• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บ.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#6906



ในปัจจุบันภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ จากรายงาน IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ชี้ให้เห็นว่าแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาจากภาคพลังงาน ร้อยละ 35 รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 18 รวมถึงภาคอาคารวัสดุก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 8

ยิปซัมตราช้าง ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัม และนวัตกรรมระบบฝ้าเพดานและผนังยิปซัมในประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของ "ธุรกิจคาร์บอนต่ำ" และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.

คุณ จรุง กาญจนภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เผยเทรนด์การทำธุรกิจว่าตอนนี้โลกกำลังมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ภาคธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โดย ยิปซัมตราช้าง กำลังเดินหน้าเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต่ำที่สุดและต้องทำอย่างต่อเนื่อง

"ปัจจุบันเราเป็นบริษัทผู้ผลิตแผ่นยิปซัมรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งมั่นใจได้ว่าตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การใช้งาน ตลอดจนการกำจัดเศษซากจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง"

คุณ จรุง กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันกฎหมายจะไม่ได้บังคับใช้ในเรื่องฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แต่เราเข้าใจและตระหนักดีถึงความสำคัญและยังคงเดินหน้าสร้างโมเมนตัมผลักดันให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันธุรกิจเองจะได้รับผลพลอยได้จากการดำเนินงานเรื่องนี้ในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองแล้ว ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐาน ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. และแผ่นยิปซัมทนไฟ ตราช้าง ความหนา 15 มม.

"เราใส่ใจทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบ ขั้นตอนการผลิตจากฐานผลิตหลักที่จังหวัดสระบุรี การกระจายสินค้า และการใช้ประโยชน์ ตลอดจนการกำจัดซากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

นอกจากนี้การเลือกใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การประเมินอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มาตรฐาน TREES (Thai's Rating of Energy and Environmental Sustainability)  โดยสถาบันอาคารเขียวไทย (TGBI) รวมถึงการประเมินมาตรฐานอาคารเขียว หรือ LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) ซึ่งเป็นระบบการรับรองอาคารที่ยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคธุรกิจ

คุณ ยุทธศักดิ์ นฤชัยปราโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสถาปัตยกรรม บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด อธิบายถึงความสำคัญของ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมขององค์กร นำไปสู่การหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลูกค้าด้วย

"ประโยชน์สำหรับเจ้าของโครงการคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการนั้น ๆ และยังตอกย้ำความตั้งใจที่จะรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่ลูกค้าตรงของโครงการ หรือเจ้าของบ้าน จะมั่นใจได้ว่าเขาอยู่ในอาคารที่มีวัสดุก่อสร้างผ่านเกณฑ์มาตรฐานฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่กลุ่มนักออกแบบหรือสถาปนิก จะมั่นใจได้ว่างานที่ออกแบบมีการสเปกงานจากผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรมเชิงนิเวศ"

คุณ ยุทธศักดิ์ สรุปหลักง่ายๆ ว่าการพิจารณามาจากการคิดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของช่วงวัฏจักรชีวิตแต่ละผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การกระจายสินค้า การใช้ประโยชน์และการกำจัดซาก โดย ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์มี 3 รุ่น ได้แก่ แผ่นยิปซัมมาตรฐาน ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. ได้ค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ 3.43 ในขณะที่แผ่นยิปซัมทนชื้น ตราช้าง พลัส ความหนา 9 มม. ได้ 3.35 และ แผ่นยิปซัมทนไฟ ตราช้าง ความหนา 15 มม. ได้ 7.98

คุณ จรุง ปิดท้ายว่า การขอฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเราที่มีมายาวนานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ ยิปซัมตราช้าง ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น รางวัลโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) รวมถึงการดำเนินการเรื่องการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หรือ LCA (Life Cycle Assessment) ตลอดจนมาตรฐานสิ่งแวดล้อม EPD (Environmental Product Declaration) ที่เราได้ทำมาตลอด และยังมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทยให้เติบโตเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
#6909


กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือ พพ. ขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้ในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยจัดทำคู่มือประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e-book และสารคดีผ่านช่องทางออนไลน์ และสื่อทีวี ชวนประชาชนศึกษาข้อมูลโครงการ ฯ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจในทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนส่งเสริมพลังงานทดแทน มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย สามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้ และผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากโรงไฟฟ้าชุมชน พุ่งเป้า ประชาชนทุกภูมิภาค ทั่วไทย มีความรู้ ความเข้าใจถึงประโยชน์จากโรงไฟฟ้า ฯ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วม สู่การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม ผู้ที่สนใจสามารถ คลิ๊กดาวน์โหลด e-book คู่มือโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากได้ที่ https://online.fliphtml5.com/vsrsk/pcfu/

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วาระการประชุมครั้งที่ 2/2563 (ครั้งที่ 151) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 มีมติเห็นชอบกรอบหลักการและเงื่อนไขการเปิดรับซื้อไฟฟ้าฯ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เนื่องจากการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ถือเป็นหนึ่งในนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเพื่อช่วยให้ชุมชนมีรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า และลดภาระค่าใช้จ่าย มีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน โดยมีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบไม่เกิน 150 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล 75 เมกะวัตต์ เสนอขายโครงการละไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ(พืชพลังงาน ผสมน้ำเสีย/ของเสีย น้อยกว่าหรือเท่ากับ 25%) 75 เมกะวัตต์ เสนอขายโครงการละไม่เกิน 3 เมกะวัตต์

ที่ผ่านมา พพ. ได้มีการดำเนินโครงการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการผลิตและการใชพลังงานทดแทน ที่มีความเหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง นอกจากสร้างความมั่นคงต้านพลังงาน ยังเป็นการช่วยส่งเสริมด้านอาชีพและรายได้ของชุมชน เกิดระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนในชุมชน พพ. จึงได้จัตทำ "โครงการสื่อสารสร้างการรับรู้ตามนโยบายส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก" ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการชับเคลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชุมชนวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้ และผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับจากโรงไฟฟ้าชุมชนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชนให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากชุมชน

ด้วยเหตุนี้ การจัดทำคู่มือโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในรูปแบบ e-book จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสาร ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งข้อมูลด้านโรงไฟฟ้าชุมชนที่ถูกต้องไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ภาพรวมแนวนโยบายของโรงไฟฟ้า ฯ ประเภทของโรงไฟฟ้าชุมชน และ หลักการผลิต ตลอดจนกรอบการใช้งานโรงไฟฟ้า ฯ เป็นต้น ซึ่งคาดหวังว่า จะเป็นการช่วยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ ฯ และเล็งเห็นว่า โรงไฟฟ้าชุมชน จะเข้ามาช่วยให้เกิดประโยชน์รอบด้านกับชุมชน และประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้ที่สนใจ และประชาชนเป้าหมาย สามารถ คลิ๊กดาวน์โหลด e-book คู่มือโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากได้ที่ https://online.fliphtml5.com/vsrsk/pcfu/
#6910


ผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ เผย พยกลุ่มแรงงานต่างด้าว บ.สหฟาร์ม พบติดเชื้อโควิด เร่งควบคุมโรคในพื้นที่ควบเฉพาะแบบมีส่วนร่วม 'บับเบิล แอนด์ ซีล'

รายงานข่าวจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ระบุว่า กรณีการตรวจพบแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ของ บริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) จ.เพชรบูรณ์ ติดเชื้อโควิด-19 ได้รับการเปิดเผยจาก นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ระบุว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ตรวจพบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ของ บริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) ซึ่งพบผู้ติดเชื้อ จำนวน 2 ราย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564

จากนั้น จังหวัดเพชรบูรณ์ จึงได้แจ้งสั่งการให้พนักงานควบคุมโรคอำเภอบึงสามพัน ร่วมกับบริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาตามหลักการบริหารจัดการควบคุมโรคในพื้นที่ควบเฉพาะแบบมีส่วนร่วม (Bubble and Seal) และดำเนินการตามมาตรการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้มีคำสั่งจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ 1649/2564 ให้ บริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) หยุดกระบวนการผลิตในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 – 26 กรกฎาคม 2564 เพื่อคัดกรองกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และดำเนินการดำเนินการบริหารจัดการควบคุมโรคในพื้นที่ควบเฉพาะแบบมีส่วนร่วม (Bubble and Seal)และระหว่างการดำเนินการควบคุมโรค พนักงานควบคุมโรคอำเภอบึงสามพัน ได้แจ้งให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มแรงงานดังกล่าวที่อยู่ในชุมชน หมู่บ้านแยกกักตัว เป็นเวลา 14 วัน และให้พนักงานควบคุมโรคในพื้นที่ได้เร่งดำเนินการสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกเพิ่มเติม ด้วยวิธี antigen test kit ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ซึ่งมีจำนวนแรงงานทั้งหมด 7,500 ราย ได้ดำเนินการสุ่มตรวจไปแล้ว จำนวน 2,950 ราย พบผู้ติดเชื้อ (ผลบวก) จำนวน 1,068 ราย และอยู่ในระหว่างตรวจค้นหาเชิงรุกอีก 4,250 ราย ซึ่งจะเร่งดำเนินการตรวจค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 เพื่อคัดแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อออกจากกัน หลังจากนั้นก็จะนำผู้ป่วยที่พบเชื้อเข้าแยกกักในโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้แล้ว 1,292 เตียง และได้วางแผนขยายจำนวนเตียงได้อีกประมาณ 2,000 เตียง และหากตรวจพบผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ของ บริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) ได้รับการฉีดวัคซีน ครบ 2 เข็มไปแล้ว จำนวน 3,000 ราย และได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 1,500 ราย และบริษัทได้กำหนดแผนการฉีดวัคซีนให้กับแรงงานต่างด้าวและพนักงานของบริษัทให้ครอบคลุม 100% ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2564

ด้านนายสมพงษ์ ทองหนูนุ้ย นายอำเภอบึงสามพัน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง งัดมาตรการเข้ม ตั้งด่านสกัด คัดกรอง และห้ามผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และการแพร่ระบาดเพิ่ม พร้อมเตรียมสั่งปิด 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 2 บ้านเขาเกตุ บ้านหนองปล้อง หมู่ 4 บ้านลำตะคล้อ และ หมู่ 15 บ้านลำตะคล้อใต้ ต.กันจุ อ.บึงสามพัน

ทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์และผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ได้ร่วมกันดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจคัดกรองเข้มงวดในพื้นที่ควบคุมบริเวณชุมชนโดยรอบบริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) จำนวน 7 จุดตรวจ เพื่อลดและจำกัดเคลื่อนย้ายการเดินทางเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวดไม่ให้มีคนเข้าออกพื้นที่พื้นที่โดยรอบ บริษัท โกลเด้นไลน์ บิสซิเนส จํากัด (สหฟาร์ม) เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโควิด 19

ส่วนเรื่องไก่สดที่ส่งออกมาจำหน่ายนั้น จะมีการตรวจเชื้อจากทางสำนักงานสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัย
#6911


จากยอดผู้ป่วยรายใหม่ในกทม.และปริมณฑล พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เตียง ไอซียูในโรงพยาบาลต่างๆ ไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยได้ 'การนำผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับภูมิลำเนา' จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการของภาครัฐที่ได้ดำเนินการขึ้น เพื่อจัดส่ง ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในกลุ่มที่สามารถเดินทางได้ กลับไปดูแล รักษาใน 'ภูมิลำเนา' ของตนเอง 

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าด้วยความเป็นห่วงจากรัฐบาล ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)วางแผนนำผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อระหว่างทาง เพราะหลายๆ ท่านอาจไม่มีรถส่วนตัว

การไปรถสาธารณะอาจจะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ จึงได้มอบหมายให้ช่วยสร้างระบบที่จะดูแลในเรื่องนี้ ภายใต้การประสานงานร่วมกันระหว่าง (สธ.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงคมนาคม  กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วทในการดูแลครั้งนี้

'ผู้ป่วยโควิด' เดินทางกลับ 'ภูมิลำเนา' แล้ว 3 หมื่นกว่าราย
จากประชากรในกทม.มีประมาณ 8 ล้านกว่าคน แบ่งเป็น ประชาชนกรที่มาจากภูมิภาคอื่นๆ ประมาณ 2.41 ล้านคน และกทม. 5.59 ล้านคน ซึ่งอัตราการย้ายถิ่นของประชากร สู่กทม. พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 43.6% ภาคกลาง 25.5% ภาคเหนือ 19.9% และภาคใต้ 5.4% ซึ่งจากอัตราการย้ายถิ่นส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีการเดินทางกลับภูมิลำเนามากสุด

ข้อมูลผู้ลงทะเบียนขอเดินทาง กลับภูมิลำเนา เดือนก.ค.ผ่านระบบ ศบค. พบว่า มีทั้งหมด  504,241 ราย แบ่งเป็นวันที่ 19 ก.ค. จำนวน 63,512 ราย วันที่ 20 ก.ค.จำนวน 191,535 ราย วันที่ 21 ก.ค.จำนวน 150,410 ราย และวันที่ 22 ก.ค. จำนวน  98,784 ราย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้มีการออกเดินทางกลับภูมิลำเนาไปเองแล้ว และคาดว่าในจำนวนนี้จะมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ร่วมเดินทางไปด้วย ฉะนั้น นโยบายนี้เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ให้เดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และหากติดเชื้อจะได้รับการรักษาอย่างเร็ว


ทั้งนี้ การส่งผู้ป่วยโควิด กลับภูมิลำเนาช่วงการระบาดระลอกใหม่ มีจำนวน ผู้ป่วยโควิด เดินทางจาก กทม.และปริมณฑล ทั้งสิ้น  31,175 ราย เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว 70.37% ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง 21.93% และผู้ป่วยกลุ่มสีแดง 7.7%

โดยวิธีการเดินทางกลับของผู้ป่วย จะเดินทางกลับด้วยตนเองและระบบขนส่งสาธารณะ มีการประสานผ่านศูนย์ร้องทุกข์ของหน่วยงานต่างๆ อาทิ ทบ.และมท. ประสานผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประสานผ่านระบบ สปสช. สธ. และสพฉ.

สำหรับแนวทางการประสานงาน การส่งต่อ ผู้ป่วยโควิด กลับภูมิลำเนานั้น สามารถประสานได้ ดังนี้

-ประสานไปที่ สปสช. โทร 1330 กด 15  หรือผู้ป่วยติดต่อผ่านศูนย์ COVID -19 จังหวัด/รพ.ปลายทาง ซึ่งจะลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น

-หลังจากนั้น สปสช.จะส่งข้อมูลไปยังทางกระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขจังหวัด ทำหน้าที่ประสานรับส่งตัว ไปยังจังหวัดปลายทาง

-โดยจะมีทาง สพฉ. ประสานว่าจะมีการเดินทางโดยใช้นำรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน

-จะมีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ทำหน้าที่ประเมินอาการก่อนเดินทาง จัดรถรับส่งถึงปลายทาง และแจ้งข้อมูลกลับไปยังสปสช.

-หลังจากนั้นไปส่งยังจังหวัดปลายทาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ดูแล 


โดยการติดต่อประสาน คาดว่าไม่เกิน 3 วันก็จะเดินทางไปถึง ซึ่งระหว่างที่รอ ผู้ป่วยโควิด  ต้องปฎิบัติต้นตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นผู้ติดเชื้อ ระวังตัวเอง ไม่นำไปสู่การแพร่ะรบาด แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นให้ประสานไปที่ 1330 หรือ 1668 ทันที 

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า
ปัจจุบันในพื้นที่กทม.และปริมณฑลมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียว จึงมีความจำเป็นที่ต้องเก็บเตียงให้ผู้ป่วยอาการหนัก กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง และสีแดง 

ดังนั้น ผู้ป่วยสีเขียวจะมีมาตรการต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์พักคอย Home Isolation หรือ Community Isolation  การส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา เป้นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ให้ผู้ป่วยได้กลับไปดูแลกับพื้นที่ปลายทาง

ปัจจุบัน ประชาชนจะสามารถเข้าทางเว็บไซต์ https://crmdci.nhso.go.th/ ของสปสช.หรือ สแกนQR code เพื่อลงทะเบียนเลือกจังหวัดปลายทาง และวันที่พร้อมเดินทาง  อีกทั้ง สามารถโทรสายด่วน 1330 กด 15 มีเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ และลงทะเบียนให้ ซึ่งอยากให้ทุกคนมั่นใจวิธีการที่ดำเนินการ เพราะเป็นระบบที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ทุกคน
#6914
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK