• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Beer625

#2861


Brian Armstrong ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Coinbase Drama-Addict เผย บอร์ดบริษัทอนุมัติในงบดุลซื้อ Crypto มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 16,600 ล้านบาท ส่งผลภาพรวมตลาดคริปโต Bitcoin, Ethereum และ Crypto Bombshell ทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์

จากการรายงานของ Forbes ระบุว่า Coinbase บริษัทแลกเปลี่ยน bitcoin และ cryptocurrency รายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดตัว Nasdaq NDAQ +0.6% เมื่อต้นปีนี้ เปิดเผยว่ามีแผนจะซื้อ Bitcoin เพิ่มเข้ามาในพอร์ตลงทุนอีกกว่า 500 ล้านดอลลาร์ในงบดุล หรือ 16,600 ล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้ราคา Bitcoin และ Ethereum ซึ่งรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด Crypto มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านเหรียญ ได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้เกิดการชุมชน cryptocurrencies ขนาดเล็กจำนวนมาก
#2862


เมื่อวันที่ 19 ส.ค. OnlyFans ผู้ให้บริการคอนเทนท์ภาพและวิดีโอแบบสมัครสมาชิก ประกาศปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยจะไม่อนุญาตให้เหล่าครีเอเตอร์สร้าง "เนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง" (sexually explicit) อีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม OnlyFans ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน เผยว่า จะยังอนุญาตให้ครีเอเตอร์โพสต์เนื้อหา "นู้ด" หรือภาพเปลือยเชิงศิลปะ ตราบใดที่ไม่ขัด "นโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้" ของแพลตฟอร์ม

แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้เกณฑ์ใดพิจารณาว่าโพสต์ไหนมีเนื้อหาทางเพศโจ่งแจ้ง หรือจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่ง OnlyFans บอกเพียงว่าจะชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

เงื่อนไขการบริการของ OnlyFans ระบุข้อห้ามไว้หลายข้อ รวมไปถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี และเนื้อหาที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ หรือมีความรุนแรงด้วย


"เรายังคงทุ่มเทเพื่อชุมชนของผู้ใช้งาน 130 ล้านคนและครีเอเตอร์กว่า 2 ล้านคนที่สร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์มของเราต่อไป" OnlyFans แถลง

มุ่งสู่ถนนสายใหม่

OnlyFans ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสุดฮิตมานานสำหรับเหล่าดาราหนังผู้ใหญ่ (AV) ที่ต้องการสร้างรายได้จากการแสดง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เนื่องจากบรรดาคนดังที่ขายความเซ็กซี่และผู้ค้าบริการทางเพศ (sex worker) หันมาใช้แพลตฟอร์มนี้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในออนไลน์กันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน OnlyFans เตรียมช่องทางทำมาหากินใหม่เอาไว้แล้ว เพื่อขยายกลุ่มผู้ชมนอกเหนือจากกลุ่มที่นิยมคอนเทนท์ผู้ใหญ่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ OnlyFans ได้เปิดตัวเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นบริการสตรีมมิงแบบไม่เสียเงิน ชื่อว่า "OFTV" ซึ่งจะไม่เน้นนำเสนอคอนเทนท์ 18+ เหมือนกับแพลตฟอร์มเดิม แต่จะเสนอคอนเทนท์ที่ดูได้อย่างปลอดภัยในที่ทำงาน เช่น คลิปทำอาหาร เล่นดนตรี เล่นโยคะ หรือออกกำลังฟิตกล้าม 


แม้ผู้สร้างคอนเทนท์เหล่านี้ยังมีอยู่บ้างใน OnlyFans แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย และไม่ใช่จุดขายของแพลตฟอร์มที่ให้สมาชิกจ่ายเงินเพื่อดูเนื้อหา "ลับเฉพาะ" หรือ 18+ ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมที่สุด

การขยายแนวคอนเทนท์ของ OnlyFans มายัง OFTV ซึ่งมีครีเอเตอร์คุ้นตาจาก OnlyFans กว่า 100 คน นอกจากจะช่วยเพิ่มฐานผู้ชมแล้ว ยังเป็นการแข่งขันกับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ เช่น "Facebook" ที่เปิดให้เหล่าครีเอเตอร์สร้างรายได้ออนไลน์บนแพลตฟอร์มตัวเองเช่นกัน

"พันธมิตร-ทุน" ตีตัวห่าง 18+

ถึงแม้เนื้อหาผู้ใหญ่ หรือ 18+ เป็นแม่เหล็กดึงดูดรายได้และผู้ใช้จำนวนมากมาตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษให้เหตุผลถึงการตัดสินใจแบนคอนเทนท์โป๊เปลือยว่า "ทำตามคำขอจากบรรดาพาร์ทเนอร์" ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านธนาคารและการชำระเงิน


"เพื่อรับประกันความยั่งยืนในระยะยาวของแพลตฟอร์ม และให้สามารถสร้างชุมชนสำหรับครีเอเตอร์และแฟน ๆ ต่อไปได้ เราจึงต้องปรับหลักเกณฑ์ด้านเนื้อหาของเราใหม่" แถลงการณ์ของ OnlyFans ระบุ

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยกับเว็บไซต์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา OnlyFans อยู่ระหว่างการระดมทุน และนักลงทุนหลายรายต่างเลี่ยงลงทุนในธุรกิจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเชิงลบทางเพศ รวมถึงสื่อลามกด้วย

ขณะที่เว็บไซต์แอกซิออส (Axios) ระบุว่า นักลงทุนจำนวนมากตีตัวห่างจาก OnlyFans เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับ "เนื้อหาผู้ใหญ่" กองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์ ฟันด์) บางราย ถูกห้ามลงทุนในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาทางเพศ เนื่องจากทำข้อตกลงกับนักลงทุนสถาบันของตนไว้

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ OnlyFans เกิดขึ้นหลังจากในปีที่แล้ว "มาสเตอร์การ์ด" และ "วีซ่า" 2 ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินรายใหญ่ตัดสัมพันธ์กับเว็บไซต์หนังผู้ใหญ่ยอดนิยมอย่าง "Pornhub"

เว็บไซต์ AV ชื่อดังเผชิญข้อกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่คลิปที่มีเนื้อหาการมีเซ็กซ์กับผู้เยาว์ การข่มขืน และคลิปอนาจารแก้แค้นอดีตคนรัก

อย่างไรก็ตาม Pornhub ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเว็บไซต์ปล่อยให้เนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และได้ปรับกฎเข้มให้งวดขึ้นโดยห้าม "ผู้ใช้ที่ไม่ยืนยันตัวตน" อัพโหลดคลิปวิดีโอ หวังช่วยลดข้อครหานี้

โกยรายได้หมื่นล้านช่วงโควิด

จุดเริ่มต้นของ OnlyFans เกิดขึ้นจากการก่อตั้งเว็บไซต์เมื่อปี 2559 โดย "ทิม สโตคลีย์" นักธุรกิจชาวอังกฤษ และนั่งเก้าอี้ซีอีโอบริษัทถึงปัจจุบัน สื่ออังกฤษบางรายอย่าง The Sunday Times ตั้งฉายาให้สโตคลีย์ว่า "ราชาแห่งสื่อลามกโฮมเมด"


- ทิม สโตคลีย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ OnlyFans -

เดิมนั้น เจ้าของ OnlyFans คือ บริษัทฟีนิกซ์ อินเตอร์เนชันแนล ลิมิเต็ด (Fenix International Limited) ของสโตคลีย์ ก่อนจะขายหุ้น 75% ใน OnlyFans ให้กับเลียวนิด รัดวินสกี นักธุรกิจสื่อลามกชาวยูเครน-อเมริกัน เมื่อปี 2561

OnlyFans รายงานผลประกอบการมีรายได้สุทธิ 375 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.25 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

บริษัทคาดการณ์ว่า ในปี 2564 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และภายในปี 2565 น่าจะโกยรายได้สูงขึ้นอีกเป็น 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4 หมื่นล้านบาท)


กว่า 50% ของรายได้ OnlyFans นับถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2564 มาจากส่วนแบ่งการสมัครรับคอนเทนท์ของผู้ใช้ ขณะที่อีกกว่า 30% มาจากการแชท และส่วนที่เหลือมาจากทิป/สตรีม และโพสต์ที่เสียค่าโฆษณาสำหรับบัญชีที่เปิดให้ชมคอนเทนท์ฟรี

ขณะที่บรรดาครีเอเตอร์ใน OnlyFans ที่มีรายได้โดยตรงจากผู้ชม ก็รับทรัพย์หลักล้านบาทต่อปี มีรายงานว่า ครีเอเตอร์กว่า 300 คนโกยรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33.3 ล้านบาท) ต่อปีและครีเอเตอร์ราว 1.6 หมื่นคนโกยรายได้อย่างน้อย 5 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านบาท) ต่อปี

ปัจจุบัน OnlyFans ยังคงอยู่ในช่วงการระดมทุน เว็บไซต์บลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทตั้งเป้าระดมทุนให้ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

-------------

อ้างอิง: Bloomberg, CNBC, Axios, Reuters, WSJ
#2863


รอยเตอร์ - นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางทางธุรกิจของเวียดนามประกาศวันนี้ (20) ว่าจะสั่งห้ามประชาชนไม่ให้ออกจากบ้าน ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศที่หันไปใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อชะลออัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

คำสั่งที่เข้มงวดที่สุดของเวียดนามเกิดขึ้นท่ามกลางจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แม้จะประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวในเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ราว 9 ล้านคน และเป็นศูนย์กลางการระบาดของประเทศ

"เรากำลังขอให้ประชาชนอยู่ในที่ของพวกเขา ไม่ออกไปข้างนอก บ้านแต่ละหลัง บริษัทและโรงงานแต่ละแห่ง ควรเป็นป้อมปราการป้องกันไวรัส" ฝ่าม ดึ๊ก หาย รองหัวหน้าหน่วยงานด้านโควิด-19 ของเมือง กล่าว

ส่วนรายละเอียดของคำสั่ง ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ (20) ยังไม่มีประกาศให้ทราบ

ฝ่าม ดึ๊ก หาย กล่าวว่าการควบคุมการเคลื่อนไหวควรลดการติดเชื้อและเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่มุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาผู้ป่วยหนัก

เวียดนามได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถควบคุมการระบาดได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในปลายเดือนเม.ย. โดยประเทศมีผู้เสียชีวิตเพียง 35 คน และมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมไม่ถึง 3,000 คน ณ วันที่ 1 พ.ค.

แต่นับจากนั้น จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 312,000 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตเป็น 7,150 คน โดยครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อและ 80% ของผู้เสียชีวิตอยู่ในนครโฮจิมินห์

ชาวโฮจิมินห์มากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่อัตราการฉีดวัคซีนของประเทศนับว่าต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย.
#2864


นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT  เปิดเผยครึ่งปี 2564 คาดการณ์ว่า ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ผลจากการเริ่มมีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐปี 2564 เพิ่มขึ้นถึงสองแสนกว่าล้านบาท โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่าหนี่งแสนล้านบาท สำหรับการส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้า แม้ภาวะเศรษฐกิจโลก อาจจะยังค่อยๆ ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้น และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายที่จะรักษาฐานตลาดเดิม และมุ่งขยายฐานตลาดใหม่ในต่างประเทศ

"และในครึ่งปีหลังของปี 2564 บริษัทฯ คาดว่าจะเป็นอีกปีที่จะมีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในส่วนของผลิตภัณฑ์หม้อแปลงไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้น บริษัท มีงานในมือ (Backlog) ณ.สิ้นมิถุนายน 2564 มูลค่า 1,151 ล้านบาทแล้ว แบ่งเป็นงานในภาครัฐบาลและเอกชน 1,022 ล้านบาท และ อีก 129 ล้านบาท จะเป็นงานภาคส่งออกต่างประเทศ" 

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทและบริษัทย่อย มีผลกำไรขาดทุนสุทธิ 3.18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดบัญชีเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 80.05 ล้านบาท โดยมีมีรายได้จากการขาย 857.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 83.51 ล้านบาท หรือ 10.80 % ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้หม้อแปลงไฟฟ้า และบริษัทฯ มีรายได้จากการบริการ 69.30 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 3.46 ล้านบาท หรือ 5.25% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการบริการหม้อแปลงไฟฟ้า

ทั้ง้นี้บริษัทมีรายได้ตามสัญญาก่อสร้าง จากการดำเนินการของบริษัทย่อย 16.86 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 10.18 ล้านบาท หรือ 37.65% เนื่องจากสภาพการแข่งขันในช่วงโควิดสูงขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทย่อยลดลงบริษัทยังมีกำไรขั้นต้นจากการขาย 18.52 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากาไรขั้นต้นเท่ากับ 13.53 % เนื่องจากในไตรมาสนี้ส่งมอบงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยเฉพาะธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า และยังมีกำไรขั้นต้นจากการบริการ 48.44 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36.99 % ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของการบริการหม้อแปลงไฟฟ้า
#2865
ในการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ลดจุดด่างดำสักชิ้น คุณจะเลือกสรรตัดสินใจจากอะไร...
ยอดขายดีติดอันดับหลายปีติดต่อกัน? 
ส่วนผสมสำคัญที่ให้มีประสิทธิภาพลดเลือนปัญหาได้ลึกล้ำ?
การให้ผลลัพธ์ฉับไวที่สัมผัสได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือจะพิจารณาถึงความปลอดภัยไร้สารเคมีอันตราย? 






ไม่ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับปัจจัยข้อใดเป็นพิเศษ Clearly Corrective™ Dark Spot Solution เซรั่มปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ 
ลดเลือนจุดด่างดำอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วจาก Kiehl's คือ ตัวเลือกเซรั่มที่ใช่เพราะนี่คือผลิตภัณฑ์ที่สามารถตีโจทย์ดังกล่าวทุกข้อผ่านได้ฉลุยไร้ข้อกังขา

เซรั่มลดจุดด่างดํา ครองใจผู้ใช้ ติดอันดับท็อปติดต่อกันยาวนานถึง 4 ปี 
 จากการจัดอันดับยอดขายเป็นจำนวนชิ้น โดย Beaute' Research ในหมวด Skincare Essences & Serums / Whitening ในระหว่างปี พ.ศ. 2560–2563 เซรั่มลดจุดด่างดำ Clearly Corrective™ Dark Spot Solution คือเซรั่มเพื่อผิวกระจ่างใสที่มีจำนวนยอดขายดีที่สุดในประเทศไทยถึง 4 ปีซ้อน 

Dark Spot Serum ผสานกำลังจากวิตามินซีและซาลิไซลิกแอซิด
ด้วยนวัตกรรมทันสมัยและสูตรอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรจาก Kiehl's ผลิตภัณฑ์ลดจุดด่างดำ ขวดนี้มาพร้อมกับประสิทธิภาพจากวิตามินซี แอคติเวเต็ดซี (Activated C) ช่วยดูแลผิวให้กระจ่างใส และมีซาลิไซลิกแอซิด (Salicylic Acid) ช่วยควบคุมความเป็นกรดด่าง (pH) ของผิว เมื่อทำงานผสานร่วมกันสามารถลดเลือนรอยดำ ปรับความเข้มของเม็ดสีเมลานินที่เกิดจากการเผชิญแสงแดด มลภาวะให้จางลง รวมทั้งปรับลดรอยแผลที่เกิดจากสิวและดูแลเรื่องของริ้วรอย เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นประจำผู้ใช้สามารถสัมผัสได้ถึงสีผิวที่ดูขาวสว่างใส สวยแบบมีออร่า

เซรั่มลดรอยสิว ให้ผลลัพธ์เร็วภายหลังการใช้ต่อเนื่อง
จากผลการทดสอบซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยลอรีอัล ประเทศสหัฐอเมริกาพบว่า 49% ของผู้ใช้อาสาสมัคร 110 คนพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ โดยพบว่าจุดด่างดำลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ นอกจากนี้หากใช้ต่อเป็นประจำจะสามารถปกป้องผิวจากการเกิดจุดด่างดำรอยใหม่ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย 

ปลอดภัยไร้สารเคมีอันตราย
นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำที่ให้ผลลัพธ์น่าพึงพอใจ เซรั่มเนื้อใสขวดนี้ยังใช้ง่ายและเหมาะกับคนทุกสภาพผิว ทั้งผู้มีผิวมัน ผิวแห้งหรือผิวผสม แม้แต่ผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ ตัวสูตรผสมมีความอ่อนโยนต่อผิว ปราศจากสารเคมีอันตราย ไม่มีพาราเบน ไม่มีน้ำหอม ปราศจากสี และยังปราศจากเทคโนโลยีกระจายแสง (Optical Diffuser)
 
#2866


บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ ในฐานะผู้ที่มอบโภชนาการที่ดีให้กับประชากรไทยมาอย่างยาวนานกว่า 65 ปี ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหาความยากจน โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างยาวนาน จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในวงกว้าง และมีผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งในด้านเศรษฐกิจและสุขภาพอย่างต่อเนื่องนั้น

ซึ่งหนึ่งในกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยคือ "เด็ก" โดยเฉพาะเด็กๆ จากครอบครัวที่พ่อแม่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ และค่าครองชีพที่ลดต่ำลง โฟร์โมสต์จึงร่วมกับ มูลนิธิกระจกเงา เปิดตัวโครงการ "โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยสู้ภัยโควิด-19" เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมส่งต่อน้ำใจอันยิ่งใหญ่ ผ่านผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์จำนวน 1 ล้านกล่อง รวมมูลค่า 10 ล้านบาท ให้แก่เด็กและครอบครัวทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเมื่อมีการซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีโฟร์โมสต์ ทุกรสชาติ จำนวน 1 ลัง โฟร์โมสต์จะบริจาคผลิตภัณฑ์นมยูเอชที โฟร์โมสต์โอเมก้า 369 ขนาดบรรจุ 180 มล. ให้กับมูลนิธิกระจกเงาจำนวน 1 ลังทันที

นายราชเทพ นฤหล้า และน.ส. มลฤดี สุขเรืองรอง
นายราชเทพ นฤหล้า และน.ส. มลฤดี สุขเรืองรอง

นายราชเทพ นฤหล้า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "โฟร์โมสต์เชื่อในความมีน้ำใจของคนไทย จึงได้ร่วมสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดสู่การเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤตที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสารอาหารสำคัญและโภชนาการที่จำเป็นของครอบครัวชาวไทยจำนวนมาก โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา โฟร์โมสต์ได้ร่วมมือกับทีมจิตอาสาจากเพจอีจัน มอบนมยูเอชทีโฟร์โมสต์จำนวน 2,390 ลัง ให้กับ 17 ชุมชน รวมถึง โครงการ 'ปันนมปันน้ำใจร่วมต้านภัยโควิด-19' ที่มอบผลิตภัณฑ์นมแก่โรงพยาบาลรัฐและศูนย์การแพทย์ 19 แห่งทั่วประเทศ มาในปีนี้เราได้จับมือกับมูลนิธิกระจกเงาชวนทุกคนมาร่วมแบ่งปันครั้งยิ่งใหญ่ มอบน้ำนมโคคุณภาพดีที่อุดมด้วยสารอาหารสำคัญจากโฟร์โมสต์จำนวน 27,778 ลัง รวมกว่า 1,000,000 กล่อง ไปสู่เด็กๆ ทั่วประเทศ โดยผู้ที่ร่วมซื้อผลิตภัณฑ์ นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์ไว้ใช้บริโภคภายในครัวเรือนแล้ว ยังได้ร่วมแบ่งปัน นอกจากนี้ ยังได้เปิดโอกาสให้พนักงานของบริษัทฯ บริจาคนมสวัสดิการสมทบโครงการนี้เพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมส่งต่อน้ำใจอันยิ่งใหญ่ ในโอกาสครบรอบ 65 ปีของโฟร์โมสต์ ประเทศไทย

และแม้จะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ในวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่ก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากคนไทย ถึงวันนี้เราได้มอบนมโคคุณภาพดีโฟร์โมสต์โอเมก้า 369 แก่มูลนิธิกระจกเงา ไปเป็นจำนวนกว่า 415,000 กล่อง (ไม่นับรวมนมสวัสดิการที่พนักงานบริษัทฯ บริจาคสมทบเพิ่มเติม) เพื่อนำไปแจกจ่ายเด็กๆ ในชุมชนต่างๆ สร้างเสริมโภชนาการที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กๆ และบรรเทาผลกระทบในกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพราะพัฒนาการของเด็กๆ คือสิ่งที่เรียกคืนไม่ได้นั่นเอง"

ด้าน น.ส. มลฤดี สุขเรืองรอง ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ชุมชนซอยสีน้ำเงิน 1 บางซื่อ กล่าวว่า "ในทุกชุมชนจะมีเด็กเล็กๆ อยู่ในครอบครัวที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ทำให้พ่อแม่หลายคนมีความเสี่ยงถูกเลิกจ้าง และอีกหลายคนก็ขาดรายได้กะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของลูก อาหารในแต่ละมื้อคือสิ่งที่พ่อแม่จำเป็นจะต้องหาให้ลูกมากกว่านม แต่เด็กทุกคนต้องการนมที่มีคุณภาพสำหรับสมองที่กำลังเติบโต และร่างกายที่กำลังมีพัฒนาการ โดยเด็กๆ ควรได้ดื่มนมสดวันละอย่างน้อย 2 กล่อง หรือ 400 ซีซี และหากไม่ได้รับสารอาหารที่ดีอย่างครบถ้วน เด็กจะไม่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีแข็งแรงสมบูรณ์ได้เลย การขาดแคลนนมโคคุณภาพดีจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งค่ะ

โครงการ "โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยสู้ภัยโควิด-19" ช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กๆ ในครอบครัวกลุ่มเปราะบาง ให้ยังได้รับสารอาหารและโภชนาการที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตแม้ในยามวิกฤติ ต้องขอขอบคุณในน้ำใจของคนไทยทุกคนที่ร่วมสนับสนุนโครงการนี้ เพราะทุกความช่วยเหลือคือการร่วมสร้างอนาคตให้กับเด็กๆ ในช่วงปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงวัยสำคัญในการสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับชีวิตต่อไปค่ะ"

ขณะที่คุณแม่วัย 34 ปี จากชุมชนซอยสีน้ำเงิน 1 กล่าวว่า "รู้สึกดีใจและขอบคุณทางโฟร์โมสต์อย่างมากค่ะ ที่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตของเด็กๆ ตัวเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกสองคน และทำงานรับจ้างรายวัน ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้เราหางานยากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกับรายได้ในแต่ละวันมาก เวลาลูกร้องจะกินนม เราก็พยายามบ่ายเบี่ยง เพราะบางทีเขาไม่เข้าใจหรอกว่าคำว่าแม่ไม่มีเงินคืออะไร เราต้องเก็บเงินไว้ซื้อข้าวให้ลูกกิน ทั้งที่เราก็อยากให้ลูกได้กินทั้งข้าวและนม เพราะสำคัญต่อการเติบโตของลูกมาก ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยสนับสนุนโครงการนี้จริงๆ ค่ะ"

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อน้ำใจและสร้างอนาคตที่ดีให้เด็กไทย ภายใต้โครงการ "โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยสู้ภัยโควิด-19" ได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 9 กันยายน 2564 ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีโฟร์โมสต์ ทุกรสชาติ จำนวน 1 ลัง ผ่านช่องทางของร้านค้าผู้จัดจำหน่ายที่ร่วมรายการและโฟร์โมสต์ออนไลน์ โฟร์โมสต์จะบริจาคผลิตภัณฑ์นมยูเอชที โฟร์โมสต์โอเมก้า 369 ขนาดบรรจุ 180 มล. ให้กับมูลนิธิกระจกเงาจำนวน 1 ลังทันที เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเด็กและครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อน สูงสุดจำนวน 1,000,000 กล่อง (ไม่นับรวมนมสวัสดิการที่พนักงานบริษัทฯ บริจาคสมทบเพิ่มเติม) ดูรายละเอียดโครงการได้ที่ https:// www.foremostthailand.com/กิจกรรม/โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https:// www.facebook.com/ForemostThailand/ การแบ่งปันและน้ำใจจากคนไทยในครั้งนี้ จะช่วยสร้างรอยยิ้มของเด็กไทยในยามวิกฤตให้สดใสยิ่งกว่าเดิม
#2867


นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้เตรียมสนับสนุนสหกรณ์การเกษตร พัฒนาและยกระดับทำธุรกิจค้าขายสินค้าเกษตรระดับพรีเมี่ยม เพื่อนำผลผลิตการเกษตรจากสมาชิกสหกรณ์หรือเกษตรกรทั่วไป                 ในพื้นที่ต่าง ๆ คัดเกรดคุณภาพมาบริการและจำหน่ายสู่ผู้บริโภค นอกเหนือจากธุรกิจปกติที่สหกรณ์รวบรวมผลผลิตและ                 ส่งจำหน่ายให้กับคู่ค้าประจำ ทั้งห้างโมเดินเทรดและพ่อค้าเอกชนเท่านั้น  
 

 ซึ่งกรมฯจะผลักดันให้สหกรณ์ยกระดับเป็น  ตลาดสินค้าเกษตรเกรดพรีเมี่ยม เป็นตลาดทางเลือกสำหรับให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าซื้อสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและมีความเชื่อมั่นในการสั่งซื้อสินค้าจากสหกรณ์  โดยเฉพาะในยุคการค้าออนไลน์ที่ผู้ซื้อสามารถเข้าสั่งซื้อสินค้าได้  ทางอินเตอร์เน็ต คาดว่าแนวทางนี้จะช่วยส่งเสริมให้สหกรณ์การเกษตรเป็นตลาดสินค้าเกษตรกรคุณภาพที่แท้จริง                      สามารถคัดสรรสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตอบสนองผู้บริโภคซึ่งมีความต้องการสินค้าคุณภาพด้วยเช่นกัน


            " ผมหวังว่าสหกรณ์จะเป็นตลาดสินค้าเกษตรพรีเมี่ยม ตลาดใหม่ และต้องดีกว่าทุกตลาดเพราะเป็นความร่วมมือของสหกรณ์และสมาชิกที่ต้องช่วยกันนำเสนอของดีให้กับผู้บริโภคที่ต้องได้ทานของดีเกรดส่งออก จากเดิมที่ประชาชนทั่วไปมักจะได้บริโภคสินค้าเกรดรอง  จนมีคำพูดที่ว่าคนไทยไม่ได้กินของดี ของเกรดส่งออกหากินยาก เป็นต้น "

            เดิมทีสหกรณ์การเกษตรได้มีการซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกันในเครือข่ายสหกรณ์ หรือเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า เพื่อช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกในช่วงฤดูผลไม้ราคาตกต่ำ  เป็นประจำเกือบทุกปี แต่นั่นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งจากประสบการณ์เหล่านั้น ควรยกระดับมาทำเป็นธุรกิจปกติของสหกรณ์เลย สหกรณ์การเกษตรควรเข้าสู่การทำธุรกิจการค้าสินค้าเกษตรระดับพรีเมี่ยมได้แล้ว  ภายใต้การสนับสนุนของกรมส่งเสริมสหกรณ์

  สินค้าเป้าหมายเบื้องต้น เช่น ข้าว  พืชผัก ผลไม้ เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน หรือสินค้าเกษตรที่ผู้บริโภคสนใจจะสั่งซื้อจากสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยกรมมีตัวอย่างสหกรณ์ที่ประสบความสำเร็จเช่น สหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี  จำกัด จังหวัดนครศรีธรรมราช  สหกรณ์การเกษตรเมืองสุราษฎร์ธานี จำกัด และสหกรณ์การเกษตรบ้านนาสาร จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่สามารถยกระดับการขายมังคุด เงาะ คัดเกรดคุณภาพ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ                 จนเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ  และในปีที่ผ่านมาสหกรณ์การเกษตรสามารถรวบรวมผลไม้ได้กว่า 30,000 ตัน                   มูลค่ากว่า 789 ล้านบาท

 

 

            "กรมฯ พร้อมสนับสนุนสหกรณ์ที่ต้องการพัฒนาและยกระดับธุรกิจเข้าสู่รูปแบบดังกล่าวโดยสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 1 ของกองทุนพัฒนาสหกรณ์(กพส.) นอกจากนั้น พร้อมที่จะประสานให้สหกรณ์การเกษตรพรหมคีรี จำกัด เป็นพี่เลี้ยงอบรมการทำธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ให้อีกทางหนึ่ง  "


อย่างไรก็ตามเป้าหมายสำคัญของโครงการนี้ก็เพื่อให้ขบวนการสหกรณ์เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสมาชิกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับราคาสินค้าเกษตรของเกษตรกร ขณะที่สหกรณ์เหล่านั้นก็จะต้องเข้าไปช่วยส่งเสริมสมาชิกของท่านในการพัฒนาแปลง พัฒนาสวน พัฒนาไร่ เพื่อยกระดับเป็นแปลงการเกษตรที่ดีหรือจีเอพี  การยกระดับ    โรงคัดบรรจุหรือล้งเป็น GMP เพื่อคัดสรรนำผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภค

            ทั้งนี้ก่อนหน้ากรมส่งเสริมสหกรณ์ มีโครงการแก้ปัญหาระยะสั้นในช่วงราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ โดยการสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงสินค้าเกษตรภายในเครือข่ายสหกรณ์ด้วยกัน เช่น สหกรณ์การเกษตรที่ขายข้าวหอมมะลิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับสหกรณ์ที่จำหน่ายผลไม้ในภาคใต้ เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน หรือโครงการแลกผลไม้กับข้าว                    เช่น สหกรณ์ในจังหวัดพะเยาและพิจิตร แลกข้าวกับมะม่วง สหกรณ์ในจังหวัดนครราชสีมา ร้อยเอ็ด แลกข้าวกับผลไม้                กับสหกรณ์ในภาคใต้ เป็นต้น  ช่วยกระตุ้นราคาสินค้าในพื้นที่ให้สูงขึ้น

 

  ผลจากการแลกเปลี่ยนระหว่างข้าวและผลไม้ ปริมาณกว่า 1,221.33 ตัน มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท สามารถดูดซับปริมาณและพยุงราคาผลผลิตของเกษตรกรผู้ผลิต   ไม่ให้ตกต่ำ ผู้บริโภคปลายทางได้บริโภคผลไม้ที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรม สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้จำหน่ายและผู้บริโภค

 

            ผลจากการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบัน ปริมาณผลผลิตมังคุดและเงาะของสมาชิกสหกรณ์และ                กลุ่มเกษตรกรในภาคใต้ ผ่านกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วกว่า 60 % ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด และคาดว่าปริมาณผลผลิตเงาะจะสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ในส่วนของปริมาณผลผลิตมังคุดของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ยังคงเหลือปริมาณผลผลิตที่ต้องเก็บเกี่ยวอีกจำนวน 40 % คาดว่าจะสามารถจำหน่ายผลผลิตได้เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งราคารับซื้อผลผลิตมังคุด ปรับตัวสู่ขึ้น จากช่วงเดือนกรกฎาคม ราคาอยู่ที่ 7-10 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 23 – 47 บาท ต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของมังคุด ทำให้สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรในพื้นที่มีความพึงพอใจที่สามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
#2868


นายสาธิต วิทยากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19ที่เกิดขึ้นเปรียบได้กับสงครามโลก เพราะทุกคนต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก การจะผ่านไปได้ต้องผนึกองค์กรความรู้ของสหวิชาชีพด้านการแพทย์ร่วมกัน ทั้งการแบ่งปันข้อมูล แชร์ริ่ง องค์ความรู้ เพราะการรักษาคนไข้หนึ่งคนจำเป็นต้องผสานความรู้ ความสามารถทั้งจากอายุรกรรม แพทย์ที่เชี่ยวด้านโรคปอด โรคไต หรือการติดเชื้อ และแพทย์ด้านระบาดวิทยา ซึ่งโรงพยาบาลปริ้นซ์เองมีการหารือร่วมกับโรงพยาบาลอื่น เพื่อทำการรักษาให้ได้ผลอย่างดีสุด

จุดพลุดิจิทัลแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ ในอนาคตจะได้เห็นก้าวกระโดดหรือ Jump Start ของการนำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาในอุตสาหกรรมทางการแพทย์หรืออุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในหลายๆมิติ ซึ่งจะได้เห็นเวอร์ชั่ล ฮอทปิทอล และ ดิจิทัล เฮลท์แคร์ ซึ่งจะเกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะโควิด-19 เข้ามาเป็นตัวเร่ง ซึ่งจะเป็นโอกาสให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพจำเป็นต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวอยู่เสมอ

"การทำ Home Isolation คือการดิสรัปชั่นการรักษาตัวในโรงพยาบาล 100% เพราะคนไข้ไม่ต้องมาพบหมอ แต่ใช้เทคโนโลยีในการปรึกษา ตรวจรักษาตลอด 14 วันที่ต้องกักตัว ใช้ระบบไอทีในการส่งยา ตรวจเชื้อผ่านแลป ตรงนี้เองคือโอกาสที่เราต้องมองว่าเมื่อจบโควิดหรือสถานการณ์คลี่คลายแล้วนั้น การประยุกต์ใช้ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ด้านเฮลท์แคร์จะมีความสำคัญอย่างที่สุด"

ผนึกพาร์ทเนอร์เสริมแกร่ง

เขา กล่าวเสริมอีกว่า ในฐานะของโรงพยาบาลปริ้นซ์ที่มองเรื่องสุขภาพต้องผนึกกับเทคโนโลยีมาโดยตลอด โรงพยาบาลเองมีการวิจัยอาร์แอน์ดีในเรื่องดังกล่าว เพื่อจะพัฒนาตัวเองไปถึงการทำเฮลท์แคร์แพลตฟอร์ม 4.0 เกิดการประยุกต์ของเทคโนโลยีผ่านการบูรณาการในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้อง เพราะเทรนด์ของดิจิทัล เฮลท์แคร์ของโลกเติบโตอย่างมาก มีการใช้เอไอในการอ่านฟิลม์ เอ็กซ์เรย์ มีการนำเอาเครื่องมือมาช่วยสนับสนุน

ดังนั้น กุญแจแห่งความสำเร็จ (Key Succes) ส่วนตัวมองว่า การพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมจะเป็นทางที่สร้างโอกาสให้เกิดความสำเร็จมากที่สุด ทั้งการทำพันธมิตรกับเด็กรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ เราอาจมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ แต่ในด้านความรู้เท่าทันเอไอ บลอกเชน แมชชีน เลิร์นนิ่ง อาจจะไม่ได้ชำนาญเท่าเด็กรุ่นใหม่ ตรงนี้คือสิ่งที่เรามองว่าจะเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ

"การทำธุรกิจในยุคใหม่การมองหาพาร์ทเนอร์ ชิพ ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางมาเสริมให้กับองค์กรของเรา เป็นสิ่งที่ต้องรับเอามาปรับใช้ การโตได้หรืออยู่รอดในธุรกิจหากเราไม่เก่งเรื่องใดก็หาคนเก่งๆมาช่วยทำ"

นายสาธิต กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับอุตสาหกรรมทางด้านสาธารณสุขแล้ว การปกป้องข้อมูลหรือเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของคนไข้ก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพราะข้อมูลการรักษาพยาบาลก็มีความสำคัญอย่างมากไม่แพงข้อมูลส่วนบุคคลด้านๆอื่น

ปัจจุบัน โรงพยาบาลเองได้นำเอาคลาวด์ เทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลคนไข้ที่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดต้องมีการรักษาผ่านสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้เกิดภัยด้านไซเบอร์ ซิเคียวริตี้
#2869


วันนี้(19 ส.ค.64) นายเบญจพล นาคประเสริฐ กรรมการบริหาร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในประเทศไทย ทำให้ความต้องการสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีความต้องการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้มีการประกาศในบัญชียาหลักของ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ฉบับที่ 2 พ.ศ.2564 โดยมีฤทธิ์ช่วยในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่อาการไม่รุนแรงได้ ดังนั้นหน่วยงานราชการ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร รวมถึงวิสาหกิจชุมชน จึงได้มีโครงการเพาะขยายพันธุ์ฟ้าทะลายโจรอย่างเร่งด่วน เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปขยายพันธุ์



ทั้งนี้จากการสำรวจภายในพื้นที่ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี พบว่ามีต้นฟ้าทะลายโจรขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 300,000 ต้น ที่พร้อมจะส่งต่อให้เกษตรกรและหน่วยงานที่สนใจนำไปเพาะขยายพันธุ์ และใช้ประโยชน์ในการรักษาอาการของผู้ป่วยโควิด 19 ระยะไม่รุนแรง รวมทั้งการต่อยอดการสร้างรายได้ให้เกษตรกรต่อไป ซึ่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจร จำนวน 250,000 ต้น ให้แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2564 โดยขณะนี้ได้ส่งมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรให้แก่หน่วยงานต่างๆ แล้วจำนวนกว่า 200,000 ต้น และหลังจากส่งมอบครบจำนวน 250,000 ต้น แล้ว ต้นกล้าฟ้าทะลายโจรในส่วนที่เหลือ จะมีการเพาะขยายพันธุ์ เพื่อใช้ประโยชน์ในปีต่อไป สำหรับหน่วยงานที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ งานประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โทร. 053-999000 หรือ Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari, LineOA: nightsafari

อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/ฟ้าทะลายโจร
#2870


นายคงศักดิ์ หาญแสวงสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่โรคโควิด -19 กำลังแพร่ระบาด บริษัทฯ เข้าใจในปัญหาสภาพคล่องของประชาชน จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกตามความพร้อมด้านการเงินของตนเอง โดยได้ออกแคมเปญ "ประกันภัยรถยนต์ ธนชาต 2+จัดเต็ม สุดในรุ่น" ที่ให้ความคุ้มครอง รถชน รถหาย รถไฟไหม้ และให้เพิ่มความคุ้มครองถึงภายหลังอุบัติเหตุรถชนด้วย

จึงจัดเต็มในเรื่องชดเชย ฉุกเฉิน เดินทาง โดยจะมีเงินชดเชยรายได้ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนระหว่างการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,000 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน สูงสุด 7 คน และให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งยังมีเงินชดเชยค่าเดินทางให้ลูกค้าในกรณีที่ส่งรถเข้าซ่อม 1,000 บาท/ครั้ง ได้ถึง 3 ครั้ง/ปี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก เป็นการอัพเกรดความคุ้มครอง ซึ่งคุ้มค่าที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ของประเทศไทย

แคมเปญนี้จึงเหมาะกับคนที่ใช้รถน้อยเพราะต้องทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home) และคนที่ต้องการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน โดยค่าเบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 7,999 บาท สามารถผ่อนชำระค่าเบี้ยได้ 0% นาน10 เดือน ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เฉลี่ยเดือนละ 799 บาทเท่านั้น พร้อมรับโปรโมชั่น 2 ต่อ เมื่อซื้อผ่านธนาคารทหารไทยธนชาตทุกสาขา ต่อที่ 1 รับฟรี e-coupon ร้าน Dunkin Donuts มูลค่า 79 บาท ต่อที่ 2 เมื่อซื้อคู่กับประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยโรคมะเร็ง หรือประกันภัยโรคร้ายแรง (CI) และมีค่าเบี้ยประกันภัยรวมกัน 15,000 บาทขึ้นไป จะได้รับฟรี e-coupon เติมน้ำมัน PT มูลค่า 300 บาทด้วย

ทั้งนี้ จากการที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาสนองตอบผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่า จึงทำให้ "ประกันภัยรถยนต์ ธนชาต 2+จัดเต็ม" ของธนชาตประกันภัย ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Product of the year 2020 ) จากมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับนิตยสาร Business+

นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลด้านการจัดการเคลมยอดเยี่ยม "Best Claims Management" จัดโดย นิตยสาร International Finance Magazine (IFM) จากประเทศอังกฤษ ถึง 2 ปี ซ้อน คือ ปี 2019 - 2020 ซึ่งมาจากนโยบายของบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาเชื่อมต่อกับทุกมิติของระบบงานให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ภายใต้แนวคิด "ธนชาตประกันภัย ดูแลไว ตรงใจคุณ"
#2871


"สุรเชษฐ กองชีพ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ชาวไทย และต่างชาติ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯ ต่างพยายามหาทางรอด สร้างรายได้เพิ่มอย่างสุดความสามารถ!

"รายได้หลักของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายนั้นมาจากการโอนกรรมสิทธิ์เป็นสำคัญ นั่นหมายความว่ายอดพรีเซลหรือยอดขายที่ได้รับจากการเปิดขายในช่วงแรก ไม่ใช่ทั้งหมดของรายได้ที่จะได้รับ และ ไม่ใช่รายได้ที่แท้จริงของผู้ประกอบการ การจะรับรู้รายได้ของที่อยู่อาศัยแต่ละโครงการส่วนใหญ่ใช้เวลามากกว่า 1 เดือนขึ้นไป จนถึง 4-5 ปี"

โครงการคอนโดมิเนียมบางแห่งหากสร้างเสร็จก่อนเปิดขายอาจรอเพียง 1 เดือนก็อาจได้ต้นทุนพร้อมกำไรกลับคืนมาแล้วในกรณีที่มีการซื้อขายเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นคอนโดหรือบ้านจัดสรรที่เปิดขายก่อนการก่อสร้างก็อาจรอนานกว่า 3-4 เดือน คอนโดส่วนใหญ่ 1 ปีขึ้นไป หรือมากกว่านั้น และคอนโดเป็นรูปแบบโครงการที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงในเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งในแง่ของการเก็งกำไรจากนักลงทุนที่บางส่วนไม่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่แรกที่ซื้อไป

"กว่าที่ผู้ประกอบการจะรับรู้ว่าผู้ซื้อคอนโดของตนเมื่อเปิดขายช่วงแรกนั้นไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งจากความไม่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์ และจากปัญหาเรื่องของการขอสินเชื่อไม่ผ่าน ก็ต้องรอจนกระทั่งโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ หรือผ่านไปแล้ว 1-2 ปีหรือมากกว่านั้น ผู้ประกอบการจึงมีความเสี่ยงมากกว่าการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร"

ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อลดลงชัดเจน ผู้ประกอบการอสังหาฯ จึงพยายามเพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้น และลดโครงการคอนโดเพื่อลดความเสี่ยง! แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคอนโดจะมีความเสี่ยงในเรื่องนี้เหมือนกันหมด เพราะคอนโดในทำเลที่ดี ยังมีความต้องการสูงจากกลุ่มเรียลดีมานด์ หรือกลุ่มนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนจากการเช่าหรือขายต่อ


ผู้ประกอบการหลายรายที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดช่วงครึ่งแรกของปีนี้และสร้างรายได้รวมไปถึงผลกำไรสุทธิที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เช่น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แอสเซทไวส์ และศุภาลัย ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดในช่วงต้นปี โครงการส่วนใหญ่ของทั้ง 3 รายอยู่ในทำเลที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาที่เพิ่มขึ้นและเรื่องของการเช่าได้เมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับ 5 บริษัทที่มีผลประกอบการโดดเด่นด้านรายได้ครึ่งแรกปี 2564 อันดับแรก เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้ 20,506 ล้านบาท ตามด้วย แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 17,217 ล้านบาท แสนสิริ 14,868 ล้านบาท พฤกษา 13,289 ล้านบาท และ ศุภาลัย 11,000 ล้านบาท

ส่วน 5 บริษัทกำไรสูงสุด ได้แก่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 3,606 ล้านบาท ถือว่าโดดเด่นในแง่ความสามารถทำกำไรที่เอาชนะคู่แข่งด้วยบรรทัดสุดท้ายเสมอ! ตามด้วย เอพี (ไทยแลนด์) 2,518 ล้านบาท ศุภาลัย 2,497 ล้านบาท แสนสิริ 1,046 ล้านบาท และ พฤกษา 1,034 ล้านบาท

ทั้งนี้ "บ้านจัดสรร" ที่เป็นที่สนใจมีตั้งแต่ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 35 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งผู้ซื้อให้ความสนใจโครงการบ้านจัดสรรในหลายระดับราคา ผู้ประกอบการจึงพัฒนาโครงการหลากหลายทุกระดับราคาเพื่อเข้าถึงผู้ซื้อได้หลายกลุ่ม ผู้ประกอบการที่โดดเด่น ได้แก่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เอสซีแอสเสท พฤกษา แสนสิริ และเอพี

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการที่เน้นโครงการคอนโดต่อเนื่องมาหลายปี และมีคอนโดรอการขายอยู่เยอะก็อาจมีรายได้หรือกำไรที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่มีโครงการรูปแบบอื่นๆ ด้วย การที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะเพิ่มสัดส่วนบ้านจัดสรรมากขึ้นนั้นสอดคล้องกับรายได้ในภาวะแบบนี้เช่นกัน ด้วยความที่รอบของการรับรู้รายได้ที่สั้นกว่า และสามารถสร้างรอบใหม่ได้รวดเร็วในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นจากการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้

อีกทั้งขนาดของโครงการบ้านจัดสรรในปัจจุบันไม่มีขนาดใหญ่มากนักเมื่อเทียบอดีต ต้นทุนในการซื้อที่ดินรวมถึงการพัฒนาโครงการไม่สูงมาก การเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรจึงเป็น "ทางเลือก" ที่น่าสนใจมากกว่าคอนโด ในช่วงที่ "กำลังซื้อ" จำกัด แม้ว่ารายได้จากการขายบ้านจัดสรรอาจไม่สูงเมื่อเทียบกับคอนโดแต่ด้วยระยะเวลาตั้งแต่การเปิดขายจนถึงวันที่ก่อสร้างแล้วเสร็จไม่นานมากจึงเพิ่มจำนวนโครงการได้รวดเร็วกว่า สามารถ "ชดเชย" รายได้จากโครงการคอนโดที่ลดลง

ช่วงครึ่งปีหลัง 2564 รายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการและลำดับน่าจะไม่แตกต่างจากครึ่งแรก เพราะผู้ที่สร้างรายได้และทำกำไรได้ดีนั้นยังคงเดินหน้าตามแผนงานต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 หากเพิ่งขยับตัวเปิดขายโครงการใหม่อาจยังไม่สามารถสร้างรายได้หรือกำไรขึ้นมาเทียบเท่า หรือผู้ประกอบการบางรายที่มีการขยายไลน์ธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่อาศัย ก็ต้องใช้เวลาในรับรู้รายได้
#2872


หลังจากมีการเผยแพร่คลิปชาวสวนลำไยลำพูน ใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่ พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ ทำนองว่าประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ จนเก็บขายไม่ได้เพราะไม่คุ้มทุน จึงนำไม้มาฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่เป็นปุ๋ยแทน ซึ่งหลังจากที่มีการแชร์ภาพดังกล่าวโลกโซเชียลฯต่างมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เห็นใจชาวสวนที่ประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ

ล่าสุดวันนี้(18 ส.ค.64) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบนายพีรพัฒน์ อยู่ท้วม อายุ49 ปี ชาวส่วนลำไย ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ที่ปรากฏอยู่ในคลิปภาพ ซึ่งได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปขายลำไยปรากฏราคาลำไยตกลงมามาก เกรด AA เหลือกิโลกรัมละ 12 บาท เกรด A กก.ละ 4 บาท เกรด B กก.ละ 2 บาท ส่วนเกรด C ไม่รับซื้อ และหลายล้งหลายโรงงานยังหยุดรับซื้ออีกด้วย

หลังจากนั้นตนจึงมาเจราจาขอลดค่าแรงกับคนเก็บลำไย(แบบรูดร่วง)จากกิโลกรัมละ 3 บาท เหลือ 2 บาท แต่ก็ไม่เป็นผลจึงต้องยอมทนไป สุดท้ายเมื่อนำลำไยไปขายหักค่าแรงคนเก็บลำไยแล้วเหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาท หากหักค่าปุ๋ย-ค่าแรงที่ทำมาทั้งปี ถือว่าขาดทุนอย่างมากมาย

"ตอนนั้นไม่รู้จะระบายความอัดอั้นตันใจยังไง จึงใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงเป็นปุ๋ยแทน และมีคนถ่ายคลิปแล้วนำไปแชร์บนโลกโซเชียลฯจนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง"

ด้านนายฉัตรนิพัฒน์ สิงห์คำโต อายุ 55 ปี ชาวสวนลำไยเปิดเผยว่าราคาลำไยปีนี้ถือว่าตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ชนิดที่ว่าไม่เคยตกต่ำแบบนี้มาก่อน เมื่อวาน(17 ส.ค.)เอาลำไยไปขายตันครึ่ง ได้เงินมา 6,000 กว่าบาทจ่ายค่าคนงาน-ค่ารถ หักแล้วเหลือพันกว่าบาท ทั้งที่ทำมาทั้งปี ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง ยังไม่ได้ ถือว่าขาดทุนอย่างหนัก

"เคยมีรอบที่แย่ที่สุดคือ ขายลำไยได้เงินมา 720 บาท หักค่าคนงานค่ารถแล้วเหลือเงินถึงตนเองแค่ 20 บาท ตอนนี้ตอนนี้เป็นหนี้เกือบล้านบาทเพราะกู้เงินมาลงทุนทำสวนหลายแปลง และทำใจแล้วเก็บได้เท่าที่เก็บได้และต้องปล่อยให้ลำไยเน่าคาต้นหลายสิบไร่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น"

ด้านนางทิวาพร ทรงประสิทธิ์พาณิชย์ รองนายกเทศมนตรีตำบลปาไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นเจ้าของโรงร่อนลำไยและยังเป็นชาวสวนลำไยเองด้วย เปิดเผยว่าปัญหาลำไยราคาตกต่ำมีทุกปี แต่ปีนี้หนักสุด ล้งทั้งอ้างโควิด อ้างไม่ได้สเปกส่งออกและอีกสารพัด กดราคา เอาลำไยเกรดดีๆแต่ไม่เคยคุยเรื่องราคา

"ที่ผ่านมาเกษตรกรถูกกดหัวมาตลอด ซ้ำปีนี้ยังเจอโควิด-19 ระบาดในพื้นที่อีก ทำให้แรงงานขาดแคลน เกษตรกรต้องปล่อยลำไยเน่าคาต้นคาสวน จึงอยากขอวิงวอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยที่อำเภอลี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นแหล่งผลิตลำไยคุณภาพและมีชาวสวนลำไยมากเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดลำพูน ระยะยาวอยากให้รัฐบาลประกันราคาลำไยและลงมาเจรจากับผู้ส่งออกลำไยเพราะในระดับล่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้"
#2873


LDC เผยภาพรวมธุรกิจทันตกรรมฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก ชูการบริหารจัดการ 27 สาขา เจาะฐานลูกค้าคนไทย ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยกลยุทธ์ LDC The Next Normal หนุนทิศทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ด้าน "หมอหนึ่ง ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์" รับเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้รับบริการลดลง แต่พร้อมเดินหน้ายกระดับสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด หากสถานการณ์ผ่อนคลาย จะทำให้ LDC เติบโตและฟื้นตัวเร็ว รับความต้องการด้านทันตกรรมพุ่ง เสริมทัพด้วยสหคลินิกที่มีบริการด้านความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ที่เปิดควบคู่ 5 สาขา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มีทิศทางที่ดี หนุนผลงานไตรมาส 2 LDC มีรายได้เพิ่มเกือบ 90% ขณะที่ขาดทุนลดลง

ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนาม LDC Dental เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวมจำนวน 77.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.32 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 8.90% เนื่องจากรายได้จากการบริการทันตกรรมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทฯ หยุดดำเนินการชั่วคราวในสาขากรุงเทพฯ ปริมณฑล และสาขาต่างจังหวัดบางสาขา เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีผลขาดทุนลดลงอยู่ที่ 10.50 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 11.38 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 178.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงจำนวน 10.87 ล้านบาท คิดเป็น 5.74% จากรายได้ทันตกรรมลดลง 13.04 ล้านบาท แต่รายได้การให้บริการความงามเพิ่มขึ้น 1.61 ล้านบาท เนื่องจากการให้บริการความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics จำนวน 5 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดควบคู่บริการทันตกรรม สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรในช่วงไตรมาส 1/2564 จำนวน 3 สาขา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 6.55% ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบโดยมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ในงวดครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 18.99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 21.79 ล้านบาทแล้ว ลดลง 11.65% นับเป็นการขาดทุนลดลงต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคลินิกทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Dental รวม 27 สาขาทั่วประเทศ จากการลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการทันตกรรมแก่ลูกค้าครอบคลุมทุกภูมิภาค รวมไปถึงการต่อยอดสู่ธุรกิจความงาม ควบคู่บริการด้านทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ในสาขาหลักจำนวน 5 สาขา และการต่อยอดด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภควิถีใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูงสุด ด้วยการยกระดับมาตรฐานการบริการรูปแบบ LDC The Next Normal ที่นำร่องแล้ว 5 สาขา นับว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการทันตกรรมของไทย มั่นใจจะคว้าโอกาสหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยมองว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ตามมาตรการเร่งด่วนของภาครัฐ อันจะสนับสนุนความต้องการด้านทันตกรรมฟื้นตัว
#2874


บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEL) ฟื้นชัด! ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2564 กำไรสุทธิพุ่งแตะ 20.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.15% จากงวดเดียวกันปีก่อน อานิสงส์ควบคุมต้นทุนได้ดีหลังปรับโครงสร้างองค์กร ฟากซีอีโอ "ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์" ระบุแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง เน้นกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้กว่า 2,900 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้ยาวถึงปีหน้า มั่นใจช่วยผลักดันผลงานปีนี้เทิร์นอะราวนด์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ได้แน่นอน

นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.15% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนเท่ากับ 51.65 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 0.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีผลขาดทุนเท่ากับ 102.16 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการบริษัทฯ มีกำไรพิเศษ รวมถึงการควบคุมต้นทุนสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และระบบการควบคุมงบประมาณที่ดี ส่งผลให้เกิดต้นทุนต่อหน่วยลดลง ขณะที่การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย และการบริหารให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

"การดำเนินธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2564 มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และสามารถมีกำไรเติบโตจากงวดเดียวกันปีก่อน แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากภายหลังจากการปรับโครงสร้างองค์กร ทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิต และต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเริ่มรับรู้ผลกำไรจากการลงทุนของบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง"

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จากมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของภาครัฐที่มีคำสั่งให้หยุดการก่อสร้าง ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าน่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในช่วง Q4/2564 เนื่องจากปริมาณงานในมือรอรับรู้รายได้ (backlog) อยู่แล้วกว่า 2,900 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2565 ทำให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2565 จะสามารถฟื้นเทิร์นอะราวนด์ได้อย่างชัดเจน จากปริมาณงานในมือกว่า 2,900 ล้านบาท และโดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะทำให้ในส่วนของโครงการภาครัฐ และเอกชนจะกลับมาขยายการลงทุนได้อีกครั้ง
#2875


หลังจากออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 ส.ค.64 ออกรางวัลที่ 1 หมายเลข 046750 โดยมีผู้โชคดีเป็นเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในอ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว จำนวน 2 ราย โดยหวยออนไลน์รายแรกเดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เมื่อช่วงค่ำวานนี้ โดยมีร.ต.อ.ประพันธ์ พุฒมี พนักงานสอบสวนร้อยเวร สภ.วังน้ำเย็น เป็นผู้รับแจ้งความ


จากการสอบถามทราบว่า ผู้ถูกรางวัลที่ 1 คือ นายขวัญประชา หมื่นแสน อายุ 37 ปี ชาวต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น ทำงานอยู่ที่โรงงานน้ำตาลวังสมบูรณ์ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว หลังจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลประกาศผลการออกลอตเตอรี่งวดวันที่ 16 ส.ค.64 และทราบว่าถูกรางวัลที่ 1 คือสลากงวดที่ 31 ชุดที่ 13 หมายเลข 046750 และสลากงวดที่ 31 ชุดที่ 14 หมายเลข 046750 รวม 2 ใบ ซึ่งซื้อมาจากพ่อค้าเดินขายสลาก ที่ยังเหลือเยอะในแผง จึงได้ถามว่ามีเลขท้าย 750 หรือไม่ คนขายแจ้งว่ามีหวยชุด 2 ใบ มี 3 ชุด แต่ตนเลือกมาชุดหนึ่ง 2 ใบ และโชคดีถูกรางวัลที่ 1 พอดี จึงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนผู้ที่ถูกรางวัลที่ 1 อีกาย ทราบว่าเป็นแม่ค้าในตลาดวังน้ำเย็น บ้านอยู่ที่บ้านสวนป่า ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ถูกรางวัลที่ 1 หมายเลข 046750 เช่นกัน เป็นเงิน 6 ล้านบาท ส่งผลให้งวดนี้ มีคนในพื้นที่ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ถูกลอตเตอรี่ถึง 3 ใบ รวมเป็นเงิน 18 ล้านบาท
#2876


นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สศก.ได้ดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ภายใต้การใช้ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการรวมกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่ รวมทั้งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความกินดี อยู่ดี มีสันติสุข และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน

จากการลงพื้นที่เพื่อประเมินผลโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรในพื้นที่ ส.ป.ก.จ.สระแก้ว ที่ได้ดำเนินการจัดที่ดินให้ผู้ยากไร้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา พบว่ามีเนื้อที่ประมาณ 1,960 ไร่ เป้าหมายในการจัดเกษตรกรเข้าใช้ประโยชน์ 313 ราย ขณะนี้มีเกษตรกรเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว 156 ราย โดยเป็นการจัดสรรที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์รายละ 6 ไร่ แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยรายละ 1 ไร่ และเป็นที่ทำกินรายละ 5 ไร่ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทุกรายเป็นสมาชิกสหกรณ์ทางการเกษตรที่ได้จัดตั้งขึ้นในพื้นที่

นอกจากนี้ เกษตรกรได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างบ้าน มูลค่ารายละ 40,000 บาท ขณะนี้เกษตรกรมีการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ที่ได้รับ เช่น ปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ (โคเนื้อ) ในพื้นที่บริเวณบ้าน ส่วนที่ทำกิน 5 ไร่ ส่วนใหญ่เกษตรกรจะเพาะปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก ควบคู่กับการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจัดหาอาหารสัตว์ ทั้งนี้ มีเกษตรกรบางรายเพาะปลูกข้าวเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือนด้วย

ด้านผลสำรวจรายได้ปีเพาะปลูก 2563/64 พบว่าเกษตรกรที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเฉลี่ย 2,968 บาทต่อไร่ สำหรับการเพาะปลูกข้าวและหญ้าเลี้ยงสัตว์นั้น เกษตรกรไม่ได้มีการจำหน่าย แต่นำข้าวมาบริโภคในครัวเรือน และนำผลผลิตจากหญ้าเลี้ยงสัตว์ใช้เป็นอาหารสำหรับโคเนื้อ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลงได้เฉลี่ย 4,657 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ทั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้รวม 2.015 ล้านบาทต่อปี

"ภาพรวมเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการพึงพอใจการดำเนินโครงการเป็นอย่างมาก เกษตรกรสามารถทำการเกษตรเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ รู้สึกถึงความมั่นคงในที่ดิน เนื่องจากเป็นการให้สิทธิในการเข้าใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐได้เท่าเทียมกับพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไป นอกเหนือจากการจัดที่ดินและส่งเสริมพัฒนาอาชีพทางการเกษตรในพื้นที่แล้ว ควรส่งเสริมให้เกิดการดำเนินงานของการรวมกลุ่มสหกรณ์เพื่อการผลิตและการตลาดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างเต็มที่" รองเลขาธิการ สศก.กล่าว
#2877


วันนี้ (17 สิงหาคม 2564) นอกจากเป็นวันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ยังเป็นวันครบรอบ 2 ปี ที่พวกเราคนไทยได้สูญเสียน้อง "มาเรียม" พะยูนน้อยขวัญใจคนไทย ไปจากขยะพลาสติกครับ จากการสูญเสียครั้งนั้น ผมได้มอบแนวคิดในการทำงานอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์ทะเลหายากอย่างเป็นระบบ ภายใต้ชื่อ "มาเรียมโปรเจกต์" เพื่อสะท้อนความสำคัญและปัญหาด้านการจัดการสัตว์ป่าและสัตว์ทะเลหายาก

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างได้เร่งกำหนดแนวทางและมาตรการกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง หนึ่งในแผนสำคัญ คือการเสนอแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่า ประเทศไทยจะต้องมีพะยูนไม่น้อยกว่า 280 ตัว ในปี 2565 ซึ่งปัจจุบัน ปี 2564 นี้ เราสำรวจพบพะยูนในทะเลไทยได้ 261 ตัวครับ



2 ปีที่ผ่านมา เราได้เร่งขับเคลื่อนโครงการ ภายใต้แผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ กว่า 7 โครงการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านวิชาการ การกำหนดมาตรการจัดการเครื่องมือประมง การพัฒนาองค์ความรู้และประชาสัมพันธ์ การทำแผนระดับพื้นที่ และการเพิ่มกำลังในการลาดตระเวน รวมถึงบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการตายของน้องมาเรียม คือ ปัญหาขยะทะเล ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ประกาศ Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 โดยเร่งขับเคลื่อนการจัดการขยะทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางก่อนลงสู่ทะเล

สำหรับแนวทางและมาตรการในการดูแลสัตว์ทะเลหายากรวมถึงการคุ้มครองพื้นที่แหล่งที่อยู่อาศัย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไปครับ

"การไม่ทิ้งขยะลงสู่ทะเล นอกจากจะเป็นการช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเล รวมถึงระบบนิเวศทางทะเลมีความอุดมสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างทัศนียภาพทางทะเลให้กลับมางดงามดังเดิมอีกครั้งหนึ่งด้วยนะครับ"

พะยูน เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และเป็นสัตว์น้ำชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon

ถือเป็นหนึ่งในสัตว์หายาก และนับวันยิ่งมีจำนวนน้อยลง เพราะเสี่ยงต่อภาวะสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การเพิ่มประชากรพะยูน การดูแลพื้นที่อาศัยของพะยูน การจัดการท่องเที่ยว การประมงเพื่อลดการรบกวนพะยูน การจัดตั้งศูนย์ช่วยชีวิต การสร้างพิพิธภัณฑ์สัตว์หายากและศูนย์เรียนรู้ฯ รวมไปถึงการรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์พะยูน จึงถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการอนุรักษ์พะยูนให้คงอยู่คู่ทะเลไทยสืบไป

ข้อมูลอ้างอิง TOP Varawut - ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา
#2878


เมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 ร.ต.อ.วิรุฬห์ กลางคำ รอง สว.สอบสวน สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รับแจ้งจาก น.ส.ณัฐนิกา หวังชม อายุ 31 ปี ชาวบ้านพื้นที่ ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ว่าตนเป็นผู้โชคดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่ 16 ส.ค.64 จำนวน 2 ฉบับเว็บรวยruay มูลค่า 12 ล้านบาท โดยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดที่ 31 ชุดที่ 18 และ 20 วันที่ 16 ส.ค.64 หมายเลข 045750 มาขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักก่อนไปขึ้นเงิน


น.ส.ณัฐนิกา กล่าวว่า ตัวเองเป็นแม่ค้าเปิดร้านขายกาแฟเย็น ในที่ว่าการอำเภอวารินชำราบ ก่อนวันหวยออกตนฝันว่ามีคนมาบอกให้ซื้อหวยเลข 49,50 เป็นเวลา 2 วันติดๆ กัน จนมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกับแม่ค้าสลากที่เดินมาขายให้ที่ร้านตน แต่แม่ค้ามีแต่เลขท้าย 50 ตนจึงเหมาทั้งหมด 2 ใบ ไม่คิดว่าความฝันครั้งนี้จะทำให้กลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ เงินทั้งหมดที่ได้จะนำไปใช้จ่ายเก็บเป็นทุนเลี้ยงครอบครัวต่อไป.
#2879


ในยุคที่ผู้คนใช้เครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันจนคล้ายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้ว ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเวลาเข้านอน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ในภาวะที่การเดินทางระหว่างประเทศก็เป็นไปได้ยาก บางรายอาจไม่ทราบวิธีการเข้าถึงข้อมูลด้านการค้า ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจในปัจจุบัน การมีข้อมูลที่มากกว่าจะช่วยให้เราสามารถวางแผน ตัดสินใจ และดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

DITP Overseas เป็นบริการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) พร้อมจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการ โดยรวบรวมข้อมูลความรู้ด้านการค้า และเทรนด์สินค้าใหม่ๆ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 32 แห่ง ใน 6 ภูมิภาคซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ ภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ภูมิภาคยุโรป และCIS ภูมิภาคแอฟริกา และตะวันออกกลาง

โดยข้อมูลของ DITP Overseas เหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ ย่อย และนำเสนอให้เข้าถึงง่ายและสะดวกมากขึ้น ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเอกสารข้อมูล ภาพ เสียง และโมชั่นกราฟฟิก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้พิจารณาปัจจัยแวดล้อมของแต่ละตลาดสินค้าที่สนใจ สร้างโอกาสและต่อยอด เพื่อประโยชน์ด้านการค้าของตนเองต่อไป

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กำลังพัฒนาคู่มือการค้าของทั้ง 27 ประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจตลาดใน 6 ภูมิภาคนี้ ช่องทางในการค้นหาข้อมูลการค้าได้สะดวก โดยสามารถกรอกรายละเอียดเพื่อสมัครสมาชิก และรับข่าวสารกิจกรรมด้านการค้าและรับสิทธิในการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทางการค้าจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้ง 32 แห่งได้ง่ายๆ ในรูปแบบกิจกรรมสัมมนาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญตลาดการค้าในแต่ละประเทศ หรือกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์

โดยระบบการจัดเก็บรายชื่อดังกล่าว ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้สำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจของผู้ประกอบการไทย และสามารถนำเสนอข้อมูลต่อไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศที่สนใจได้โดยตรงอีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลสำคัญด้านการค้าเหล่านี้ได้ ผ่านช่องทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์มได้ทาง

FB: DitpOverseas https:// www.facebook.com/ditpoverseas
Youtube: DITP Overseas
Website: https:// ditp-overseas.com/
#2880


รู้จัก "ทุ่งกะมัง" ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับสมญานามว่า แดนสวรรค์ของสัตว์ป่า แหล่งอาหารชั้นดีและบ้านสุดปลอดภัย โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง


เฟซบุ๊กเพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า ทุ่งกะมัง เป็นที่ราบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงต้องการให้มีการอนุรักษ์สัตว์ป่าและนำสัตว์ป่ากลับคืนถิ่น โดยมีการจัดการทุ่งหญ้าด้วยวิธีการตัด และเผา อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดหญ้าระบัดเป็นแหล่งอาหารให้สัตว์ป่า


ทุ่งกะมังถือเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเหล่าสัตว์ป่านานาชนิด และเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ป่า จึงทำให้ผู้ที่เข้าไปศึกษาธรรมชาติสามารถพบเห็นสัตว์ป่านานาชนิด ที่ออกมาหาอาหารบริเวณทุ่งกะมังได้ง่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยเฉพาะเนื้อทราบ สัตว์ป่าที่ประสบผลสำเร็จในการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ

ชื่อเรียกในอดีต "ทุ่งกำวาง" มาจากในอดีต มีราษฎรเข้ามาจับจองอยู่อาศัยทำกินในทุ่งแห่งนี้ แต่เนื่องจากพื้นที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เส้นทางทุรกันดาร และโรคภัย จึงมีราษฎรที่จับจองที่อยู่อาศัยทำกินต้องละทิ้งที่ทำกิน ออกไปหาที่อยู่อาศัยทำกินแห่งใหม่ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ทุ่งกำวาง"

ต่อมาชาวไทคอนสาร จากอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อพยพย้ายถิ่นมาอยู่อาศัยทำกิน ในท้องที่อำเภอคอนสารปัจจุบัน ได้เข้ามาพบเห็นภูมิประเทศลักษณะเป็นแอ่ง ๆ คล้ายกะละมัง จึงเรียก "ทุ่งกะมัง" ตามภาษาท้องถิ่นไทคอนสาร

ภาพถ่าย : อภิรัฐ ทัดกลาง / เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว Phu Khieo Wildlife Sanctuary/ปชส.
ที่มา : สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 7 (นครราชสีมา)