• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - hs8jai

#2201
กรุงศรีประกาศพร้อมเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ผนึกกำลัง MUFG เดินหน้ารุกตลาด ESG โตต่อเนื่อง

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เผยทิศทางกลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ปี 2565 มุ่งเน้นการเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ สร้างตลาดการเงินด้านความยั่งยืนให้เติบโตต่อเนื่อง ชูธงการเป็นผู้นำนวัตกรรมทางการเงินและองค์ความรู้ด้าน ESG และนำเสนอ Total Financing & Hedging Solution สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจของลูกค้าผ่านความร่วมมือ MUFG และสร้างความแตกต่างโดยการให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่อช่วยลูกค้าฟื้นฟูธุรกิจและขยายโอกาสด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ของลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจของลูกค้าอย่างต่อเนื่องตามแผนธุรกิจระยะกลางปี 2564-2566

นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ในปีที่ผ่านมา กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 413,000 ล้านบาท ในส่วนของยอดสินเชื่อลูกค้าธุรกิจในปี 2564 ยังคงเติบโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในด้าน ESG กรุงศรีก็ยังคงความเป็นผู้นำด้าน ESG ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนครั้งแรกในประเทศไทยให้กับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งกรุงศรีเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก The Asset รวมทั้งได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ประสานงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Coordinator) ในการปล่อยสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan: SLL) นอกจากนั้น กรุงศรียังเป็นธนาคารแรกที่ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรในการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR ด้วยการเป็นพันธมิตรผู้สนับสนุนสินเชื่อธุรกิจของ ปตท. ซึ่งเป็นสินเชื่ออ้างอิง THOR ที่มูลค่าสูงที่สุดของไทยในขณะนี้ และร่วมกับบริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ประเดิมดีลสินเชื่อระยะยาวอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง THOR เป็นรายแรกในประเทศไทย ช่วยส่งเสริมนโยบายการพัฒนาตลาดการเงินของไทยของธนาคารแห่งประเทศไทย กรุงศรียังประสบความสำเร็จในฐานะตัวแทนการจำหน่าย (Selling Agent) เปิดรับจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR สำหรับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเปิดให้จองผ่านทางธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) และเป็นครั้งแรกที่เปิดให้จองหุ้นผ่านช่องทางออนไลน์บน KMA หรือ กรุงศรี โมบาย แอปพลิเคชัน"

นายประกอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 นี้ เราตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 2% และตั้งเป้าการเติบโตด้าน ESG Finance อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และให้ความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าด้าน ESG Financing ในตลาดการเงินโลกร่วมกับ MUFG เพื่อส่งเสริมการเติบโตของตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย และมอบบริการที่แตกต่างด้วยการให้คำปรึกษาทางธุรกิจโดยทีมผู้จัดการความสัมพันธ์ซึ่งผสานความร่วมมือจากทุกหน่วยงานภายในกรุงศรี ทั้งนี้ กลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจยังคงมุ่งมั่นในการเป็น Trusted Partner หรือพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยสร้างการเติบโตผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่

สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจของลูกค้า (Value Creation): โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งโซลูชั่นให้ลูกค้าอย่างครบวงจรในแบบ Total Financing & Hedging Solution พร้อมประสานความร่วมมือกับ MUFG เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการช่วยลูกค้าขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งต่อยอดพัฒนาตลาดการเงินด้านความยั่งยืนด้วย ESG Finance ที่กรุงศรีมีความโดดเด่นและเชี่ยวชาญ โดยกรุงศรีมีแนวทางและผลิตภัณฑ์ด้านสังคม (Social) และการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ที่พร้อมให้การสนับสนุนให้กับลูกค้า เช่น สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน และ หุ้นกู้ ESG รวมถึงการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ เช่น โซลาร์รูฟ (Solar Roof)
คุณภาพสินทรัพย์: ให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงการฟื้นฟูหลังจากสถานการณ์โควิด เพื่อให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น และสนับสนุนลูกค้าในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
Value Chain & Digitalization: เรายังมีแผนที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำธุรกรรมการเงินมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และเดินหน้ายกระดับกระบวนการการทำงานภายในของเราด้วยการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเป็นตัวช่วยเสริมสร้างศักยภาพของระบบการทำงานและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า"
"ในปี 2565 นี้ เรามีเป้าหมายของการนำเอาความเชี่ยวชาญ องค์ความรู้จาก MUFG มาใช้ประโยชน์ เน้นการสร้างทีมที่แข็งแกร่งเข้าใจลูกค้า นำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า และมุ่งส่งเสริมการทำธุรกิจด้าน ESG เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยสนับสนุนลูกค้าในการเติบโตอย่างยั่งยืน" นายประกอบกล่าวสรุป

เกี่ยวกับกรุงศรี

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก และเป็นหนึ่งในหกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) โดยดำเนินธุรกิจมานานถึง 76 ปี กรุงศรีเป็นบริษัทในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก กลุ่มกรุงศรีให้บริการทางการเงินการธนาคารอย่างครบวงจร ทั้งในด้านสินเชื่อเพื่อรายย่อย การลงทุน การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอันหลากหลายแก่กลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้า SME และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ผ่านสาขาของธนาคารกว่า 641 สาขา (เป็นสาขาที่ให้บริการทางการเงินในรูปแบบปกติ 602 สาขาและสาขาที่ให้บริการเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 39 สาขา) และช่องทางการขายกว่า 32,527 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ กรุงศรียังเป็นผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีจำนวนบัญชีบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ/สินเชื่อส่วนบุคคลมากกว่า 9.6 ล้านบัญชี และเป็นผู้ให้บริการด้านสินเชื่อรถยนต์ชั้นนำ (กรุงศรี ออโต้) พร้อมทั้งมีบริษัทบริหารจัดการกองทุนที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่ง (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด) ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้มีรายได้น้อย (บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)) อีกด้วย

กรุงศรีมีพันธสัญญาในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างสูงสุด ธนาคารและบริษัทในเครือได้ผ่านการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ของ "แนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต" โดยมุ่งร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในไทยและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของธนาคาร เพื่อให้การดำเนินธุรกิจปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น

เกี่ยวกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)
มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) เป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันทางการเงินชั้นนำระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานในการดำเนินธุรกิจกว่า 360 ปี MUFG มีเครือข่ายสำนักงานราว 2,500 แห่ง ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานกว่า 170,000 คน MUFG นำเสนอบริการทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทรัสต์แบงก์กิ้ง ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจเช่าซื้อ MUFG มีเป้าหมายที่จะเป็น "กลุ่มสถาบันทางการเงินที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก" ด้วยการผสานศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองทุกความต้องการทางการเงินของลูกค้าโดยคำนึงถึงสังคมและการแบ่งปัน สู่ความเติบโตอย่างยั่งยืน MUFG จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ตลาดหลักทรัพย์นาโกยา และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MUFG กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.mufg .jp/english

 
#2202
ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย เปิดบ้านโชว์ระบบปฏิบัติการท่าเทียบเรือสุดอัจฉริยะ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง

บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย (HPT) ผู้นำในการดำเนินธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือขนถ่ายตู้บรรจุสินค้า ขานรับนโยบายของกลุ่มบริษัทฮัทชิสัน พอร์ท เพื่อบรรลุภารกิจในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 11 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573 ด้วยการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบปฏิบัติงาน ได้แก่ รถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ (autonomous truck) ปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าควบคุมจากระยะไกล (remoted control super post panamax ship to shore cranes) และปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานแบบล้อยาง (remote-control rubber tyred yard cranes) ณ ท่าเทียบเรือชุดดี ของ HPT ที่ท่าเรือแหลมฉบัง

ทั้งนี้ ขณะที่ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย เดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตามแนวทางด้านความยั่งยืน บริษัทฯ ยังเดินหน้าในการปรับระบบการทำงานที่ตอบรับกับความเปลี่ยนแปลง มีการเชื่อมโยงกับความต้องการของผู้รับบริการ และนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในด้านการขนส่งมาใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพให้รองรับในด้านบริการที่ครอบคลุมเรือสินค้าไม่ว่าขนาดใด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปเพื่อเป้าหมายของการส่งเสริมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (Eastern Economic Corridor: EEC) รวมถึงการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอีกด้วย

ในปี 2564 มูลค่าการนำเข้าของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 29.8 เปอร์เซ็นต์ ด้วยมูลค่ารวมที่ 267.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 17.1 เปอร์เซ็นต์ ด้วยมูลค่ารวมที่ 271.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การริเริ่มด้านการพัฒนาของ HPT นี้ดำเนินไปเพื่อตอกย้ำถึงแนวทางการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของบริษัทและประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในสามเรื่อง คือ

สภาพแวดล้อม: เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ให้คำมั่นที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขยะจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจหลักของกลุ่มบริษัทฮัทชิสัน พอร์ท ที่มุ่งในการลดการใช้พลังงานดีเซลต่อ TEU ลง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปีจนถึงปี 2566 ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 11 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573 และเพื่อให้แผนงานดังกล่าวสำเร็จลุล่วง บริษัทฯ มีการนำรถบรรทุกระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปั่นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าควบคุมระยะไกล ระบบ 5G สำหรับอุปกรณ์ควบคุมระยะไกล รวมถึงการใช้ปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานควบคุมจากระยะไกล และเปลี่ยนไปใช้ช่องทางผ่านเข้าออกท่าเทียบเรือแบบอัตโนมัติ อีกทั้งการใช้ระบบดิจิทัลและยกเลิกเอกสารกระดาษอย่างบริการผู้ช่วยออนไลน์และการนัดหมายรับส่งตู้สินค้า มีการสร้างเครื่องใช้ต่างๆ จากสิ่งของเหลือใช้ ซึ่งเป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่บริษัทฯ ให้ไว้ว่าจะก้าวสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวเป็นมิตรกับโลกและสิ่งแวดล้อม
บุคคลากร: แผนการพัฒนาด้านบุคลากรที่ประกอบไปด้วยโปรแกรมเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจเพื่อสนับสนุนให้พนักงานของบริษัทก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้อย่างเหมาะสม การพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ ของบริษัท ซึ่งทำให้ HPT ได้สร้างสัมพันธ์กับชุมชนรอบ ๆ รวมทั้งได้ริเริ่มดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนร่วมกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาล
ธุรกิจ: การสร้างความแข่งแกร่งด้านบรรษัทภิบาล โดย HPT จะเพิ่มการประเมินผลซัพพลายเออร์ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้รับเหมาที่จะมารับงานจากบริษัทที่เป็นไปตามเกณฑ์ด้านความยั่งยืน อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าทุก ๆ ขั้นตอนในการดำเนินการมีความโปร่งใส และทำให้ทั้งซัพพลายเออร์และลูกค้ามีความมั่นใจในมาตรฐานด้านกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของ HPT
มร. สตีเฟ้นท์ อาร์ชเวิรท กรรมการผู้จัดการ ฮัทชิสัน พอร์ท ประจำประเทศไทย และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนและการเติบโตของธุรกิจจะต้องทำควบคู่กันไป นับเป็นสิ่งสำคัญที่การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จะช่วยสร้างคุณค่าให้กับการดำเนินธุรกิจของเรา ขณะเดียวกันยังเป็นการลดการเกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์อีกด้วย การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อพันธกิจของพวกเราที่จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างในวิธีการทำงานของเรา และผมเองก็รู้สึกยินดีกับความคืบหน้าต่าง ๆ ที่ได้ทำให้บังเกิดขึ้นมา บริษัทของเรามีการตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับท่าเรือทุกแห่งในเครือทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง และผมมั่นใจว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ ไปพร้อม ๆ กับที่เราเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในแผนระยะยาว"

ปัจจุบันท่าเทียบเรือชุดดี ของ HPT กำลังเข้าสู่การก่อสร้างส่วนที่เหลือซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะสามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าได้ถึง 3.5 ล้าน TEU โดยท่าเทียบเรือชุดดี จะได้รับการติดตั้งปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าควบคุมระยะไกล (super post panamax ship to shore cranes ) จำนวน 17 คัน และปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานแบบล้อยางจำนวน 43 คัน ที่เป็นระบบไฟฟ้าควบคุมจากระยะไกลทั้งหมด และเป็นท่าเทียบเรือแห่งแรกในโลกที่นำรถบรรทุกขับเคลื่อนอัตโนมัติมาใช้งานร่วมกับรถบรรทุกแบบธรรมดา

ท่าเรือแหลมฉบัง คือท่าเรือหลักของประเทศไทยและยังเป็นด่านสำคัญของการนำเข้า-ส่งออกของประเทศ ในปี 2564 ท่าเรือแหลมฉบังรองรับปริมาณตู้สินค้ารวม 8.5 ล้าน TEU ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.9 ล้าน TEU จากปี 2563 โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของ HPT ณ ท่าเรือแหลมฉบังคิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2564 มีเรือบรรทุกตู้สินค้ากว่า 1,000 ลำ ในจำนวนนี้ได้รวมถึงเรือบรรทุกตู้สินค้าขนาดใหญ่ที่สุดอีกหลายลำที่ยังปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้มาใช้บริการที่ท่าเทียบเรือต่าง ๆ ของ HPT อีกด้วย
#2203
กพช.ปลดล็อกเพดานกู้กองทุนน้ำมันพร้อมรับมือวิกฤติ,ผ่านแนวทางดูแลต้นทุนค่าไฟ

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังมีความผันผวนและมีราคาสูง ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ ประกอบกับสภาพทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ตลอดจนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อนในการดำรงชีพ และสอดคล้องกับการดำเนินการขยายกรอบวงเงินกู้ยืมเงิน 20,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 วรรคสอง และปรับกลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Exit Strategy) ให้มีความยืดหยุ่นขึ้น

ดังนั้น ที่ประชุม กพช.จึงมีมติเห็นชอบทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563-2567 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 เพื่อรองรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดย กพช.เห็นชอบให้ปลดล็อกเพดานวงเงินกู้ยืมเงินจากที่กำหนดไว้ 40,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพ เนื่องจากความผันผวนด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

พร้อมกันนั้น กพช.ยังมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณและการดำเนินการเกี่ยวกับราคาก๊าซธรรมชาติภายใต้การกำกับของกกพ. (Energy Pool Price) ในช่วงสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีความผันผวน โดยมีหลักการนำต้นทุนค่าใช้จ่ายน้ำมันเตา น้ำมันดีเซลและ LNG นำเข้าของกลุ่ม Regulated Market มาเฉลี่ยกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas เพื่อให้ต้นทุนการผลิตของภาคไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรมในกลุ่ม Regulated Market อยู่ในทิศทางและแนวปฏิบัติเดียวกัน ซึ่งมีการใช้เชื้อเพลิงคิดเป็นหน่วยราคา/ความร้อน (บาท/MMBTU) และช่วยลดภาระค่า Ft ที่ส่งผลถึงผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง

และได้พิจารณาเพิ่มเติมให้มีการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนนอกเหนือจากกลุ่มสัญญาเดิม จากผู้ผลิตไฟฟ้าประเภทชีวมวลหรืออื่นๆ นอกจากชีวมวลจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว ไม่มีการลงทุนใหม่ และมีความพร้อมในการจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สามารถรองรับได้ โดยเป็นการรับซื้อปีต่อปีไม่เกิน 2 ปี ในรูปแบบสัญญา Non-Firm ที่กรอบราคารับซื้อไฟฟ้าสูงสุด ไม่เกิน Avoided cost และมอบหมายให้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้า โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) บริหารให้เป็นไปตามนโยบายต่อไป

โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีการผลิตและใช้เองอยู่แล้วในปัจจุบันและมีพลังงานส่วนเหลือที่จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบ รวมทั้งกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าและเงื่อนไขอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

นอกจากนั้น ที่ประชุม กพช.ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ดังนี้

1.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ให้มีการรับซื้อต่อเนื่องตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป กำหนดเป้าหมายรับซื้อปีละ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 2.20 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องปรับปรุงเป้าหมายการรับซื้อมอบให้ กบง.กำหนดเป้าหมายดังกล่าวได้

2.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับกลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา โรงพยาบาล และสูบน้ำเพื่อการเกษตร ปี 65 กำหนดเป้าหมายการรับซื้อ 10 เมกะวัตต์ (MWp) ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ 1.00 บาทต่อหน่วย และระยะเวลารับซื้อ 10 ปี

นายกุลิศ ยังเปิดเผยอีกว่า กพช.เห็นชอบให้ปรับเพิ่มวงเงินลงทุนโครงการก่อสร้างคลังจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Receiving Terminal) แห่งที่ 2 จังหวัดระยอง [T-2] ในแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงที่มอบหมายให้ บมจ. ปตท. (PTT) ดำเนินการ จากเดิมวงเงิน 38,500 ล้านบาท เป็นวงเงินไม่เกิน 41,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จเร็วกว่าแผนเดิมจากเดือน พ.ย.65 มาเป็นเดือน พ.ค.65 เพื่อให้สามารถรองรับการนำเข้า LNG ได้เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตันต่อปี เป็นการลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติจากการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ รวมถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ในประเทศเมียนมา โดยที่ประชุมได้ให้ กกพ. พิจารณาการส่งผ่านภาระการลงทุนโครงการที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราค่าบริการไฟฟ้าและค่าบริการก๊าซธรรมชาติในอนาคตไปยังผู้ใช้พลังงานได้เท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเหตุผลของการปรับเพิ่มวงเงินลงทุน

กพช.ยังหห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการหลวงพระบาง 2.8432 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เดือน ม.ค.73 และโครงการปากแบง 2.9179 บาท/หน่วย กำหนด COD เดือน ม.ค.76 โดยอัตราค่าไฟฟ้าค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดอายุสัญญาและได้มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) แล้ว และให้ กฟผ. สามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่าง Tariff MOU ของโครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ในขั้นตอนการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบอัตราค่า Wheeling Charge ของไทยและหลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าจากสปป.ลาวไปประเทศสิงคโปร์ ผ่านระบบส่งของประเทศไทยและมาเลเซีย (LTMS-PIP) ในอัตราเท่ากับ 3.1584 US Cents/หน่วย ระยะเวลาโครงการ 2 ปี โดยมอบหมายให้ กฟผ.ลงนามในร่างสัญญา EWA โครงการ LTMS-PIP ที่ผ่านการพิจารณาจาก อส. แล้ว
#2204

SCB ประกาศแต่งตั้ง นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นแม่ทัพนำทีมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย เป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินการลงทุน มีความรู้ ความสามารถและเชี่ยวชาญ ด้านการบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าระดับสูงของประเทศ จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ด้านนางสาวลลิตภัทร พร้อมต่อยอดความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าระดับสูงของธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง โดยยึด 3 แกนหลักพัฒนาต่อเนื่องทั้งด้าน Wealth Preservation , Wealth Creation และเสริมศักยภาพ SCB Financial Business Group ให้เต็มรูปแบบจากความแข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งนำระบบ Digital platform มาใช้ในการคัดสรรผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆจากทั่วโลก ตามความเสี่ยงที่รับได้อย่างแท้จริง สามารถส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างมั่นคงทั้งด้านธุรกิจและการลงทุน

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้ง นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ควบคู่กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เพื่อนำทีมสร้างการเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงให้กับลูกค้าในประเทศไทยโดยนางสาวลลิตภัทร เป็นบุคคลหนี่งในแวดวงการเงินการธนาคาร ที่มีประสบการณ์สูงในเรื่องของไพรเวทแบงก์กิ้ง เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและความรู้ด้านการเงิน การลงทุนที่รอบด้าน คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์การทำงานกับธนาคารต่างชาติ และที่ธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 20ปี จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จึงเชื่อมั่นว่านางสาวลลิตภัทร จะนำเอาความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มาช่วยในการสานต่อแผนยุทธศาสตร์และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Bnaking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า พร้อมที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าระดับสูงของประเทศไทย ผ่านธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง ให้เติบโตไปพร้อมกับความมั่งคั่งของลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี โดยธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง รับบริหารสินทรัพย์เพื่อการลงทุนตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป (High Net Worth Individuals ) ส่วนไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ รับบริหารสินทรัพย์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป (Ultra High Net Worth Individuals ) เพื่อเป็นการต่อยอดบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าที่สนใจลงทุนในต่างประเทศทั้ง100% โดยหัวใจสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งคือต้องเข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาดการลงทุน คัดสรรผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในทุกช่วงเวลา เพื่อให้เงินลงทุนของลูกค้างอกเงยขึ้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

โดย SCB PRIVATE BANKING ยังคงยึด 3 แกนหลักที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ 1) การพัฒนาด้าน Wealth Preservation โดยยกระดับคุณภาพของทีมที่ปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (RM) ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ ความต้องการของลูกค้าด้านการลงทุนอย่างแท้จริง 2) การพัฒนาด้าน Wealth Creation บริการที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนทั้งในส่วนบุคคลและธุรกิจของลูกค้าแบบครบวงจรมีการลงทุนแบบ Open Architecture Platform ที่สามารถเข้าถึงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในหลากหลายสินทรัพย์มากที่สุดในประเทศ และ 3) เสริมศักยภาพด้าน SCB Financial Business Group ให้เต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้นจากความแข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ที่ครบเครื่องทั้งด้านความรู้ ความชำนาญและสินทรัพย์ที่ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมทั้งเรื่องธุรกิจและการลงทุน การผนึกกำลังทุกช่องทางของ SCB Group นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเสริมศักยภาพของ SCB PRIVATE BANKING
#2205
จีนอาจหันหน้าพึ่งอินโดฯนำเข้าถ่านหิน หลังสงครามกระทบการส่งออกรัสเซีย

แม้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากนัก แต่ขณะนี้ก็มีหลายประเทศที่เริ่มรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มผู้นำเข้าน้ำมัน
นายแอนโธนี นาฟเต จากบริษัทซีแอลเอสเอ (CLSA) เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เมื่อไม่นานมานี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้พุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าระดับคาดการณ์ และมีแนวโน้มว่าจะยืนราคาในระดับนี้ไปอีกระยะใหญ่

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์กับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก โดยมีการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของสินค้าทั้งหมด และด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น อาจทำให้จีนต้องพึ่งพาอินโดนีเซียมากขึ้น

ปัจจุบัน รัสเซียเป็นผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน แต่สงครามที่เกิดขึ้นนี้อาจบีบให้จีนต้องหันหน้ามาพึ่งพาการนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียเพิ่มเติมอีกทาง

นายนาฟเตกล่าวว่า อินโดนีเซียจะได้รับประโยชน์จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้น รวมถึงปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย

อนึ่ง นับตั้งแต่ที่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ดีดตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่ราคาน้ำมันทะยานแรงแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 โดยรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ขณะที่ยูเครนเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ อาทิ ข้าวสาลี และข้าวโพด
#2206
ดาวโจนส์พุ่งไม่หยุด ล่าสุดทะยานกว่า 700 จุด ขานรับความหวังใกล้ปิดฉากสงคราม

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 700 จุด หลังการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนประสบความคืบหน้า ซึ่งจะปูทางให้สงครามในยูเครนยุติลง

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มปรับตัวมีเสถึยรภาพ หลังจากที่พุ่งขึ้นก่อนหน้านี้ และสร้างความกังวลเกี่ยวกับการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ณ เวลา 00.01 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,364.09 จุด บวก 731.45 จุด หรือ 2.24%

หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นนำตลาด สวนทางหุ้นพลังงานที่ดิ่งลงเพียงกลุ่มเดียวในวันนี้ สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก

นักลงทุนคาดหวังว่าสงครามในยูเครนใกล้ยุติลง หลังจากมีข่าวว่ายูเครนได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ขณะที่รัสเซียเปิดเผยว่าการเจรจากับยูเครนมีความคืบหน้า

ทั้งนี้ ทางการรัสเซียแถลงในวันนี้ว่า การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกำลังมีความคืบหน้า และรัสเซียไม่มีความประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลยูเครน

"การเจรจาประสบความคืบหน้า" นางมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าว โดยระบุถึงการเจรจาสันติภาพ 3 รอบระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครน

นางซาคาโรวากล่าวว่า รัสเซียไม่มีความประสงค์ที่จะยึดครองยูเครน หรือโค่นล้มรัฐบาลยูเครน

"เป้าหมายของกองทัพไม่ได้ต้องการยึดครองยูเครน หรือทำลายความเป็นรัฐของยูเครน หรือคว่ำรัฐบาลยูเครน และไม่มีเป้าหมายโจมตีพลเรือน" นางซาคาโรวากล่าว
นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า รัสเซียต้องการที่จะเจรจาสันติภาพรอบใหม่กับยูเครน ทันทีที่คณะผู้แทนของยูเครนมีความพร้อม

นอกจากนี้ นายเพสคอฟยังกล่าวว่า การเจรจาระหว่างนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย และนายดมิโทร คูเลบา รมว.ต่างประเทศยูเครน ในวันพรุ่งนี้ที่ตุรกี ถือว่ามีความสำคัญในกระบวนการหารือเพื่อหาทางออกต่อวิกฤตการณ์ในยูเครน

นายอิฮอร์ โซฟวา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครน และเป็นผู้ช่วยของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า ยูเครนเปิดกว้างที่จะหาทางออกตามแนวทางการทูตเพื่อยุติสงครามกับรัสเซีย

นอกจากนี้ นายโซฟวากล่าวว่า ปธน.เซเลนสกีพร้อมที่จะพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

ราคาน้ำมันดิบร่วงลงในวันนี้ โดยล่าสุด สัญญาล่วงหน้า WTI ร่วงหลุดระดับ 117 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์หลุดระดับ 120 ดอลลาร์ หลังมีข่าวว่า สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตรียมระบายน้ำมันออกสู่ตลาดเพื่อสกัดราคาที่พุ่งขึ้นในขณะนี้

นักลงทุนจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนนี้ ซึ่งไม่รุนแรงเหมือนกับที่นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าจะปรับขึ้น 0.50%
#2207
บอร์ดกพอ.ให้สิทธิประโยชน์ 7 เขตส่งเสริมพิเศษ ดึงเม็ดเงินลงทุน นำร่องเมืองการบินภาคตอ.

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2565 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานว่า ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 65 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ ซึ่งเป็นการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมพิเศษ รวม 7 เขต ได้แก่ เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เขตส่งเสริมรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (EECh) ศูนย์นวัตกรรมการแพทยครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) และศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นสูงบ้านฉาง

โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้สิทธิประโยชน์ EEC แก่นักลงทุน ก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ

สำหรับร่างประกาศสิทธิประโยชน์ฯ มีหลักการที่สำคัญคือ การสร้างนวัตกรรมการให้บริการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ เน้นการออกแบบสิทธิประโยชน์ตรงตามความต้องการของนักลงทุน โดยการเจรจาให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนแต่ละราย ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเป้าหมาย

ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ EEC เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้เกิดการลงทุนที่คล่องตัว เพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหญ่เข้าสู่พื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเงินลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้ตามเป้าหมายของ EEC

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าโครงการธีมพาร์คและสวนน้ำ "โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส" ซึ่งบริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ระดับโลก ร่วมกับบริษัท อเมซอน ฟอสส์ จำกัด ประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก สกพอ. เพื่อดำเนินโครงการธีมพาร์คและสวนน้ำ "โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส" ถือเป็นสวนน้ำแห่งแรกในโลก "Aquaverse: The amazing chapter of global immersive entertainment in EEC Thailand" เป็นเมืองสวนสนุกขนาด 200 ไร่ มีเครื่องเล่นอัจฉริยะระดับโลกเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

โดยมีกำหนดเปิด "โคลัมเบีย พิคเจอร์ส อควาเวิร์ส" ระยะที่ 1 ณ เทศบาลบางเสร่ อำเภอสัต.บ จังหวัดชลบุรี จากเดิมกำหนดไว้วันที่ 8 เมษายน 65 แต่เนื่องจากมีสถานการณ์โควิด และสถานการณ์รัสเซียและยูเครน อาจเลื่อนไปเปิดตัว 1-2 เดือน และในระยะต่อไปจะเปิดตัวโครงการ ระยะที่ 2 ด้วยสวนสนุกในพื้นที่ติดกันในชื่อ "วันเดอะเวิร์ส" (Wonderverse)" ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในปี 67

ทั้งนี้ โครงการฯ จะทำให้เกิดการสร้างงานและการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และจะทำให้ EEC และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในฝันสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว (Family Market) จากนักท่องเที่ยวในประเทศและจากทั่วทุกมุมโลก
#2208
ปธน.จีนเน้นย้ำความมั่นคงด้านอาหาร ตั้งเป้าพัฒนานวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่

จีนให้คำมั่นในการยกระดับความสำคัญของกำลังการผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจร ระหว่างการประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนที่กรุงปักกิ่ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาในปี 2565

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประชุมร่วมกับที่ปรึกษาทางการเมืองระดับชาติจากภาคเกษตรกรรม สวัสดิการ และประกันสังคม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) พร้อมเรียกร้องว่า อย่าละเลยประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร เพราะความมั่นคงด้านอาหารเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่สุดของประเทศ และในขณะเดียวกันผู้นำจีนก็ตั้งคำถามว่า "ใครจะเป็นคนเลี้ยงจีน"

ปธน.สี กล่าวว่า การกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด และอาหารเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของประชาชน พร้อมกล่าวว่า เมื่อเจ็ดทศวรรษที่แล้ว จีนมีประชากรขาดอาหารถึง 400 ล้านคน แต่วันนี้ผู้คน 1.4 พันล้านคนได้กินอย่างดีและมีทางเลือกหลากหลาย จีนสามารถเลี้ยงคนได้ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งโลก ด้วยพื้นที่เพาะปลูก 9% และแหล่งน้ำจืด 6% ของทั้งโลก

"แม้จีนจะเป็นชาติอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็ไม่ควรมองว่าอุปทานอาหารเป็นปัญหาที่ไม่สำคัญ และจีนไม่สามารถพึ่งพาตลาดต่างประเทศแต่เพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหานี้" ปธน.จีน กล่าว
ปธน.สี เน้นด้วยว่า ความมั่นคงด้านทรัพยากรเมล็ดพันธุ์เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ของประเทศ จำเป็นต้องเพิ่มการพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ และสร้างความมั่นใจว่าทรัพยากรเมล็ดพันธุ์ของประเทศสามารถเลี้ยงตัวได้และมีการควบคุมที่ดีขึ้น ปธน.สี กล่าวโดยเน้นถึงความสำคัญของการปฏิรูปกลไกทางวิทยาศาสตร์การเกษตร และบทบาทด้านนวัตกรรมของวิสาหกิจ

การไม่มีอาหารเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมจัดเลี้ยงถือเป็นภารกิจระยะยาว และเราต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสังคมอนุรักษ์ทรัพยากร

นอกจากนี้ จีนตั้งเป้าที่จะสร้างระบบนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ภายในปี 2568 ตามแนวทางการพัฒนาของสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศจีน (CAAS) สำหรับแผนห้าปี ฉบับที่ 14

โดยในระหว่างการหารือ ปธน.สี จิ้นผิง ยังชี้ด้วยว่า ต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบประกันสังคมคุณภาพสูง และเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมจะต้องได้รับการพัฒนาต่อไปเพื่อสวัสดิภาพของประชาชน

 
#2209
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#2210
บอร์ด TQM ไฟเขียว เสนอผู้ถือหุ้นเข้าซื้อ TQR ในราคาหุ้นละ 5.10 บาท เผยหลังปิดดีล TQM ถือหุ้นรวม 44.43%

บอร์ดบมจ. ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น หรือ TQM เตรียมเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติเข้าซื้อหุ้น TQR จากผู้ถือหุ้นใหญ่ กลุ่มพรรณนิภา เผยเข้าลงทุนในหุ้น 102 ล้านหุ้น ของหุ้น TQR ทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 5.10 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 520.20 ล้านบาท ระบุภายหลังดำเนินการแล้วเสร็จจะทำกลยุทธ์ร่วมกันเพื่อขยายธุรกิจ โดย TQR เป็นธุรกิจนายหน้ารับประกันภัยต่อที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงได้ดี ขณะที่ TQM มีฐานข้อมูลและความเข้าใจผู้บริโภคในตลาดเป็นอย่างดี มั่นใจจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ๆ ที่ตรงความต้องการของลูกค้าและช่วยบริหารความเสี่ยงภัยได้เป็นอย่างดี นับเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมพร้อมยกระดับการให้บริการในธุรกิจนายหน้าประกันภัยอย่างครบวงจรและสมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย 

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอวาระต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าลงทุนในหุ้นของ บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TQR จำนวน 102 ล้านหุ้น หรือ 44.35% ของหุ้น TQR ทั้งหมดในราคาหุ้นละ 5.10 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 520.20 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังเข้าซื้อแล้วทำให้ TQM ถือหุ้นรวม 44.43% โดยการเข้าถือหุ้นเพิ่มในครั้งนี้ส่งผลให้ TQM มีจำนวนหุ้นเกินกว่า 25% จึงต้องดำเนินการเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ TQR (Tender offer) ที่ราคาหุ้นละ 5.10 บาท ภายในวงเงินประมาณ 651.83 ล้านบาท

"การที่ TQM เข้าซื้อหุ้นของ TQR ในครั้งนี้ นับเป็นการเข้าลงทุนในธุรกิจที่ให้การสนับสนุนระหว่างกัน เป็นการขยายธุรกิจและกระจายการลงทุน ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวของ TQM ที่ต้องการพัฒนาและยกระดับให้เป็นกลุ่มบริษัทนายหน้าประกันภัยที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้าและคู่ค้า ด้วยการนำเสนอบริการแบบครบวงจรที่สุดในประเทศไทย"

ด้านนายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความยินดีอย่างยิ่งที่ TQM จะมาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และมั่นใจว่าทั้ง 2 บริษัทจะสร้างประโยชน์ร่วมกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ส่งผลดีทั้งแก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม TQR เป็นบริษัทนายหน้ารับประกันภัยต่อที่มีศักยภาพสูง ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง รายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา TQR มีรายได้ที่ 256 ล้านบาท และกำไร 97 ล้านบาท

ทั้งนี้ TQM จะเข้าซื้อหุ้นหลังจากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 (AGM) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 คาดว่าจะเข้าทำรายการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2565 นี้
#2211
นายกฯ สั่งบริหารพลังงานช่วยผู้มีรายได้น้อย-พาณิชย์คุมราคาสินค้าอุปโภค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า สิ่งสำคัญวันนี้เราจะแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการสู้รบอย่างไร ซึ่งต้องมีการเตรียมหลายมาตรการไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานที่เริ่มได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นราคาก๊าซและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการดูแลเรื่องนี้ไปแล้วพอสมควรเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตรในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำขอความร่วมมือจากประชาชนในการใช้พลังงานอย่างประหยัดเปิด-ปิดไฟเป็นเวลา รวมถึงการใช้รถยนต์ โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการห้ามใช้รถยนต์ แต่ขอให้ลดลงและใช้เฉพาะตามความจำเป็น รวมทั้งให้ล้างทำความสะอาดแอร์ ปรับรูปแบบการทำงานเป็น WFH บ้าง ซึ่งมาตรการทั้งหมดเป็นการช่วยเหลือเพื่อลดค่าใช้จ่ายของตัวเองลง

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ส่วนที่เหลือก็ต้องหามาตรการมาดูแลตรงนี้ ซึ่งการใช้มาตรการต่างๆ ก็ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องของราคาน้ำมันดีเซล รัฐบาลก็ใช้งบประมาณวันละ 600 ล้านบาท เข้ามาดูแล และหากราคาน้ำมันเพิ่มไปแบบนี้ทุกวันจะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ ถ้ายังต้องใช้วิธีการแบบนี้

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้เตรียมความพร้อมจากสถานการณ์รัสเซียและยูเครนที่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าสูงขึ้น ทั้งก๊าซธรรมชาติ ค่าไฟ ราคาน้ำมัน ซึ่งสถานการณ์พลังงานสูงขึ้นเป็นรายวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก โดยได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารพลังงานอย่างเหมาะสม ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย และให้กระทรวงพาณิชย์ ดูแลเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีผลกระทบโดยตรง

นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้รณรงค์การประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นมาตรการไม่มีค่าใช้จ่าย โดยกำหนดให้เป็นวาระสำคัญของรัฐบาลเพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤติ ให้ส่วนราชการลดใช้พลังงาน 20% ลดการใช้น้ำมัน 10% รวมทั้งหาวิธีประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ เช่น การส่งเสริมการทำงานที่บ้าน (WFH)

ส่วนมาตรการเพื่อบรรเทาภาระประชาชนนั้น นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพิจารณา ซึ่งการควบคุมราคาสินค้าเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ และรัฐบาลก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตามงบประมาณที่มีอยู่

ส่วนงบประมาณหรือพ.ร.ก.กู้เงิน ยังมีเพียงพอหรือไม่ หรือมีความจำเป็นจะกู้เพิ่มหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ยังต้องพิจารณาต่อไปหากสถานการณ์ยืดเยื้อ แต่ส่วนที่กู้มาแล้วนำไปใช้อย่างไรทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว
#2212
แพลทินัม กรุ๊ป จับมือ ซีบีอาร์อี เดินหน้าโครงการออฟฟิศบิวดิ้ง 'Pier 111' (เพียร์ วันวันวัน) ที่สุดแห่งทำเลศักยภาพย่านศูนย์กลางทางธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ

บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวสุฐิตา โชติจุฬางกูร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด และ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้ง ซีบีอาร์อี เป็นตัวแทนแต่เพียง ผู้เดียวในการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงาน (Sole Agent) 'Pier 111' ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส โดยในส่วนออฟฟิศบิวดิ้งมีพื้นที่รวมกว่า 38,000 ตร.ม. ตั้งอยู่บนอาคารโซน M2 ของศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก (ราชประสงค์) ที่สุดแห่งทำเลศักยภาพในย่านศูนย์กลางทางธุรกิจใจกลางเมือง ที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายครบครัน รองรับคนไทยและชาวต่างชาติทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (MNC) กลุ่มคนทำงานที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในขณะนี้โครงการกำลังดำเนินงานก่อสร้างคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายไตรมาส 3/2565 นี้ โดยมีคณะผู้บริหาร นายพิชัย หยิ่มใจพูนทรัพย์, นางสาวอมรพรรณ เมธาทรงสถิตย์, นางสาวมณีรัตน์ วิจิตรรัตนะ และนายศรุต วีรกุล มาร่วมงาน

ทั้งนี้อาคารสำนักงาน 'Pier 111' สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Countless Opportunities - Limitless Connectivity' นอกจากนี้ยังเป็นโครงการที่คำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งานอาคาร และสังคมโดยรอบเป็นหลัก จากการออกแบบเพื่อมุ่งสู่การได้รับการรองรับมาตรฐาน WELL CertificationTM ในระดับ Gold จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอาคารสำนักงาน Pier 111 มีจุดเด่นที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Flexible Space พร้อมพื้นที่ส่วนกลางและห้องประชุมที่ออกแบบให้สามารถซัพพอร์ตความต้องการของออฟฟิศยุคใหม่ได้ทุกรูปแบบ ตอบโจทย์วิถีการทำงานยุคใหม่, เป็นพื้นที่ Third Place ที่หลอมรวมวิถีชีวิตการทำงาน ไลฟ์สไตล์ การพบปะสังสรรค์ พูดคุย เพื่อส่งต่อประสบการณ์ที่ดีไว้ได้ในจุดหมายปลายทางที่นี่ที่เดียว, Well Being ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนยุค next normal ที่ใส่ใจสุขภาพ ด้วยการจัดการให้มีระบบฟอกอากาศภายในสำนักงาน มีการดึงอากาศหมุนเวียนจากภายนอกเข้ามาในพื้นที่ เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก ตลอดจนจัดสรรพื้นที่สีเขียวบริเวณ Sky Garden ให้ทุกคนสามารถใช้พื้นที่ผ่อนคลายได้เต็มที่, Smart Office ทางโครงการได้นำเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในส่วนต่างๆ ภายในอาคารสำนักงานแห่งนี้เพื่อสอดรับกับวิถีชีวิตยุคใหม่ นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยการออกแบบซึ่งมีการนำกระจกบานใหญ่ มาใช้เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับแสงธรรมชาติในออฟฟิศ โดยในแต่ละชั้นมีความสูงจากพื้นถึงเพดาน 3.25 เมตร ถือว่าเป็นสูงที่สุดในอาคารสำนักงานย่านราชดำริ ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย และมีความสุขขณะทำงานในอาคารสำนักงานแห่งนี้

โดยอนาคตเมื่ออาคารสำนักงานแห่งนี้เสร็จตามแผนงานกลยุทธ์ที่บริษัทฯ ได้วางไว้ โครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์รวมแห่งความครบครันอันประกอบด้วย ศูนย์การค้าปลีก อาคารสำนักงาน โรงแรมแบรนด์ ชั้นนำ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายครบครันในที่เดียวโดดเด่นด้วยระบบการขนส่งที่เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่พื้นที่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นถนนเมนหลักเชื่อมต่อหลายเส้นทาง รถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 2-3 สาย อย่าง BTS ชิดลม และ BTS สยาม หรือเรือโดยสารที่มีสถานีเชื่อมกับด้านหลังอาคาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้คนในพื้นที่ พนักงานออฟฟิศ ลูกค้า และนักท่องเที่ยว ที่มาใช้บริการให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในอนาคต

ผู้บริหารในภาพจากซ้าย

นางสาวอมรพรรณ เมธาทรงสถิตย์ ผู้อำนวยการกิจกรรมการตลาด บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
นายพิชัย หยิ่มใจพูนทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายปฏิบัติการและบริหารอาคาร บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
นางสาวสุฐิตา โชติจุฬางกูร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย
นางสาวมณีรัตน์ วิจิตรรัตนะ ผู้อำนวยการอาวุโส แผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย
นายศรุต วีรกุล ผู้อำนวยการ แผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย
#2213
'From Pieces to Business' เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็น Business Model

บพข. ร่วมกับ สถาบันพลาสติก บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด PPP plastics และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประกวดแผนธุรกิจ สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน นำร่องใช้ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน

ขยะพลาสติกนั้นเป็นปัญหาที่เราพบเจอมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพชั้นในซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง ส่งผลให้เกิดการสร้างขยะในปริมาณสูงตามมาด้วย ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียว 1.91 ล้านตัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เพียง 0.35 ล้านตัน ที่เหลืออีก 1.56 ล้านตันอยู่ในบ่อขยะและหลุดรอดลงสู่สิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมา การนำขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบรีไซเคิล และการเพิ่มอัตราการนำขยะพลาสติกไปใช้ประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นับว่าเป็นการจัดการปัญหาขยะพลาสติกที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

โครงการพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน เป็นงานวิจัยที่เกิดจากการผลักดันและสนับสนุนทุนวิจัยโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้แผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับภาคีเครือข่าย อาทิ สถาบันพลาสติก บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด PPP plastics และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนารูปแบบโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ เริ่มจากการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง การจัดเก็บและแยกประเภท (Sorting & Bailing) และการนำไปใช้ประโยชน์ โดยรีไซเคิลหรือใช้เป็นพลังงานอย่างครบวงจร สำหรับบรรจุภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เหลือจากการใช้อุปโภคบริโภคแล้ว เพื่อเพิ่มอัตราการนำขยะพลาสติกไปใช้ประโยชน์ และป้องกันขยะพลาสติกหลุดไปสู่สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยโครงการดังกล่าวยึดหลัก 3P ของ Business Model คือ Profit หรือผลกำไรที่ทำให้ทุกภาคส่วนอยู่ได้ ต่อมาคือ People คนและสังคมอยู่ได้ ซึ่งธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังกลุ่มนี้ได้ สุดท้ายคือ Planet ธุรกิจจะช่วยสร้างประโยชน์และสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้โลกอยู่ได้ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน

ล่าสุด บพข. ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้จัดนิทรรศการ 'Let's Close the Loop' การจัดการขยะและขยะพลาสติกตามแนวคิดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคธุรกิจในการจัดการพลาสติกอย่างครบวงจร โดยจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 - 6 มีนาคม 2565 ณ โซน Living Hall ชั้น 3 สยามพารากอน โดยในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่มาจากการรีไซเคิล การจัดเสวนาให้ความรู้ประชาชนในการจัดการขยะที่ถูกต้อง และการจัดประกวดแผนธุรกิจสำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้หัวข้อ 'From Pieces to Business' ในรอบชิงชนะเลิศ โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อพัฒนาแบบแผนธุรกิจสำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน (เขตปทุมวัน) โดยการสนับสนุนจาก บพข. ซึ่งได้มีการดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์พลาสติกในประเทศไทยและการจัดการที่ถูกต้องจนครบวงจร ตลอดจนการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแผนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการจัดการขยะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และหลักการและแนวทางเบื้องต้นในการพัฒนาแบบแผนธุรกิจ รวมถึงการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันนำไปต่อยอดและพัฒนาแนวคิดแผนธุรกิจที่เป็นไปได้จริงในการจัดการพลาสติก โดยได้เปิดโอกาสให้ทั้งนักศึกษาและภาคธุรกิจทุกระดับสามารถส่งโมเดลธุรกิจเพื่อเข้าร่วมประกวด

นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามพิวรรธน์มีปณิธานที่แน่วแน่ในการดำเนินงานในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เรามีการรณรงค์ผ่านสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความรู้ที่จะเกิดขึ้นในการคัดแยกขยะที่ถูกต้อง นอกจากการให้ความรู้แล้ว สยามพิวรรธน์เองก็ยังมีการบริหารจัดการที่หลังบ้านของเราอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดบุคลากรที่ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราทำการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีปริมาณขยะที่ต้องถูกเอาไปฝังกลบน้อยลง เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระบบ Circular Economy คือการทำให้เกิด Up cycling ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากขยะและขยะพลาสติกมากขึ้น กิจกรรม Let's Close the Loop ในวันนี้เป็นสิ่งที่เราจะช่วยกันให้มีความรู้ในการจัดการขยะที่ถูกต้องและตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ถ้าเราทุกคนตระหนักรู้และมีการบริหารจัดการขยะที่ถูกต้อง ระบบนิเวศน์เราจะดีขึ้น สิ่งแวดล้อมที่เราจะส่งต่อให้ลูกหลานก็จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้น สิ่งที่ผู้เขาร่วมประกวดคิดมานั้นจะเป็นสิ่งที่เราจะนำไปสานต่อเพื่อสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อให้การรวบรวมขยะที่เราใช้อยู่ในทุกมีวงจรที่สมบูรณ์ขึ้น และมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น

นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันพลาสติก กล่าวว่า สถาบันพลาสติกได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก บพข. ให้ดำเนินโครงการพัฒนาแบบแผนธุรกิจสำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติกหลังการใช้โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ในพื้นที่เขตเมืองชั้นใน อันเป็นโครงการหนึ่งที่จะสนองตอบต่อวาระแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับทางด้าน BCG ของประเทศไทย สำหรับการพัฒนาแผนธุรกิจในโครงการนี้ สถาบันพลาสติกได้ร่วมมือกับ PPP plastics บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำแผนธุรกิจให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงการสอดแทรกพฤติกรรมที่จะสามารถช่วยให้เกิดการคัดแยกและการนำขยะพลาสติกกลับสู่ระบบได้มากขึ้น และเชื่อมโยงข้อมูลทั้งใน Value Chain ด้วยระบบ Digital Platform ทั้งนี้ตามแผนการดำเนินงานของโครงการ กิจกรรม 'From Pieces to Business' ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญในโครงการในการเปิดรับแนวคิดต่าง ๆ ในการบริหารจัดการขยะ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการต่าง ๆ ในพื้นที่ และผลงานจากการประกวดในวันนี้จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบเพื่อให้เราเห็นว่า ทุกภาคส่วนใน Value Chain มีความสำคัญที่จะสนับสนุนในการบริหารจัดการขยะให้เกิดเป็นผล และสามารถสร้างความยั่งยืนได้

นายวีระ ยังได้กล่าวต่อว่า พลาสติกยังมีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง COVID-19 เราได้ใช้ประโยชน์จากพลาสติกเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นพลาสติกนั้นมีประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาทางด้านขยะอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลักก็คือการบริหารจัดการให้ถูกต้องถูกวิธี จะสามารช่วยให้ทุก ๆ อย่างถูกดึงกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงขอย้ำว่าที่จริงแล้วพลาสติกนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่เราต้องตระหนักและเข้าใจว่าคุณค่าของพลาสติกคืออะไร ซึ่งถ้าเราตระหนักถึงคุณค่าได้แล้ว เราอยากจะใช้พลาสติกให้คุ้มค่ามากที่สุด และสิ่งนี้จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนและก่อประโยชน์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมา

ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล รองคณบดีด้านยุทธศาสตร์ นวัตกรรมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โจทย์ที่เรากำลังมองกันอยู่คือการที่จะปิด Loop การจัดการขยะพลาสติกที่อยู่บริเวณตัวเมือง หากมองมาที่ประเทศไทย ถามว่าตรงไหนคือพื้นที่เมือง ตรงไหนที่มีประชากรและการจราจรหนาแน่น เชื่อว่า 1 ใน 4 ที่คนพูดถึง คือพื้นที่ที่อยู่รอบ ๆ เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นหัวใจของจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเช็คอิน มาช้อปปิ้ง และใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ ซึ่งเป้าหมายของการทำงานวิจัยของเราในครั้งนี้คือการได้ Business Model สำหรับการบริหารจัดการขยะพลาสติก แต่ถ้า Business Model นี้ถูกคิดบนพื้นฐานของนักวิชาการ มันจะค่อนข้างเป็น Top Down แต่สิ่งที่เราอยากได้คือการมีส่วนร่วมของทุกคน การที่จะ Empower และเป็นเจ้าของ Business Model ร่วมกัน ดังนั้นโครงการนี้จึงประกอบด้วย 4 ภาคส่วนที่ทำงานร่วมกัน โดยภาคส่วนแรกคือ บพข. ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญ ที่ให้การสนับสนุนและขับเคลื่อนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้าน Circular Economy ภาคส่วนที่สองคือภาคเอกชน ซึ่งมีความสำคัญมาก ๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมในเชิงของพลาสติกที่เชื่อมโยงมาตั้งแต่ Petrochemical Base นั้นมีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 10% ของ GDP ของประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องมีกลุ่มบริษัทต่าง ๆ ชั้นนำของประเทศ อย่างเช่น PPP plastics ที่มาร่วมนิทรรศการและมาร่วมงานกับเรา ภาคส่วนที่สามคือสถาบันวิชาการ ได้แก่ สถาบันพลาสติก ซึ่งได้รับทุนจาก บพข. และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้มีโอกาสมาทำงานร่วมกันและนำเอาองค์ความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน ภาคส่วนสุดท้ายคือภาครัฐ ได้แก่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเขตปทุมวัน ซึ่งเป็นจะผู้ที่ทำหน้าที่ในเชิงการส่งเสริม สร้างความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะที่ถูกต้อง ดังนั้น idea ต่าง ๆ ที่ผู้เข้าประกวดได้นำเสนอมาจะถูกส่งต่อไปถึงกลุ่มคนในทั้ง 4 ภาคส่วนซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานจริงที่มาร่วมงานในวันนี้ เพราะฉะนั้นการประกวด Business Model ในวันนี้จึงเป็นการรวมคนที่มีใจที่จะทำงานด้านนี้จริง ๆ มาอยู่ในพื้นที่เดียวกันเพื่อช่วยกันผลักดันให้เกิดโมเดลการบริหารจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ

รศ.ดร.ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน บพข. ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวว่า บพข. เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio Economy, Circular Economy, Green Economy) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติปี 2564 - 2570 และสอดคล้องกับ(ร่าง)แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ด้วย โดย Circular Economy หรือ เศรษฐกิจหมุนเวียน ถือเป็น cross cutting ที่สามารถช่วยทุก ๆ อุตสาหกรรม ซึ่ง 3 สาขาหลักที่ประเทศตั้งเป้าขับเคลื่อนคือ พลาสติกบรรจุภัณฑ์ เกษตรและอาหาร และวัสดุก่อสร้าง โดยในส่วนของพลาสติกเราได้ทราบจาก PPP plastics ว่ามีการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ชุมชนวังหว้า จังหวัดระยอง และคลองเคยซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน ที่ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องที่ท้าทายคือชุมชนเมืองมีห้างสรรพสินค้า พื้นที่มหาวิทยาลัย มีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของโครงการนี้ที่เรียกว่า 'ปทุมวันโมเดล' โดยมีความร่วมมือจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และเขตปทุมวัน ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อน เราอยากจะหา Business Model ที่จะเป็นตัวแทน เอามาใช้ประโยชน์ และจะได้ขยายผลไปยังชุมชนเมืองอื่น ๆ ของประเทศไทย และหวังว่าสถาบันพลาสติกพร้อมกับหน่วยงานภาคีจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งวันนี้รู้สึกดีใจที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่ให้แนวคิดของ Business Model และจากที่ได้นั่งอ่านแผนธุรกิจของแต่ละทีมก็รู้สึกชื่นชม และหวังอยากให้ประสบความสำเร็จ และทำให้เกิดแบบแผนธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์ในตัวเมืองชั้นในได้

จากความพยายามของ บพข. และภาคีเครือข่ายในการสร้าง Business Model นั้น เพื่อให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร เมื่อสิ้นสุดโครงการคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณขยะพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 2,190 ตัน/ปี พร้อมกับทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากขยะพลาสติกเพิ่มขึ้น 10.95 ล้านบาท/ปี จากการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการคัดแยกขยะจากต้นทาง และการเพิ่มศักยภาพศูนย์คัดแยก (Sorting & Bailing Hub) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดวัฏจักรทางธุรกิจนี้ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม จะสามารถนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมด้านการจัดการขยะพลาสติกของประเทศได้อย่างยั่งยืน
#2214
วัยสามสิบ มีรุ่นพี่เคยกระซิบบอกเอาไว้ เซ็กส์ในวัยสามสิบ น่ะ มีดีซะมากกว่าตอนวัยยี่สิบซะอีก หลายๆคนที่ยังไม่แตะต้องเลข 3 ได้ยินประโยคนี้แล้วคงสงสัยแบบเดียวกันสินะว่า "จริงหรอวัยสามสิบ คุยโวรึเปล่า หรือปลอบโยนตัวเองกันแน่" สงสัยไปก่อน รอเวลาผ่านไปศึกษาหลายๆด้านวัยสามสิบ และก็หลังจากนั้นจึงค่อยมาตัดสินกันคราวหลังว่าจริงไหม
เซ็กส์ในวัยสามสิบ สมควรจะดีมากกว่าวัยยี่สิบ และก็เซ็กส์ในวัยสี่สิบก็สมควรจะดีกว่าในวัยสามสิบจริงๆนะ เนื่องจากว่าเวลาผ่านไปถ้าพวกเราพบว่ามันแย่ลงหรือพวกเราทำมันได้ห่วยลงนั่นบางทีอาจจะคือปัญหาแล้วล่ะ ไม่ได้นับเรื่องของ performance อย่างเดียวนะ แม้กระนั้นความสำราญกับการมีหรือไม่มีมัน การได้ตามใจตนเอง ค้นพบสิ่งที่ตัวเองถูกใจ ในวัยที่เยอะขึ้นน่ะ เป็นอะไรที่ควรเกิดขึ้นในชีวิต ว่าไหมล่ะ?


https://bit.ly/3MzgICK
#2215
TQM เข้าซื้อหุ้น TQR 44.35% จากกลุ่มพรรณนิภา 5.10 บ./หุ้น เตรียมทำเทนเดอร์ฯ

บมจ. ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 8 มี.ค.65 มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ TQR รวมจำนวน 102,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 44.35% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ TQR ในราคาหุ้นละ 5.10 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ TQR คิดเป็นมูลค่ารวม 520.20 ล้านบาท จากนายอัญชลิน พรรณนิภา และนางนภัสนันท์ พรรณนิภา ซึ่งเป็นบุคคลเกี่ยวโยงกันของบริษัท โดยผู้ขายหุ้นสามัญของ TQR เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ

ทั้งนี้ ภายหลังธุรกรรมการซื้อหุ้นสามัญของ TQR บริษัทฯ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน TQR คิดเป็นประมาณ 44.43% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ TQR ซึ่งเกินกว่า 25% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมด เป็นผลให้บริษัทมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ TQR ประมาณ 55.57% ในราคาเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่บริษัทได้หุ้นสามัญของ TQR มาที่ราคาหุ้นละ 5.10 บาท วงเงินประมาณ 651.83 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดของ TQR ได้ภายไตรมาส 2/65

การซื้อหุ้นสามัญของ TQR เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าการเข้าทำรายการดังกล่าวเป็นการกระจายการลงทุนของบริษัทฯ ไปสู่ธุรกิจการประกันต่อซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกันกับบริษัทฯ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทจากการนำเสนอการให้บริการประกันภัยแบบครบวงจร นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงศักยภาพของรายได้ที่คาดว่าสามารถเติบโตได้ภายหลังการเข้าทำธุรกรรมเนื่องจาก Business Synergy และการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ในการประกันภัย ดังนั้น การเข้าทำรายการดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น และมีความสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ รวมทั้งการเข้าทำรายการอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

นายอัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ TQM เปิดเผยว่า การที่ TQM เข้าซื้อหุ้นของ TQR ในครั้งนี้ นับเป็นการเข้าลงทุนในธุรกิจที่ให้การสนับสนุนระหว่างกัน เป็นการขยายธุรกิจและกระจายการลงทุน ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวของ TQM ที่ต้องการพัฒนาและยกระดับให้เป็นกลุ่มบริษัทนายหน้าประกันภัยที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้าและคู่ค้า ด้วยการนำเสนอบริการแบบครบวงจรที่สุดในประเทศไทย

ด้านนายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQR กล่าวว่า มั่นใจว่าทั้ง 2 บริษัทจะสร้างประโยชน์ร่วมกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ส่งผลดีทั้งแก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม TQR เป็นบริษัทนายหน้ารับประกันภัยต่อที่มีศักยภาพสูง ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง รายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 64 มีรายได้ที่ 256 ล้านบาท และกำไร 97 ล้านบาท
#2216
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 4.63 จุด หุ้นพลังงานพุ่งหนุนตลาด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (8 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้น หลังราคาน้ำมันทะยานขึ้นจากการที่อังกฤษและสหรัฐประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,964.11 จุด เพิ่มขึ้น 4.63 จุด หรือ +0.07%

หุ้นเชลล์และหุ้นบีพีหนุนตลาดขึ้นมากที่สุด หลังนายควาซี ควาร์เต็ง รมว.ธุรกิจของอังกฤษเปิดเผยว่า อังกฤษจะยกเลิกการนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันภายในสิ้นปี 2565 ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นประเทศบริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกประกาศห้ามการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

หุ้นกลุ่มพลังงาน พุ่งขึ้น 3.5% และปรับตัวขึ้น 21.7% แล้วในปีนี้

Resolution Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิชาการอิสระของอังกฤษประมาณการณ์ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และจะทำให้รายได้ภาคครัวเรือนลดลง 4% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 50 ปี

หุ้นเอ็มแอนด์จี (M&G) ซึ่งเป็นบริษัทประกันและจัดการสินทรัพย์ พุ่งขึ้น 15.% หลังเปิดเผยว่าจะเสนอซื้อคืนหุ้นวงเงิน 500 ล้านปอนด์ (654.30 ล้านดอลลาร์)

แต่หุ้นเกรกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจเบเกอรีและฟาสต์ฟู้ดของอังกฤษ ร่วงลง 3.4% หลังเตือนว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านวัตถุดิบ, พลังงาน และพนักงานนั้น มีแนวโน้มที่จะสกัดกั้นการขยายตัวของผลกำไรในปีนี้
#2217
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร "บ. ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี" ที่ "BB+" แนวโน้ม "Stable"

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB+? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอของบริษัทและประโยชน์จากการมีทำเลทางธุรกิจอยู่ในจังหวัดชลบุรี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานทางการเงินและสัดส่วนหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ยังคงมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีขนาดธุรกิจที่เล็กและมีการกระจุกตัวของพื้นที่ดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงความอ่อนไหวของบริษัทที่มีต่อวงจรธุรกิจและการแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับปานกลางและได้ประโยชน์จากทำเลทางธุรกิจในจังหวัดชลบุรี

บริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคอนกรีตซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ในเขตภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทมาจากการมีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานกว่า 30 ปีและการมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดใกล้เคียง สินทรัพย์หลักของบริษัทซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานคอนกรีตสำเร็จรูป โรงงานคอนกรีตมวลเบา รวมถึงร้านค้าปลีกสมัยใหม่ก็ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีด้วยเช่นกันซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในด้านการให้บริการและต้นทุนการขนส่งที่ดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอื่น ๆ

ธุรกิจของบริษัทยังได้ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชลบุรีและระยองที่มีความล้ำหน้าอีกด้วย โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐหลาย ๆ โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor -- EEC) นั้นก็ช่วยทำให้แนวโน้มของอุปสงค์ด้านวัสดุก่อสร้างน่าจะมีอนาคตที่ดีในระยะยาวอีกด้วยเช่นกัน

เป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็กและมีการกระจุกตัวของพื้นที่ดำเนินธุรกิจ

ทริสเรทติ้งมองว่าขนาดธุรกิจที่เล็กของบริษัทจะยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ ขนาดของสินทรัพย์และฐานกระแสเงินสดของบริษัทนั้นถือว่าเล็กกว่าของบริษัทอื่นๆ ที่มีอันดับเครดิตสูงกว่าอยู่มาก ซึ่งทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จะต้านทานต่อสภาวะยากลำบากที่ค่อนข้างต่ำกว่า นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังสะท้อนถึงการขาดความหลากหลายในด้านพื้นที่ดำเนินธุรกิจของบริษัทอีกด้วยเนื่องจากแหล่งรายได้หลักของบริษัทนั้นอยู่เฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย

มีความเสี่ยงจากความผันผวนของวงจรอุตสาหกรรมและการแข่งขันด้านราคา

ความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทนั้นถูกลดทอนลงจากความอ่อนไหวต่อวงจรอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ไม่แน่นอน โดยทริสเรทติ้งมองว่าอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าของบริษัทนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการขึ้นลงของวงจรเศรษฐกิจ ตลอดจนกิจกรรมการก่อสร้าง และการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ

นอกจากนี้ ตลาดวัสดุก่อสร้างยังมีการแข่งขันที่สูงด้วย ซึ่งเห็นได้จากการแข่งขันด้านราคาที่มีความรุนแรง รูปแบบสินค้าที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ในขณะที่มีคู่แข่งจำนวนมากในตลาด ทั้งนี้ การแข่งขันมีโอกาสที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในสภาวะที่ตลาดตกต่ำ บริษัทจึงมักมีอัตรากำไรที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่อุปสงค์ชะลอตัวลง

การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผลการดำเนินงานอ่อนแอ

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) สายพันธุ์ใหม่ ๆ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลได้นำมาตรการปิดเมือง (Lockdown) กลับมาบังคับใช้อีกครั้งส่งผลทำให้ความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ต้องล่าช้าออกไปอีก ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทก็ได้รับแรงกดดันจากราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรจากธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จและธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูปลงอย่างต่อเนื่องในปี 2564 อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรที่ลดลงก็ถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของธุรกิจคอนกรีตมวลเบาเนื่องจากอุปสงค์บ้านเดี่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยรวมแล้วบริษัทมีรายได้ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 2.36 พันล้านบาทในปี 2564 จาก 2.44 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ อุปสงค์ของอุตสาหกรรมที่ซบเซาเมื่อผนวกกับราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้นในปี 2564 ได้ส่งผลทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 14.6% มาอยู่ที่ 260 ล้านบาทในปี 2564 จาก 304 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งนี้ อัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทลดลงเหลือ 10.9% จาก 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นพร้อมด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง

ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากิจกรรมการก่อสร้างต่าง ๆ จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลาย โดยภาครัฐน่าจะเร่งดำเนินการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่าง ๆ เพื่อเป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นโดยเห็นได้จากกลยุทธ์ที่จะเน้นไปที่ธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าและมีการแข่งขันที่ต่ำกว่าธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจคอนกรีตมวลเบาและธุรกิจร้านค้าปลีกจะยังคงได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยต่อไป

ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4-2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 โดยที่ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 12%-13% หรือคิดเป็น EBITDA ในช่วงระหว่าง 290-320 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงดีอยู่เนื่องจากภาระหนี้คงค้างของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิของบริษัทจะอยู่ในระดับที่เกินกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าในช่วงระยะเวลาประมาณการ

สภาพคล่องมีเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมจำนวน 168 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 260 ล้านบาทในช่วงระยะ 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ความต้องการในการใช้เงินทุนของบริษัทจะประกอบด้วยการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจำนวน 215 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนต่าง ๆ จำนวน 160 ล้านบาท และเงินสำหรับการจ่ายปันผลอีกประมาณ 35 ล้านบาท

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นปี 2564 หนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมสัญญาเช่าการเงินมีจำนวนทั้งสิ้นจำนวน 569 ล้านบาท โดยหนี้ทั้งหมดนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทเอง ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 100%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วงระหว่าง 2.4-2.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567

? อัตรา EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 12%-13% ในระหว่างปี 2565-2567

? เงินลงทุนจะอยู่ที่จำนวน 160 ล้านบาทต่อปี

? อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 60%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นโดยภาระหนี้คงค้างจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดหลักได้และยังจะได้ประโยชน์จากการเร่งการลงทุนในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลกำไรที่สูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการที่บริษัทสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญหรือสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้ ในขณะเดียวกัน บริษัทยังจะต้องรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิให้ได้เกินกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะบริหารสภาพคล่องให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยอีกด้วย

แรงกดดันต่ออันดับเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นหากผลการดำเนินงานและ/หรือระดับของกระแสเงินสดต่อภาระหนี้สินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเป็นไปได้หากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP)

อันดับเครดิตองค์กร: BB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
#2218
ตลาดหุ้นไทยท้ายภาคเช้ารูดต่อไปเป็นกว่า 20 จุด ตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่ตอบรับปัจจัยลบสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กังวลจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยดัชนีแกว่งตัวผันผวนหลังจากสามารถดีดขึ้นไปในแดนบวก แต่ต้องเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากดัชนีรีบาวด์ได้ระดับหนึ่งในช่วงต้นภาคเช้า และมีแรงขายลดความเสี่ยงออกมาด้วย

เมื่อเวลา 12.00 น.ดัขนี SET มาอยู่ที่ 1,615.67 จุด ลดลง 11.73 จุด (-0.68%)

และ ล่าสุด เวลา 12.17 น. ดัชนี SET อยู่ที่ 1,605.64 จุด ลดลง 21.06 จุด (-1.29%)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงท้ายภาคเช้าปรับตัวลดลงกว่า 10 จุด ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งยังคงมาจากปัจจัยกดดันในเรื่องของรัสเซียและยูเครนที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนยังคงเกิดความกังวลมากขึ้นว่าหากสถานกาณ์ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง และยังไม่มีท่าทีว่าจะสามารถเจรจากันได้โดยเร็ว จะเป็นปัจจัยกดดันให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวจากการเร่งขึ้นมาของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ปรับขึ้นสูง

ทั้งนี้ มองว่ายังมีโอกาสที่ดัชนีจะย่อตัวลงไปที่แนวรับสำคัญที่ระดับ 1,600 จุดได้
#2219
มั่นใจว่าการสอบบรรจุเข้างานราชการ 65 น่าจะเป็นความปรารถนาของคนประเทศไทยหลายๆคน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่ยุค การทำงานราชการโคราช ก็ยังคงได้รับความนิยมโดยตลอด แม้กระทั่งในปัจจุบันในปี พ.ศ. 2565 งานราชการ นครราชสีมาก็ยังคงเป็นงานที่ผู้คนอยากได้ รวมทั้งสามารถมอบความมั่นคงยั่งยืนไปได้จนถึงข้างหลังปลดเกษียณ 


แม้กระนั้นการจะสอบให้ติดอาจไม่อาจจะใช้แค่เพียงความรู้ที่มีเพียงอย่างเดียวได้ เพราะเหตุว่าพวกเราไม่สามารถปฏิเสธ การบนบาน ที่จะทำให้ราวกับได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งส่งผลให้ สอบงาน ราชการ ก พ 65 ได้ดังสมใจปรารถนา ในวันนี้พวกเราก็เลยอยากจะมาชี้แนะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อว่า...หากได้ไปบนบานขอพร แล้วก็ขอให้สอบราชการติด จะทำให้เกิดความสมใจอย่างแน่นอน จะมีสถานที่ใดบ้างลองมองได้เลย  


1 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดเกาะแก้ว จังหวัดอยุธยา 


 อย่างที่ทราบดีว่า พระเจ้าตากสิน ถือเป็นนายทหารระดับใหญ่ในยุคอดีตกาล ด้วยเหตุนั้น ถ้าคนไหนอยากจะบรรจุราชการทหาร การได้มาไหว้ที่พระราชวังของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่วัดที่นี้ จะช่วยปรับได้รับความรุ่งโรจน์และสมหวังในสิ่งที่ต้องการ เมื่อมาสักการะบูชาอย่าลืมนำเอาพวงดอกไม้ดอกไม้ รวมทั้งจุดธูป 9 ดอก เพื่อขอในความต้องการด้วย และถ้าหากบรรลุเป้าหมาย คนส่วนใหญ่นิยมแก้บนด้วยข้าวต้มมัด ผลไม้ หรือไข่ต้ม เพื่อตอบแทน ในพรที่ท่านมอบให้


  2 หลวงพ่อดำหลวงพ่อขาว วัดสามบัณฑิต จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

 ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่คนนิยมมาขอเรื่องความสำเร็จเกี่ยวกับการสอบเข้าตำแหน่งราชการเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าคนใดกันแน่ได้รับพรสมหวังตามคำขอ ก็ชอบกลับมาแก้บนด้วยกลองยาว มอบให้แก่หลวงพ่อดำรวมทั้งหลวงพ่อขาว ซึ่งเปรียบเหมือนผู้แทนของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั่นเอง


  3 หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดสระบุรี 

 ที่นี่ถือเป็นสถานที่ที่ชาวจังหวัดสระบุรีให้ความเคารพนับถือ และถ้าหากผู้ใดตั้งมั่นมาสักการะบูชาขอพรก็จะสำเร็จสมหวังดังใจต้องการ โดยเฉพาะในด้านของการสอบบรรจุเข้ารับงานราชการ108 ก็ชอบสมหวังรวมทั้งเสร็จตามชื่อหลวงพ่อเสร็จศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็หากใครกันแน่ได้รับคำร้องขอตามที่ปรารถนาแล้ว ก็นิยมกลับมาแก้บนด้วยไข่ต้มหรือบายศรี แต่ว่าถ้าหากเป็นการขอในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น มักจะนิยมรำแก้บนมอบแก่หลวงพ่อเพื่อความเป็นมงคล


  นี่เป็นเพียงตัวอย่างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่คนที่ตั้งใจจะเข้ารับงานราชการ 108 ตอนการเขาเปิดสอบราชการกัน แต่ถึงแม้ว่าท่านจะเดินทางมาบนบานขอพรแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะมุ่งมั่นในการอ่านหนังสือสอบด้วยเช่นกัน เพื่อให้ความฝันในการได้รับใช้ชาติ และความมุ่งมั่นที่อยากจะทำงานราชการรับใช้แผ่นดินของคุณเป็นจริงอย่างที่ใจต้องการ 
#2220
จำหน่าย เครื่องเล่นหน้าขนหลังแขน นำเข้าจากต่างประเทศ

เครื่องเล่นหน้าแขนหลังแขน เป็นเครื่องที่ใช้สำหรับเล่นหน้าแขนหลังแขน เหมาะแก่การเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนหน้าแขนและหลังแขน ทำให้มีความกระชับและกล้ามแขนดูสวยงาม เป็นเกรดคุณภาพฟิตเนส ขนาดเหล็กมีความหนา มากถึง 3.2MM  มีทั้งแบบ single machine และ duel machine เป็นสินค้านำเข้า จากประเทศ เยอรมัน และอเมริกา

Facebook : CCT Fitness นำเข้าเครื่องออกกำลังกาย
Tel: 089-750-7380
สนใจชมตัวอย่างสินค้า >> https://goo.gl/maps/RBNaNTLmk8LD3T2A8