดภาระหนี้สิน ดังนั้น ประเมินสร้างอัพไซต์(Upside) ต่อประมาณการนับจากปี 2565 โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ คงแนะนำ" ซื้อ"

MAKRO เป็นบวกเล็กน้อย แม้มีผลกระทบหลัก คือ Dilution จากการเพิ่มทุน เพื่อรับโอนกิจการจากบริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) รวมถึง PO ในระยะถัดไปที่สูง ขณะที่กำไรส่วนชดเชยจาก Lotus's ระยะสั้นยังถูกหักล้างจากดอกเบี้ยจ่ายที่บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) แต่ภาพระยะยาว ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าดีขึ้นมีนัยยะจาก Synergy การขยายตัวร่วมกันทั้งในรูปแบบเดิม และการเปิดสาขาใหม่ๆ ในต่างประเทศร่วมกัน รวมถึง Omnichannel Platform B2C – B2B ขณะที่ราคาหุ้นระยะสั้นยังน่าจะรักษาระดับใกล้เคียงราคา Tender Offer ที่ 43.50 บาท โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ คงแนะนำ "ซื้อ"

ทั้งนี้ จากการขายหุ้น PO เพิ่มทั้งในส่วนของ MAKRO, CPALL, CPF คาดจะช่วยแก้ปัญหา ฟรีโฟลต(Free Float) ให้ MAKRO และมีโอกาสกลับสู่ SET50 ได้ในระยะถัดไป

CPF เป็นบวก จาก Unlock value จากการลงทุนใน Lotus's มาเป็น MAKRO แทน ซึ่งมีสภาพคล่องมากขึ้น และหลังจากนั้นจะได้ผลบวกจากการขายหุ้น MAKRO แบบ PO จำนวนไม่เกิน 181.6 ล้านหุ้น หรือ 1.85% ของจำนวนหุ้นของ MAKRO ทั้งหมดภายหลังการโอนกิจการ Lotus's เพื่อไปลดภาระหนี้สินในอนาคต และ Synergy ในอนาคต จากการขายอาหารสดเข้า MAKRO และ Lotus's ในไทยเพิ่มขึ้นในระยะยาว และหาก MAKRO และ Lotus's ขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพราะ CPF มีการลงทุนใน 17 ประเทศทั่วโลก จึงสามารถขายอาหารสดระหว่างกันได้ อีกทั้งผลบวกทางอ้อมจากการถือหุ้น CPALL 34.12% ของทุนชำระแล้ว ที่จะได้ผลบวกในระยะยาวเช่นกัน จึงยังแนะนำซื้อ CPF กำหนดราคาเป้าหมาย ปี 2565 เท่ากับ 31 บาท

ทั้งนี้ กระบวนการโอนธุรกิจทั้งหมดจะเสร็จ ต.ค.64 โดยหลังแล้วเสร็จ CPG + CPF จะต้องทำการ Tender offer ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย MAKRO เดิม 332 ล้านหุ้น หุ้นละ 43.5 บาท เท่ากับราคาหุ้น MAKRO ที่ได้มาผ่าน ซึ่งการแลกหุ้นหลังจากนั้น ในส่วนของ MAKRO จะมีการเสนอขายหุ้น PO โดยเป็นหุ้นใหม่ 1.36 พันล้านหุ้น (เพิ่มจากหุ้นที่รวม PP ที่ 9.81 พันล้านหุ้น) โดยปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดราคา PO อีกทั้งจะขายหุ้นของผู้ถือหุ้น MAKRO คือ CPALL และ CPF ออกมาด้วยในช่วง PO ถือเป็นการ Unlock Value MAKRO และ Lotus's พร้อมกัน รวมถึงเป็นการแก้ไขปัญหา Free Float ของ MAKRO และช่วยให้ได้เงินกลับเข้ามาที่ทั้ง MAKRO, CPALL และ CPF คาดจะไปขยายธุรกิจและลดภาระหนี้
#2828


แอตเลติโก มาดริด บรรลุข้อตกลงกับ บาร์เซโลน่า ในการยืมตัว อองตวน กรีซมันน์ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส กลับมาค้าแข้งยังถิ่นเก่าอีกครั้ง พ่วงอ็อปชั่นซื้อขาด 40 ล้านยูโร

ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า 'ตราหมี' พร้อมอ้าแขนรับ อองตวน กรีซมันน์ กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง และล่าสุดข้อเสนอการยืมตัวดังกล่าวถูกตอบรับจาก บาร์เซโลน่า เป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล พร้อมอ็อปชั่นซื้อขาดที่ 40 ล้านยูโร

อย่างไรก็ตามดีลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ เจา เฟลิกซ์ ตามกระแสข่าวลือที่หลุดออกมาก่อนหน้าแต่อย่างใด เป็นเพียงการพูดคุยกันระหว่าง แอตเลติโก มาดริด กับบาร์เซโลน่า เพื่อขอยืมตัว อองตวน กรีซมันน์ คนเดียวล้วนๆ เท่านั้น

หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส ในวัย 30 ปี เคยค้าแข้งอยู่กับทีม 'ตราหมี' ถึง 5 ฤดูกาล ระหว่างปี 2014-2019 ก่อนจะย้ายมาเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2019 แต่ผลงานไม่เป็นไปตามเป้า

ทั้งนี้การปล่อยตัว อองตวน กรีซมันน์ ออกจากทีมก่อนตลาดซื้อขายจะปิดตัวลง ทำให้ บาร์เซโลน่า เซฟค่าจ้างที่จะต้องจ่ายให้ศูนย์หน้าเลือดน้ำหอมรายนี้ไปได้เยอะพอสมควร
#2829


เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมเดินหน้าเปิดเมือง ตั้งเป้าเป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าปลอด โควิด-19 ยกระดับมาตราการความปลอดภัยขั้นสูงสุด 7 มาตรการ ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย โดยเฉพาะมาตราการพนักงานปลอดโควิด -19 ทุกคน และมาตรการสาธารณสุขในพื้นที่ครบทุกมิติ เพิ่มความมั่นใจในการใช้บริการด้วยพนักงานทุกคนต้องผ่านการคัดกรองด้วยการตรวจ ATK ในวันแรกของการปฏิบัติงาน ทั้งพนักงานกลุ่มเดอะมอลล์ พนักงานผู้แทนขาย พนักงานร้านค้า และพนักงาน OUTSOURCE รวมกว่า 10,000 คน และพนักงานทุกคนต้องผ่านการฉีดวัคซีนโควิด-19 อีกทั้งมีการคัดกรองรายวันและรายสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง พร้อมมาตรการสาธารณสุขเชิงรุกในพื้นที่ครบทุกมิติ ทำการ BIG CLEANING ครั้งใหญ่ทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วของศูนย์การค้า รวมทั้งการทำความสะอาดฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศ และตรวจวัดค่าปริมาณคลอรีนในน้ำ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญก่อนเปิดบริการศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในเครือทุกแห่ง ในวันที่ 1 กันยายน 2564

นายอมร อมรกุล ผู้จัดการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า "ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 หรือ ศบค.ได้มีมติเห็นชอบประกาศปรับมาตรการป้องกันการควบคุมโรคติดเชื้อโควิด -19 ให้เปิดกิจการ – กิจกรรมสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ยังผลให้ศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป อันประกอบด้วย เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ สามารถเปิดดำเนินการได้ ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. อย่างเคร่งครัด โดยจะต้องลงทะเบียนสถานประกอบการ เพื่อปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยของกรมอนามัยตามหลักเกณฑ์ของ THAI STOP COVID PLUS (TSC+) อีกทั้งยกระดับมาตรการความปลอดภัยเชิงรุก ขั้นสูงสุด ตามกรอบแนวทาง 7 มาตรการของสมาคมค้าปลีกไทยและคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย อย่างเคร่งครัด



ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกค้าเป็นสำคัญยิ่ง เดอะมอลล์ กรุ๊ป ขอประกาศตั้งเป้าเป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าปลอดโรคติดเชื้อโควิด -19 ด้วยการเพิ่มความมั่นใจในมาตรการปลอดโควิด -19 ของพนักงานผู้ให้บริการทั้งในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยได้กำหนดให้พนักงานทุกคนทั้งพนักงานห้างสรรพสินค้า พนักงานผู้แทนขาย พนักงานร้านค้า และพนักงาน OUTSOURCEรวมกว่า 10,000 คน ที่จะกลับเข้าปฏิบัติงานในวันแรกต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด -19 ด้วย ANTIGEN TEST KIT (ATK) ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ ทุกคน หรือมีผลตรวจโควิด -19 ด้วยวิธี RT-PCR ไม่เกิน 7 วัน นับจากวันที่เข้าพื้นที่ นอกจากนี้พนักงานทุกคนต้องได้การฉีดวัคซีนโควิด -19 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้พนักงานทุกคนจะอยู่ภายใต้มาตรการการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยจะมีการคัดกรองด้วยประเมินสุขภาพ ตามแนวหลักการ THAI SAFE THAI และสุ่มตรวจด้วยการตรวจ ANTIGEN TEST KIT (ATK) เป็นประจำทุกสัปดาห์ ควบคู่กับการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการ UNIVERSAL PREVENTION เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกค้าสูงสุด

สำหรับมาตรการสาธารณสุขเชิงรุกในพื้นที่ครบทุกมิตินั้น ก่อนเปิดให้บริการทุกศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ทำความสะอาด BIG CLEANING ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วของศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า รวมถึงทำการอบฆ่าเชื้อระบบปรับอากาศส่วนกลางด้วยรังสี UVพร้อมดำเนินการเรื่องระบบถ่ายเทอากาศภายในอาคาร มากกว่า 10 เท่าต่อชั่วโมง และตรวจวัดค่าปริมาณคลอรีนในน้ำคงเหลือไม่ต่ำกว่า 0.5 PPM นอกเหนือจากมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยที่ศูนย์การค้าฯ ปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้ง GUARD SHIELD ที่เคาน์เตอร์ต่างๆ, ติดตั้ง TABLE SHIELD บนโต๊ะอาหาร รวมทั้งมีบริการตู้อบฆ่าเชื้อ UV-C STERILIZING สำหรับอบฆ่าเชื้อสินค้าให้กับลูกค้า และเดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังสร้างความมั่นใจในการใช้บริการด้วยการสร้างสังคมไร้สัมผัส TMG TOUCHLESS SOCIETY อาทิ TOUCHLESS PAYMENT การชำระเงินแบบไร้สัมผัส ผ่าน APP ของธนาคาร, TAP & GO,E-WALLET และ APP ต่างๆ สำหรับชาวต่างชาติ



นอกจากนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและเกณฑ์ในการปฏิบัติเข้มข้นตามกรอบแนวทางมาตรการ ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคณะกรรมการกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย
ในการเปิดให้ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ในด้านอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่
• ผู้เข้ามาใช้บริการปฏิบัติตาม D-M-H-T-T (DISTANCING- MASK WEARING- HAND WASHING- TEMPERATURE- TESTING) พร้อมคัดกรองตัวเองผ่าน THAI SAFE THAI (TST) และแสดงให้ผู้รับบริการก่อนเข้าสถานประกอบการ
• ควบคุมจำนวนพนักงานและลูกค้า 1 คน ต่อ 5 ตารางเมตร ในสถานประกอบการ
(กรมอนามัยใช้หลักเกณฑ์ 1 ต่อ 4 ตารางเมตร)
• กำหนดให้มีการจองการเข้ารับบริการผ่านทาง APPLICATION หรือ โทรศัพท์ หรือรับบัตรคิวล่วงหน้าในทุกธุรกิจของการบริการ
• เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสสูง HIGH TOUCH AREA อย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง (กรมอนามัยใช้หลักเกณฑ์ทุกๆ 2 ชั่วโมง)

ทั้งนี้ ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้แก่ เดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรี่ยม, ดิ เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ พร้อมเปิดให้บริการศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าตามปกติ รวมทั้งเปิดให้บริการร้านอาหาร โดยให้นั่งทานได้ 50% (งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน) , ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม เปิดให้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อคน ต้องมีการนัดหมายก่อนเข้าใช้บริการ,
ร้านนวด เปิดเฉพาะนวดเท้า, คลินิกเสริมความงาม ต้องมีการนัดหมายก่อนเข้าใช้บริการ โดยเปิดให้บริการตามปกติตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป และเปิดให้บริการได้ถึงเวลา 20.00 น.



เพื่อเป็นการร่วมฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเดอะมอลล์ ได้ผนึกกำลังพันธมิตรธุรกิจ ซัพพลายเออร์ แบรนด์ชั้นนำในห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการร้านค้าใน
ศูนย์การค้า จัดแคมเปญ "SHOPPING MUST GO ON #จะช้อปต้องได้ช้อป" ลดสูงสุด 80%
ช้อปทุกชั้น ทั้งห้างฯ รับคืนรวมสูงสุด 3,000 บาท รวมช่องทางออนไลน์ MONLINE.COM และGOURMETMARKETTHAILAND.COM, M CHAT & SHOP และCALL TO ORDER หรือเลือกรับสิทธิ์
"ยิ่งใช้ยิ่งได้" รับ E-Voucher ภาครัฐสูงสุด 7,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม – 28 กันยายน 2564
ที่ เดอะมอลล์ ทุกสาขา, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ และแคมเปญ "THE SHOPPERS RETURN" มอบโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ แทนคำขอบคุณและเป็นกำลังใจในการร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติโควิด -19 ทั้งส่วนลด และบัตรกำนัลจากแบรนด์และร้านค้าชั้นนำมากมาย สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต SCB M, SCB และ CITI BANK ทุกวันช้อปครบ 3,000 บาท
รับคืนสูงสุด 300 บาท พิเศษ เสาร์-อาทิตย์ ช้อปครบ 5,000 บาท รับคืนสูงสุด 800 บาท และอิ่มฟินกับ
THE MALL DINING ทุกวัน ทานครบ 700 บาท รับคืนสูงสุด 200 บาท พิเศษ วัน เสาร์-อาทิตย์ ซื้อ DINING VOUCHER 2,000 บาท รับ 2,400 บาท ระหว่างวันที่ 8 กันยายน – 28 ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ และ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา

ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมเปิดให้บริการตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 10.00 – 20.00 น. หรือช้อปผ่านช่องทาง MONLINE.COM และ GOURMETMARKETTHAILAND.COM, แชทผ่าน M CHAT & SHOP, โทรสั่งผ่าน CALL TO ORDER, ช้อปสบายผ่าน LIVE PERSONAL SHOPPER เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยสูงสุด อย่างเคร่งครัด มีความสะอาด ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกตารางเมตร และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้บริการด้วยหัวใจและมาตรฐานความปลอดภัยครอบคลุมทุกมิติ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.FACEBOOK.COM/THEMALLTHAILAND
#2830
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#2831
ข้อมูล หอพัก บ้านเช่า อพาร์ทเม้นท์ คอนโด หอพักสตรี หอพักชาย โีรงแรม รีสอร์ท จากทั่วประเทศ สะดวกในการค้นหาด้วยบริการแผนที่ทางดาวเทียม
#2832


ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-27 ส.ค.2564) พบว่า ดัชนี SET (SET Index) เพิ่มขึ้น 29.13 จุด หรือ 1.84% มาอยู่ที่ 1,611.20 จุด โดยดัชนีทยอยปรับขึ้นสู่ระดับ 1,600 จุด ภายหลังยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับตัวลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 2 หมื่นรายต่อวัน

นอกจากนี้ ในช่วงปลายสัปดาห์ SET Index ยังได้ปัจจัยหนุนจากที่ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดเล็กมีมติคลายล็อกดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด และในเวลาต่อมาที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่มีมติเห็นชอบให้ผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม มีผลวันที่ 1 ก.ย.นี้

ทั้งนี้ กลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นหนุนตลาดมากที่สุด นำโดย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) 9.07% กลุ่มปิโตรเคมี (PETRO) 5.79% และกลุ่มเหล็ก (STEEL) 5.52% ส่วนการซื้อขายแบ่งตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิสูงสุด 13,405.07 ล้านบาท กองทุน 8,070.18 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 2,568.00 ล้านบาท ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 24,043.25 ล้านบาท


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า ที่ประชุมศบค.ผ่อนคลายกิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆ ในพื้นที่สีแดงเข้ม ได้แก่ 1. อนุญาตให้นั่งทานอาหารในร้าน โดยร้านที่ติดแอร์ให้ใช้พื้นที่ได้ 50% และร้านที่ไม่ติดแอร์ใช้พื้นที่ได้ 75% 2. อนุญาตให้เปิดร้านตัดผม ร้านนวด (เฉพาะเท้า) สวนสาธารณะ และสถานออกกำลังกาย และ 3. ระยะเวลาเคอร์ฟิวยังคงเดิมที่ 21.00-04.00 ไปต่ออีกอย่างน้อย 14 วัน

โดยฝ่ายวิจัยมองเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทย และเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มร้านอาหารและศูนย์การค้า ได้แก่ M MINT CENTEL CPN และ CRC ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มเปิดเมือง (Reopen) คาดว่าบางกลุ่มธุรกิจที่รัฐบาลยังไม่ปลดล็อคจะมีกระแสเก็งกำไรในอนาคต หรือที่ปลดล็อคไปแล้วในช่วงก่อนหน้า คาดว่าจะยังมีกระแสบวกหนุนราคา

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยคาดว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้าและอสังหาริมทรัพย์พื้นที่ให้เช่า เช่น CPALL CPN CRC BJC และ HMPRO กลุ่มร้านอาหาร เช่น M และ ZEN กลุ่มร้านสินค้าไอที COM7 และ SPVI รวมถึงร้านสปา SPA เป็นต้น
#2833


ซอน เฮือง มิน ซัดฟรีคิกท้ายครึ่งแรก กลายเป็นประตูชัยให้ 'สเปอร์ส' เปิดบ้านเฉือนชนะ 'วัตฟอร์ด' 1-0 เก็บ 9 แต้มเต็ม ผงาดจ่าฝูงของตาราง

ศึกฟุต.พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021/22 วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2564 เป็นการลงสนามนัดที่ 3 'ไก่เดือยทอง' ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่ชนะในลีกมาสองเกมรวด เปิดบ้านพบกับ 'แตนอาละวาด' วัตฟอร์ด ที่ชนะมา 1 และแพ้ 1 นัด

เกมนี้ นูโน เอสปิริโต้ ซานโต้ ส่งแฮร์รี เคน เป็นตัวจริง ร่วมกับ ซอน เฮือง มิน พร้อมด้วย สตีเฟน เบิร์กไวจ์น ด้าน ซิสโก กุนซือวัตฟอร์ด เกมนี้ส่ง มุสซา ซิสโซโก เป็นตัวจริงเจอกับทีมเก่าทันที พร้อมด้วย อิสไมลา ซาร์, เอ็มมานูเอล เดนนิส และโจชัว คิง

เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 42 สเปอร์ส ออกนำ 1-0จากลูกฟรีคิก และเป็น ซอน เฮือง มิน กึ่งยิงกึ่งผ่าน .ตกพื้นก่อนเด้งเข้าประตูไป และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง สเปอร์ส ยังบุกหนัก และมีโอกาสหลายครั้งที่จะทำประตูเพิ่มแต่ยังเจาะไม่เข้า จบเกม 90 นาที ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เอาชนะ วัตฟอร์ด 1-0เก็บเพิ่มอีกสามคะแนน มี 9 แต้มเต็ม นำเป็นจ่าฝูง จากการชนะ 1-0 ทั้งสามนัด

จากชัยชนะดังกล่าวทำให้ 'ไก่เดือยทอง' คว้า 3 คะแนน 3 เกมติดต่อกันใน 3 นัดแรกของฤดูกาลแบบไม่เสียแม้แต่ประตูเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

รายชื่อ 11 ตัวจริง
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์: ฮูโก้ โยริส (GK), จาเฟ็ต ทังกานกา, ดาวินซอน ซานเชซ, เอริค ไดเออร์, เซร์คิโอ เรกีลอน, โอลิเวอร์ สคิปป์, ปิแอร์-เอมิล ฮอยแบร์กจ, เดเล อัลลี, ซอน เฮือง มิน, แฮร์รี เคน, สตีเฟน เบิร์กไวจ์น

วัตฟอร์ด : ดาเนียล บัคมัน(GK), เคร็ก แคธคาร์ต, วิลเลียม ทรูสต์-เอก็อง, ฟรานซิสโก้ เซียร์รัลตา, อดัม มาซินา, ปีเตอร์ เอเตโบ, อิสไมลา ซาร์, มุสซา ซิสโซโก, ยูราย คุชกา, เอ็มมานูเอล เดนนิส, โจชัว คิง


ส่วนผลอีกคู่ที่จบพร้อมกัน
เบิร์นลีย์ เสมอ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-1
#2834


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงสิงคโปร์ ในฐานะ Salesman ประเทศ ได้จัดการประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ (Singapore General Rice Importers Association) ผ่านระบบ Video Conference เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังสิงคโปร์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ที่ราคาข้าวไทยปรับตัวลดลง ทำให้มีโอกาสในตลาดสิงคโปร์และตลาดอื่นๆ ทั่วโลกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการรวบรวมข้อมูลความต้องการของประเทศผู้นำเข้าข้าวเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาสินค้าข้าวไทยให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อตามนโยบาย "ตลาดนำการผลิต" ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

โดยฝ่ายไทยได้แจ้งสถานการณ์การผลิตข้าวของไทยในปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอยู่ที่ประมาณ 32.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์  ส่งผลให้ปัจจุบันราคาข้าวไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่แข่งขันกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดียและเวียดนาม ได้มากขึ้น จึงขอให้สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2563

        
ด้านผู้แทนสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าวในสิงคโปร์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 สิงคโปร์นำเข้าข้าวรวมลดลงเนื่องจากยังมีสต็อกข้าวที่เหลือจากปี 2563 ที่ผู้นำเข้าได้เร่งนำเข้าข้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีปริมาณข้าวมากเกินความต้องการในตลาด สำหรับสาเหตุที่สิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมาจากสาเหตุหลัก คือ ราคาข้าวไทยมีความผันผวนมากทำให้ผู้นำเข้าข้าววางแผนการตลาดค่อนข้างยาก ผู้นำเข้าข้าวบางส่วนจึงหันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามที่มีเสถียรภาพด้านราคาแม้ว่าคุณภาพจะด้อยกว่าข้าวไทย นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานอินเดียในสิงคโปร์ที่มีมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ความต้องการของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาข้าวไทยปรับตัวลดลงอย่างมากโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยที่ปรับตัวลดลงในระดับที่จูงใจให้นำเข้าเพิ่มขึ้น นอกจากปัจจัยบวกทางด้านราคาแล้ว ผู้บริโภคในสิงคโปร์ยังคงเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานของข้าวไทยที่สูงกว่าข้าวจากแหล่งอื่น ประกอบกับคาดว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในช่วงเดือนก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีความต้องการข้าวไทยจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ข้าวกล้อง ข้าวเพื่อสุขภาพของไทยได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลสิงคโปร์ได้รณรงค์ให้ชาวสิงคโปร์หันมาบริโภคข้าวกล้องแทนข้าวขาวเพื่อลดอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศ โดยมีการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้นำเข้าในการประชาสัมพันธ์ข้าวดังกล่าวกับผู้บริโภค ดังนั้น หากราคาข้าวไทยมีเสถียรภาพและยังปรับตัวอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เช่นในปัจจุบัน คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีการนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งสมาคมฯพร้อมสนับสนุนข้าวไทยและช่วยส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดสิงคโปร์ต่อไป

นายกีรติ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้กรมฯ ไม่สามารถจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและภาคเอกชนไทยเดินทางไปเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศได้ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการประชุมหารือผ่านระบบ Video Conference เพื่อให้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยที่ผ่านมากรมฯ ได้จัดการประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกง ผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ และหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของมาเลเซีย (BERNAS) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกรมฯ มีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้นต่อไป
#2835


ภาพจาก AFP
คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในขณะที่คนมากมายทั่วโลกต้องการวัคซีนเหลือเกิน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลังเลหรือปฏิเสธวัคซีน ทำให้ความหวังที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นไปได้ยากขึ้น สัปดาห์นี้เรามาดูกันว่าอะไรทำให้คนญี่ปุ่นและคนอเมริกันบางกลุ่มไม่ยอมฉีดวัคซีน และการเลือกเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกันนำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายอย่างไรบ้าง

กลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน

หนึ่งในเหตุผลที่คนกังวลเกี่ยวกับวัคซีนมากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น คนญี่ปุ่นจะกลัวว่าฉีดแล้วอาจเป็นภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลันแบบบางคนที่เห็นในข่าว (ซึ่งที่จริงอาการนี้สามารถเกิดจากการแพ้ยา อาหาร และแมลงสัตว์กัดต่อยได้ด้วย ไม่ใช่จากวัคซีนโควิดเท่านั้น) หรือกลัวว่าอีก 10-20 ปีผลข้างเคียงอาจจะเริ่มส่งผลแบบที่บางคนเจอจากวัคซีนบางตัวในอดีตที่ผ่านมา

นอกจากนี้การพัฒนาวัคซีนโควิดภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งวัคซีนที่ใช้ในญี่ปุ่นและอเมริกาส่วนใหญ่เป็นวัคซีน mRNA ซึ่งนำมาใช้กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และยังไม่แน่ว่าจะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวอย่างไรบ้าง จึงทำให้คนรู้สึกว่าฉีดวัคซีนเสี่ยงอันตรายกว่าเสี่ยงรับเชื้อโควิดเลยไม่อยากฉีด

ไม่เข้าใจการทำงานของวัคซีน

คนจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่าเมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคใดแล้วจะไม่เป็นโรคนั้น เช่น คิดว่าถ้าฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วก็จะไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือฉีดวัคซีนโควิดแล้วจะไม่ติดโควิด ทำให้บางคนคิดว่าถ้าฉีดวัคซีนแล้วยังติดโรคได้อีกจะฉีดไปทำไม หรือบางคนก็คิดว่าขนาดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่เคยฉีดก็ยังไม่เคยติดไข้หวัดใหญ่เลย จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องฉีดป้องกันโควิดก็ได้

แต่ในความเป็นจริงวัคซีนโควิดไม่ได้ป้องกันโควิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา จากที่อาจร่อแร่เสี่ยงตายเมื่อติดโควิดก็อาจจะอาการไม่หนักมากนัก อย่างญี่ปุ่นเองก็พบผู้ติดโควิดจำนวนหนึ่งหลังฉีดวัคซีนครบโดสในช่วงเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ไม่มีคนที่อาการหนักเลย ส่วนอเมริกาพบผู้ติดเชื้อปะทุในรัฐที่อัตราการฉีดวัคซีนต่ำ คนที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉินเกือบหมดคือคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน สิ่งเหล่านี้จึงพอบ่งบอกได้ว่าการฉีดวัคซีนน่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้จริง

ข้อมูลลวงโลก

ที่ญี่ปุ่นมีข่าวแพร่สะพัดไปในสื่อสังคมออนไลน์มากมาย อาทิเช่น วัคซีนโควิดจะเปลี่ยนดีเอ็นเอบ้าง ทำให้เป็นหมันบ้าง มีไมโครชิปฝังอยู่บ้าง หรือทำให้ร่างกายมีสภาพเหมือนแม่เหล็กบ้าง เชื่อกันว่าญี่ปุ่นรับข้อมูลเหล่านี้มาจากทางอเมริกาซึ่งมีข่าวลวงลักษณะเดียวกันเป๊ะ และยังมีข้อมูลเท็จอื่น ๆ อีกจำนวนมากทั้งในญี่ปุ่นและอเมริกา

ข้อมูลเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลือกไม่ฉีดวัคซีนของประชาชน เชื่อว่าตัวเองจะไม่ติดหรือติดก็อาการไม่หนัก คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งเห็นว่าคนวัยเดียวกับตนที่ติดโควิดแล้วอาการหนักมีน้อย จึงชะล่าใจว่าตนเองไม่เป็นไร แค่สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เช็ดแอลกอฮอล์ ก็พอแล้ว 

บางคนก็คิดว่าไม่อยากรับสารเคมีอะไรเข้าร่างกาย อยากใช้วิถีธรรมชาติบำบัด กินอาหารมีประโยชน์ ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ก็คงไม่ติดโควิดเอง หรือบางคนแม้จะเห็นข่าวว่าผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่เห็นคนใกล้ตัวติดโควิดขึ้นมา ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าวันหนึ่งตัวเองอาจติดโควิดได้

อีกอย่างที่สำคัญคือ คนประเมินคำว่า "อาการน้อย" กับ "อาการรุนแรง" ต่ำไป ต่อให้มีอาการน้อย คนที่เคยเป็นแล้วก็บอกว่า
"เป็นสภาพที่ทรมานที่สุดในชีวิต" ส่วนอาการรุนแรงหมายถึง "สภาพที่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย"

อาจารย์หมอชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งกล่าวว่าจำเป็นต้องให้คนเข้าใจชัดเจนว่าเราฉีดวัคซีนกันไปเพื่ออะไร และต้องให้คนหนุ่มสาวเห็นข้อดีของการฉีดวัคซีนครอบคลุมในวงกว้าง เช่น มาตรการต่าง ๆ จะผ่อนคลายลง สามารถไปดื่มกินตามร้านอาหารได้ ไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญเองก็ต้องวางแผนผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ไปตามอัตราการฉีดวัคซีนด้วย

หายนะที่มาพร้อมเสรีภาพในการไม่ฉีดวัคซีนของคนอเมริกัน

การประท้วงเรียกร้องเสรีภาพที่จะไม่ฉีดวัคซีนเกิดขึ้นหลายแห่งในสหรัฐฯ โดยมองว่าการให้ฉีดวัคซีนหรือบังคับสวมหน้ากากอนามัยเป็นการริดรอนเสรีภาพและเป็นเผด็จการ อีกทั้งผู้นำทางการเมืองในรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับต้น ๆ ก็ให้การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพที่สวนกระแสกับนโยบายด้านสาธารณสุขเช่นนี้

บางรัฐที่ผู้ติดเชื้อสูงอันดับต้น ๆ อย่างฟลอริดา ถึงกับห้ามโรงเรียนบังคับสวมหน้ากากอนามัย และยังขู่จะตัดงบโรงเรียนซึ่งไม่ยอมทำตามอีกด้วย


น่าเศร้าที่คนอเมริกันส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธวัคซีนหรือยังลังเลที่จะฉีด บัดนี้กำลังเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายเมื่อตนเองหรือคนในครอบครัวติดโควิดขึ้นมาจากการไม่ฉีดวัคซีน อีกทั้งการระบาดก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ จนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐ​ ฯ ถึงกับขนานนามการระบาดครั้งล่าสุดว่าเป็น "การระบาดของกลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีน" เลยทีเดียว

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการติดโควิดให้สัมภาษณ์สื่อว่า เธอมัวแต่เชื่อข่าวลือว่ารัฐบาลจะเอาอะไรก็ไม่รู้มาฝังในร่างกายประชาชน หรือไม่ก็คิดว่าวัคซีนนี้ยังมีการศึกษาไม่มากพอ เลยไม่ยอมไปฉีดวัคซีน พอเธอติดโควิดและทรมานจากการที่ร่างกายเหลือออกซิเจนเพียง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ได้คิดว่าตัวเองโง่ที่ไม่ยอมฉีด เพราะถ้าฉีดแล้วเธอก็คงไม่ต้องทรมานอย่างนั้น แล้วครอบครัวก็ไม่ต้องทุกข์ไปกับเธอด้วย แม้ตอนนี้จะรอดตาย แต่เธอยังคงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ที่บ้าน จะเดินไปไหนมาไหนหรืออาบน้ำต้องให้ลูกคอยช่วยเหลือ เธอคนนี้ตั้งใจจะไปฉีดวัคซีน และจะให้ทุกคนในบ้านฉีดด้วย


บางคนไม่ถึงขนาดคิดว่าจะไม่ฉีดวัคซีน เพียงแต่ยังหาเวลาไปฉีดไม่ได้ หรือกลัวว่าถ้าฉีดแล้วไข้ขึ้นหรือปวดแขนขึ้นมาก็ทำให้ต้องลางาน หรือบางคนก็รอดูสถานการณ์ก่อนว่าคนอื่นไปฉีดแล้วปลอดภัยไหม ปรากฏว่าติดโควิดเสียก่อน คุณหมอซึ่งอยู่ในรัฐที่มีผู้ติดโควิดอันดับต้น ๆ ของอเมริกาบอกว่า ได้ยินมาเยอะแล้วที่พอคนไข้มาถึงมือหมอ ก็บ่นเสียใจที่ตัวเองไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่เนิ่น ๆ

ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ป่วยมาโรงพยาบาล พอหมอแจ้งว่าติดโควิดก็หาว่าหมอโกหก และบางคนแม้จะอาการหนักอยู่โรงพยาบาลก็ยังบอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าวัคซีนปลอดภัยจริงไหม จะเปลี่ยนดีเอ็นเอหรือทำให้เป็นหมันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ บ้างก็ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีนว่าจะป้องกันโควิดได้

คุณหมอท่านหนึ่งพูดว่า "ผมหงุดหงิดที่เรามาถึงจุดที่เราให้ค่ากับข่าวลือผิด ๆ ทัดเทียมกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ มันไม่เท่ากันสักหน่อย...และเราก็แพ้ในการสู้รบกับข้อมูลเท็จพวกนี้" ในขณะที่พยาบาลคนหนึ่งบอกว่า "คนเชื่อข้อมูลที่ส่งต่อกันทางโซเชียลง่ายมาก ทั้ง ๆ ที่คนให้ข้อมูลเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย" หมออีกคนกล่าวว่า "ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่หมอพบว่าวัคซีนเป็นสิ่งที่ใคร ๆ พากันเยาะเย้ยเหยียดหยาม"


ทุกวันนี้การไม่ฉีดวัคซีนของคนกลุ่มหนึ่งกำลังสร้างหายนะให้คนอเมริกันทั้งประเทศ ยิ่งในรัฐที่อัตราคนฉีดวัคซีนน้อย หมอและพยาบาลก็ยิ่งต้องรับมือกับผู้ป่วยโควิดล้นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำงานแทบไม่ได้หยุด ทั้งเครียด ทั้งสงสารคนป่วยและครอบครัว ส่วนผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ก็ไม่สามารถรับการรักษาหรือผ่าตัดที่โรงพยาบาลได้เพราะเตียงล้นไปด้วยผู้ป่วยโควิด อีกทั้งหมอพยาบาลก็ไม่เพียงพอ สาธารณชนพากันตั้งคำถามว่าในเมื่อบางคนเลือกจะไม่ฉีด ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ พอติดโควิดขึ้นมาทำไมจึงมาพึ่งการแพทย์ที่พวกเขาดูถูก ทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อนเช่นนี้

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐ ฯ ทำการสำรวจครั้งใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าการระบาดของโควิดทำให้บุคลากรทางการแพทย์เกินครึ่งหนึ่งมีํปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานนานหลายชั่วโมงและไม่สามารถหาเวลาพักผ่อนได้ อาการเหล่านี้ได้แก่ ความเครียด ความกังวล ความคิดฆ่าตัวตาย และโรคเครียดหลังเหตุการณ์ร้ายแรง

เมื่อต้นสัปดาห์ที่อเมริกาได้เผยแพร่คลิปวีดีโอสั้นชื่อ "Dying in the Name of Vaccine Freedom" (ตายในนามของเสรีภาพเรื่องวัคซีน) โดยสัมภาษณ์คนในเมืองที่มีอัตราฉีดวัคซีนต่ำมาก รวมถึงคนที่อยู่บนเตียงโรงพยาบาลเพราะติดโควิดโดยไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย ฉันรู้สึกโดนใจที่เขาบอกว่า "เสรีภาพของคนคนหนึ่งอาจนำมาซึ่งความตายของอีกคนหนึ่ง" อยากให้ลองดูกันค่ะ เป็นสารคดีสั้น ๆ ที่สื่อสารได้ดียิ่งว่าเสรีภาพเรื่องวัคซีนนำมาซึ่งอะไรบ้าง และทางออกจะอยู่ที่ใด
#2836


นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน "ศบค." (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) เตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจน้อยใหญ่หลายระลอก หวังลดแรงกดดันจากภาคธุรกิจที่ร้อนรนจนนั่งไม่ติด ขณะที่ภาคประชาชนเอง ก็กำลังจะอกแตกตาย เพราะไม่ได้ช้อปปิ้ง กินข้าวนอกบ้าน ระบายความเครียดสะสมจากสถานการณ์โควิด-19

ประกอบกับ "คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ" ประเมินว่า โควิด-19 น่าจะแตะจุดพีคไปแล้ว ประเทศไทยสมควรจะปรับโหมดการเปลี่ยนผ่านจาก "ภาวะวิกฤต" มาสู่ "ฤดูกาลแห่งการเรียนรู้" ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับโควิด-19 ต่อไป (Smart Control and Living with Covid-19)

ดูเหมือนว่าในก้าวจังหวะที่โควิด-19 กำลังเปลี่ยนสถานะจาก "โรคระบาด" มาสู่ "โรคประจำถิ่น" ในโลกของธุรกิจเองก็กำลังสปีดตัวเอง เปลี่ยนผ่านองค์กรจาก "ปัจจุบัน" สู่ "อนาคต" เพื่อการเรียนรู้ และใช้ชีวิตร่วมกับดิจิทัลราวกับสมูทตี้

"ถ้าองค์กรจะผ่านโควิด-19 ไปให้ได้ ต้องดูประโยชน์หลักๆ ในภาพรวม แล้วจัดลำดับความสำคัญ เอาเทคโนโลยีโลยีมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลที่มันซ้ำๆ อย่าสิ้นเปลืองแรงงานคน" ปฐมา จันทรักษ์ Vice President for Indochina Expansion & Managing Director IBM มองทางรอดเพียงหนึ่งเดียว ท่ามกลางสถานการณ์ที่เดายาก

ถึงแม้โควิด-19 จะสร้างความมึนอึนไปทั่วโลก แต่ยุคเฟื่องขององค์กรและพนักงานหลังโควิด-19 จบซีซันส์ ก็ยังเป็นไปได้ ท่ามกลางคนตกงานนับล้านคน ทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าที่เดินชนกันให้ควั่ก

ปฐมาวิเคราะห์แนวโน้มที่สำคัญ จากการบรรยายในหัวข้อ "Thriving in the Post Covid-19 Era : Organizations & Workforce" (virtual conference) ในงาน Learning Development Forum 2021 จัดโดย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2564 ว่า

องค์กรเริ่มเหนื่อยล้าจากการมาของโควิด-19 เปรียบเหมือนก็อตซิลล่าที่ฟาดหัวฟาดหางถล่มเมือง พ่นไฟทำลายล้างแล้วจากไป ทิ้งโลกที่ไม่เหมือนเดิมเอาไว้ข้างหลัง

"โลกเปลี่ยนแปลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างปิด เราไม่เคยเจอแบบนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้โลกชัทดาวน์ สายการบินชะงัก การเดินทางหยุดนิ่ง โรคระบาดสร้างการช็อกโลก เกิดอะไรขึ้นบ้าง? สถานการณ์คนตกงาน รอตังค์ รอความช่วยเหลือ รอติดโควิด-19 รอตรวจ รอเตียง โรงพยาบาลเต็ม รอเตาเผา

ทำยังไงถึงจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยกัน หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์กรพยายามปรับตัว แต่ผลกระทบมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในอเมริกาเองในบางรัฐ ช่วงนี้ก็ต้องกลับมาใส่หน้ากากอนามัยกันใหม่ ผู้คนเริ่มติดเชื้อมากขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการปรับตัวในหลายองค์กรอย่างมาก"

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ การปรับกลยุทธ์เป็นพัลวัน พนักงานต้องเปลี่ยนเก้าอี้นั่งจากที่ทำงานเป็นที่บ้าน การใช้เทคโนโลยีไม่ซ้ำแบบในองค์กร ทั้งระบบการทำงานอัตโนมัติ การจัดเก็บเนื้องานไว้ที่คลาวด์ และมีคนทำงานไม่น้อยกว่า 340 ล้านคนทั่วโลก ตกงานในชั่วข้ามคืน

แนวโน้มการจัดการองค์กรปี 2020 แม้ว่าจะมีโควิด-19 มาฮึ่มๆ แต่หลายองค์กรก็ยังมองโลกสวย มองไปที่การแข่งขัน การสร้างแพลทฟอร์ม การเอาเทคโนโลยีควอนตัมมาจัดเก็บข้อมูล การสร้างพนักงานให้เก่งและเข้าถึงใจลูกค้า และเรื่องของทักษะการทำงานที่บ้าน แต่พอมาปี 2021 นี้ สถานการณ์ที่บีบรัด ทำให้ทั้งคนและองค์กรต้องขยันปรับตัว ภายใต้ 5 เทรนด์ที่สำคัญคือ

1. ความไม่เท่าเทียมกันของแต่ละประเทศ ความแตกต่างทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบให้บริการและสวัสดิการภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการกักตุนวัคซีน เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด

"ไอบีเอ็มให้พนักงานทำงานที่บ้านมา 19 เดือนแล้ว เป็นการเตรียมความพร้อม ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย จนกลายเป็น black swan event (เหตุการณ์ที่มีความร้ายแรง แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เหมือนที่คนคิดว่าโลกนี้มีแต่หงส์ขาว แล้วจู่ๆ หงส์ดำก็โผล่มา) ความรุนแรงที่ฉุดไม่อยู่นี้ แม้แต่ดิสนีย์ยังต้องตัดใจเลย์ออฟพนักงานสวนสนุก บางองค์กรก็ให้พนักงานลาออกแบบสมัครใจ หรือไม่ก็พักงานโดยไม่มีค่าจ้าง บางประเทศพิมพ์แบงก์เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าผู้นำต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอ เผื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด"

2. Work From Home (WFH) ไม่ได้เวิร์กสำหรับทุกคน บางคนสนุกกับการทำงานจากบ้านในช่วงแรกๆ เพราะไม่ต้องเดินทาง แต่พอต้องนั่งติดเก้าอี้เป็นวันๆ ก็เริ่มตระหนักว่า การทำงานจากบ้าน งานไม่ได้น้อยลงเลย ติดแหง็กกับการประชุมและงานตรงหน้า กระดิกไปไหนไม่ได้ กระทบกับสุขภาพ และภาวะจิตใจจนแทบซึมเศร้า

3. Supply Chain เริ่มส่งผลกระทบรุนแรง หลายโรงงานต้องปิดตัวลง เพราะพนักงานติดโควิด-19 ทำให้อยู่นอกเหนือการควบคุม ทำอย่างไรให้องค์กรสามารถกำหนดอนาคตตัวเองได้ หรือนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อไม่ให้กระบวนการผลิตสะดุด

4. แพ้หรือชนะขึ้นกับเทคโนโลยี หลายองค์กรจะแพ้หรือชนะ หรือจะผ่านจากฝันร้ายโควิด-19 ไปได้ ขึ้นกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ สร้างการแข่งขันให้เกิดขึ้น โดย 400% ขององค์กร ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ สามารถก้าวข้าม หรือรับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดได้

"วันนี้โลกเสมือนกลายเป็นของจริง เกิดการยอมรับมากขึ้น ฟิตเนสออนไลน์ทำให้ราคาถูกลงจาก 3,000 บาท เหลือ 89 บาท"

5. เหตุการณ์หลักยังคงต่อเนื่อง แม้โควิด-19 จะหายไปแล้ว แต่การปรับเปลี่ยนจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนใน 5 เหตุการณ์ย่อยคือ

5.1 โควิด-19 เป็นตัวเร่งการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งในแง่ความเร็ว การอัดฉีดเงินลงทุนทางด้านดิจิทัล โดยไม่ได้ช้อปปิ้งเทคโนโลยีแบบไก่กา แต่เลือกเอาตัวท็อปๆ มาใช้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้องค์กร โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติ

5.2 การทำงานทางไกลจะมาแรง (remote working) การทำงานร่วมกันทั้งองค์กรแต่ไม่เจอกันตัวเป็นๆ HR จะบริหารแรงงานที่กระจัดกระจายอย่างไร?

"กรมสรรพากร เป็นตัวอย่างที่ดี ในการใช้เทคโนโลยีโลยีเข้ามาปรับกระบวนการทำงาน โดยเริ่มต้นจากให้ผู้บริหารเปลี่ยนชุดความคิด (mindset) เอาผู้บริหารมาทำเวิร์กชอป เอาแนวคิด outside in มาช่วยขับเคลื่อนระบบการให้บริการ ที่ตรงเป้า ตรงกลุ่ม ตรงใจ ช่วงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด กรมสรรพากรเตรียมความพร้อม จนไม่สะดุดงานบริการเสียภาษี"

การที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงประสบความสำเร็จ ในกรณีที่ผู้บริหารเอาเทคโนโลยีมาใช้ แต่คนในองค์กรยังไม่พร้อม คือ

1. เพิ่มความสามารถ

2. ลองผิดลองถูก

3. เปลี่ยนแปลงปรับตัว

"ความท้าทายขององค์กร ที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนขององค์กรเอง ทักษะพนักงานที่ไม่เพียงพอ การทำงานล้นมือ จะไม่เกิดถ้าเอาเทคโนโลยีมาใช้ และฝึกฝนพนักงานให้มีความพร้อม ซึ่งจะทำให้อีก 2 ปีข้างหน้า องค์กรได้ปรับปรุงเรื่องการให้บริการ และทำให้พนักงานพึงพอใจเพิ่มขึ้นถึง 23%"

"Spotify" เป็นตัวอย่างขององค์กรที่ mix & match พนักงานกับเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยใช้แนวคิด people driven เปลี่ยนวัฒนธรรมการคิด เปลี่ยนมุมมองการทำงาน รองรับความแตกต่างของผู้ใช้งานยุคใหม่ โดยตั้งทีมเล็กๆ ที่เรียกว่า "speed boat" ให้ทำงานคล่องตัวมากขึ้น ทำงานแบบเร็วๆ ใช้กำลังคนเพียงแค่ 6-12 คน

การขับเคลื่อนองค์กร เริ่มจากคำแรกคือ ทำอย่างไรให้ง่ายขึ้น ผู้ฟัง Spotify สามารถปรับเลือกฟังเฉพาะเพลงที่ชอบ เปิดกว้างให้พนักงานบริหารเวลาทำงานได้เอง ให้พนักงานแสดงความคิดเห็นได้เสรี โดยไม่ตีค่าว่าความคิดเห็นอันไหนผิด ทำให้พนักงานหัดทดลองทำ ต่อให้สถานการณ์ย่ำแย่ขนาดไหน พนักงานก็ไม่หยุดลองผิดลองถูก ทำให้ Spotify เป็นองค์กรก้าวผ่าน เตรียมความพร้อมให้พนักงานทำงานได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

5.3 ความเครียดเป็นสาเหตุสังเกตุได้ ไอบีเอ็มมองว่าความเครียดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันสามารถ hijack กลยุทธ์องค์กรได้ ความเครียดจากการทำงานหนัก ทำให้พนักงาน 60% ยื่นข้อเรียกร้องว่า ถ้าสถานการณ์โควิด-19 กลับมาปกติ คนกลุ่มนี้ขอทำงานที่บ้าน 1 วัน เพื่อบำบัดภาระงานที่ตึงเครียด

"วันนี้ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์มากขึ้น supply chain หลายองค์กรเตรียมความพร้อมให้องค์กรลดต้นทุน มีกระแสเงินสด ปตท.เทรดดิ้ง เป็นอีกตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีโลยี และ AI มาใช้ เสริมประสิทธิภาพใหม่ๆ สนับสนุนกระบวนการ ที่ช่วยให้พนักงานลดขั้นตอนการทำงาน ลดโหลดการทำงานจากที่บ้าน ได้ 5 เท่า ภายใน 3 ปี และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้องค์กรได้ 17 ล้านบาท"

5.4 ไม่มีองค์กรไหนทำงานเพียงลำพังอีกต่อไป ทำอย่างไรองค์กรถึงจะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสร้างโอกาส "Airbnb" เป็นตัวอย่างที่ดีของการอธิบายแนวคิดนี้

ผู้บริหาร Airbnb ประกาศว่า แม้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เราจะกลับมาใหม่ และถึงแม้ว่าโรคระบาดจะยังคงมีต่อเนื่อง และวันนี้ถึงแม้ลูกค้าจะไม่ได้ใช้บริการ Airbnb แต่ก็ขอให้เชื่อมั่นในเรา

Airbnb มองว่า โลกยุคใหม่ เทคโนโลยีสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกให้กับพนักงาน แต่สามารถเอาแนวคิดภูมิทัศน์ มาปรับใช้กับการทำงานทุกภาคส่วน ร่วมกับธนาคาร เปิดให้บริการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวก จับมือไขว้กันไปมาระหว่างอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และเอ็นจีโอ มองเป็นภาพเดียวกันคือ ระบบนิเวศทางธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

5.5 นำความยั่งยืนมาใช้กับกลยุทธ์องค์กร เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่แคลิฟอร์เนีย น้ำแข็งขั้วโลกละลาย วิกฤติสภาพอากาศ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องแก้ไข ไม่ใช่มีแต่โรคระบาด การจัดการภัยพิบัติโดยใช้เทคโนโลยีโลยีจึงสำคัญ

"ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ก๊าซเรือนกระจก ดักจับคาร์บอน เอาเทคโนโลยี เอา AI มาเร่งหาดักจับคาร์บอนในพื้นที่ต่างๆ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่เอาเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร แต่มาใช้ในการรวบรวมข้อมูลสภาพอากาศ ดาวเทียม แพลทฟอร์มต่างๆ เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ"

อีกตัวอย่างอินเทรนด์ที่ไม่ควรมองข้ามคือ ยุคเรืองรองของ gig economy (เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ โดยเน้นการจ้างงานในรูปแบบชั่วคราว สัญญาจ้าง ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่คนที่ทำธุรกิจส่วนตัวแบบที่ไม่มีลูกน้อง)

gig economy ก่อร่างสร้างตัวจาก 3 ปัจจัยคือ

1. สังคมออนไลน์ งานฟรีแลนซ์

2. เศรษฐกิจแบ่งปัน เอาของที่มี มาให้คนอื่นได้ใช้

3. ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่

แมกเคนซี่ บอกว่า gig economy มีประชากรสายพันธุ์นี้อยู่ทั่วโลก 68 ล้านคน แต่ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับอาชีพอิสระ

งานวิจัยในออสเตรเลีย บอกว่า คนอายุ 18-19 ปี เริ่มเข้าสู่การทำงาน และ 70% ของงาน ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ

การที่จะทำให้คนทำงานวัยใสมีลู่วิ่งต่อไปได้ องค์กรต้องคำนึง 3 เรื่องคือ

1. เอาระบบอัตโนมัติมาใช้

2. ให้คนทำงานทำอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้

3. ทำอะไร? ทำที่ไหน? ทำอย่างไร?

ถือเป็น 3 เรื่องที่สำคัญสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ในยุคที่ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งงานที่เดียวอีกต่อไป

"ถ้าองค์กรจะผ่านโควิด-19 ไปให้ได้ ต้องดูประโยชน์หลักๆ ในภาพรวม แล้วจัดลำดับความสำคัญ เอาเทคโนโลยีโลยีมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลที่มันซ้ำๆ อย่าสิ้นเปลืองแรงงานคน"

อย่าลืมนะ

URL



 
#2837


นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ภายใต้นโยบาย "MTL Trusted Lifetime Partner" และด้วยสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการแพร่ระบาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ พร้อมดูแลลูกค้าคนสำคัญ เพื่อให้สามารถผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน

โดยบริษัทฯ ขอมอบความอุ่นใจสำหรับลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยความคุ้มครองการรักษาผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลคู่สัญญา 337 แห่ง รวมถึงหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ที่เครือข่ายโรงพยาบาลคู่สัญญา เปิดให้บริการ และโรงพยาบาลสนาม (Field Hospital) ตามเกณฑ์การส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นทางและได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งขึ้นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยให้คุ้มครองกรณีการเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน (IPD) สำหรับผู้ป่วย COVID-19 ตามผลประโยชน์ความคุ้มครอง ทั้งประกันสุขภาพรายบุคคลและรายกลุ่ม ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยรายวันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

สำหรับผู้ป่วยโรคทั่วไป บริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมทีมงาน "MTL Health Buddy" ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร สิทธิพิเศษที่มอบให้เฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ที่พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ค้นหาศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ทำการ นัดหมาย ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสิทธิพิเศษแบบเหนือระดับอีกมากมาย เพียงโทรเข้ามาที่ 02-290-2424 จากนั้นแจ้งข้อมูลและความต้องการใช้บริการหรือข้อมูลด้านสุขภาพที่ต้องการแก่ MTL Health Buddy ได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาลคู่สัญญาที่มี Hospitel ให้บริการ ได้ที่ www.muangthai.co.th หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ โทร. 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อเครือข่ายโรงพยาบาลคู่สัญญาได้โดยตรง

หมายเหตุ:
- การพิจารณาเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และ Hospitel เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และได้รับการประเมินอาการโดยสถานพยาบาลต้นทางแต่ละแห่ง
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์
#2838


มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ อาร์เซนอล กล่าวขอโทษสาวกแฟน.ที่ทำให้ผิดหวัง ในเกมที่บุกไปโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี ถล่มย่อยยับ 0-5 จนทำให้ทีมพบพานกับสถิติที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์

พลพรรค 'ปืนโต' ออกสตาร์ทซีซั่นด้วยความปราชัยในพรีเมียร์ ลีก 3 นัดรวดเป็นครั้งแรกในรอบ 67 ปี หลังบุกไปเจอทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เล่นงานถึง 5 ประตู แถมยังเหลือ 10 คนเพราะ กรานิต ชาก้า เสียบคู่แข่งจนโดนใบแดงไล่ออก

ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ อาร์เซนอล หล่นไปนอนอยู่บ๊วยของตารางโดยไม่มีแม้แต่แต้มเดียว ซึ่ง อาร์เตต้า ก็ออกมาขอโทษที่ทำให้สาวก 'กันเนอร์ส' ต้องเจอกับผลงานย่ำแย่ และหวังว่าหลังหมดพักเบรคทีมชาติ ทีมจะกลับมาแก้ไขผลงานได้ดีกว่านี้

อาร์เตต้า เผยเรื่องนี้ว่า 'ผมขอโทษที่พวกเราไม่สามารถให้ผลการแข่งขันตามที่แฟน.ต้องการได้ในตอนนี้ และเราจำเป็นต้องแก้ไข มันเป็น 3 สัปดาห์แรกที่หนักหนา และทุกสิ่งก็เกิดขึ้นได้เสมอ'

ส่วนจังหวะที่ ชาก้า โดนใบแดงไล่ออกจนนำมาสู่การเสียประตูยับเยินช่วงครึ่งหลัง กุนซือชาวสเปน เผยว่า 'ผมโกรธมากเพราะมันสร้างผลกระทบอย่างสูงที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น และผมก็ผิดหวังกับประตูที่สองที่เราเสียไปเพราะนักเตะปล่อยให้อีกฝ่ายมายิงได้ง่ายๆ'
#2839


นับเป็นครั้งแรก รัฐบาลเนปาล อนุมัติการทดลองทางคลินิกในประเทศให้กับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 "เออาร์โควี" (ARCoV) ร่วมพัฒนาโดยซูโจว อ้ายโป๋ ไบโอไซเอนซ์ (AbogenBio), สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (AMMS) สังกัดสถาบันวิทยาการทหาร และบริษัท วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (Walvax Biotechnology)

ดร. ประดิป เกียนวาลี หัวหน้าผู้บริหารสภาวิจัยสุขภาพเนปาลเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) อนุญาตให้ บริษัทจีน (วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี) และพันธมิตรในท้องถิ่นอย่างบริษัท เดียราลี-จันตา ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (Deurali-Janta Pharmaceutical) ดำเนินการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ของวัคซีนดังกล่าวในเนปาล"สภาวิจัยสุขภาพเนปาลได้รับเอกสารเกี่ยวกับข้อเสนอในการทดลองทางคลินิกจากบริษัทจีนเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน โดยหลังจากตรวจสอบแล้วว่าวัคซีนดังกล่าวปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ก็ได้ส่งเอกสารต่อไปยังกระทรวงสาธารณสุขและคณะรัฐมนตรีที่ให้การอนุมัติแล้ว" เกียนวาลีกล่าว

"หลังจากบริษัทจีนได้รับใบอนุญาตจากกรมควบคุมยา (DDA) เราจะออกจดหมายอนุญาตให้ทำการทดลองระยะที่ 3 ของวัคซีนดังกล่าว" นามิตา กีเมอร์ (Namita Ghimire) สมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 ส.ค.)

เกียนวาลีระบุว่า วาลแว็กซ์ ไบโอเทคโนโลยี และพันธมิตรสัญชาติเนปาลได้เสนอการทดลองทางคลินิกกับประชาชน 3,000 คนที่สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพบีพี คอยราลาของรัฐบาลเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดารันทางตะวันออกของประเทศ

เนปาลได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสอง และต้องอาศัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากภายนอกเพื่อฉีดให้กับประชากรที่มีอยู่ 30 ล้านคน โดยปัจจุบันมีประชาชนชาวเนปาลได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว 4.98 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้รับวัคซีนครบสองโดส 3.9 ล้านคน

ช่วงต้นเดือนส.ค.นี้ รัฐบาลเนปาลประกาศมาตรการจูงใจให้บริษัทในประเทศ และต่างประเทศดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนในเนปาลเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และโรคติดเชื้ออื่นๆ ซึ่งเกียนวาลีกล่าวถึงประเด็นนี้ว่าจะช่วยให้เนปาลเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้ง่ายยิ่งขึ้น
#2840


กรมการค้าต่างประเทศจับมือสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และทูตพาณิชย์จัดประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ติดตามสถานการณ์ความต้องการ และแนวโน้มการส่งออกข้าว ผู้นำเข้าเผยหลังบาทอ่อนข้าวไทยจะแข่งขันได้ดีขึ้น หลังราคาปรับตัวลดลง ข้าวหอมมะลิมีโอกาสมาก เหตุคุณภาพดี และจะมีการเลิกล็อกดาวน์ ก.ย.นี้ ชี้ข้าวกล้อง ข้าวเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมากรมฯ ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงสิงคโปร์ จัดการประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ (Singapore General Rice Importers Association) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามสถานการณ์ข้าวไทยในตลาดสิงคโปร์ ความต้องการนำเข้าข้าวของสิงคโปร์ และการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังสิงคโปร์ในช่วงที่เหลือของปีนี้

ในการประชุม ทั้ง 2 ประเทศได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าว โดยไทยได้แจ้งสถานการณ์การผลิตข้าวของไทยในปี 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอยู่ที่ประมาณ 32.00-33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ปัจจุบันราคาข้าวไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่แข่งขันกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย และเวียดนามได้มากขึ้น จึงขอให้สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2563

ทั้งนี้ ผู้แทนสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าวในสิงคโปร์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 สิงคโปร์นำเข้าข้าวรวมลดลง เนื่องจากยังมีสต๊อกข้าวที่เหลือจากปี 2563 ที่ผู้นำเข้าได้เร่งนำเข้าข้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีปริมาณข้าวมากเกินความต้องการในตลาด ส่วนสาเหตุที่สิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมาจากราคาข้าวไทยมีความผันผวนมาก ทำให้ผู้นำเข้าข้าววางแผนการตลาดค่อนข้างยาก ผู้นำเข้าข้าวบางส่วนจึงหันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามที่มีเสถียรภาพด้านราคา แม้ว่าคุณภาพจะด้อยกว่าข้าวไทย และยังมีการนำเข้าข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานอินเดียในสิงคโปร์ที่มีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ความต้องการของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวไทยปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยที่ปรับตัวลดลงในระดับที่จูงใจให้นำเข้าเพิ่มขึ้น และนอกจากปัจจัยบวกทางด้านราคาแล้ว ผู้บริโภคในสิงคโปร์ยังคงเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานของข้าวไทยที่สูงกว่าข้าวจากแหล่งอื่น ประกอบกับคาดว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงเดือน ก.ย. 2564 เป็นต้นไป ทำให้มีความต้องการข้าวไทยจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ข้าวกล้อง ข้าวเพื่อสุขภาพของไทย ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลสิงคโปร์ได้รณรงค์ให้ชาวสิงคโปร์หันมาบริโภคข้าวกล้องแทนข้าวขาวเพื่อลดอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศ โดยมีการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้นำเข้าในการประชาสัมพันธ์ข้าวดังกล่าวแก่ผู้บริโภค หากราคาข้าวไทยมีเสถียรภาพและยังปรับตัวอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เช่นในปัจจุบัน คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีการนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน